“ออม สุชาร์” เคลื่อนไหวแล้ว! หลังถูกโยงข่าวดาราดังฮุบบริษัท ยันชีวิตนี้ไม่เคยโกงใคร

หลังจากมีประเด็นข่าวเมาท์แซ่บเกี่ยวกับดาราสาวฮุบกิจการพาร์ทเนอร์ที่ทำธุรกิจร่วมกัน ที่ตอนแรกเหมือนทุกอย่างไปได้ดี แต่พอแบรนด์เริ่มโตกลับปรับเปลี่ยนข้อตกลง และฮุบกิจการแบบเงียบๆ มูลค่าความเสียหายนับร้อยล้านบาท ซึ่งงานนี้หลายคนแห่โยงไปหานางเอกสาว ออม สุชาร์ มานะยิ่ง

ล่าสุดวันนี้ 17 ก.ย 68 ออม สุชาร์ ได้เคลื่อนไหวถึงเรื่องนี้ด้วยการรีโพสต์ข้อความจากผู้จัดการส่วนตัวลงไอจีสตอรี่
มีเนื้อหาว่า “ขออนุญาตพูดในฐานะเพื่อนและผู้จัดการของออมที่อยู่ใกล้ชิดกันตลอด เรื่องการโกงหรือการฮุบกิจการบริษัทอะไรก็แล้วแต่มันเป็นเรื่องที่ไกลตัวมากจริงๆ คือหาเหตุผลไม่เจอว่าจะทําแบบนั้นไปเพื่ออะไร คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เงินเหรอ ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะตลอดระยะเวลาที่เริ่มทําแบรนด์มา ออมปฏิเสธการรับงาน Beauty เยอะมากเพราะเกรงใจ โกงตรงไหนในเมื่อยังมีหุ้นอยู่ใน บริษัท ลงเงินเท่ากัน และริเริ่มมาพร้อมๆ กัน

เท่าที่เห็นทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเองในบริษัท ออมก็ทําหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด ทําคอนเทนต์โปรโมทเป็นหลายร้อยคอนเทนต์ นั่งไลฟ์ขายของตลอดเกือบทุกวันทุกแคมเปญนับครั้งไม่ถ้วน มีส่วนร่วมทุกอย่าง ไม่มีอะไรอยากพิมพ์ไว้เฉยๆ!

สุดท้ายขอให้เรื่องร้ายๆ นี้ผ่านไปด้วยดี หากย้อนเวลากลับไปได้วันนั้นบนโต๊ะอาหารจะคัดค้านหัวชนฝา เรื่องประหลาดร้ายๆ แบบนี้จะได้ไม่เกิดขึ้น@aom_sushar” ซึ่งออมก็เขียนข้อความตอบกลับว่า “ขอบคุณน้าแม่

ในเวลาต่อมา ออม สุชาร์ ก็ได้โพสต์ข้อความลงในไอจีสตอรี่ว่า “ทําแบบนี้ไม่น่ารักเลยนะคะ ในชีวิตนี้เกิดมาไม่เคยโกงใคร ไม่เคยเอาเปรียบใครและไม่เคยมีเรื่องกับใคร บทเรียนในการเลือกคบคนครั้งนี้ขอต่อสู้อย่างถูกต้องตามกฎหมายนะคะ รายละเอียดต่างๆ เป็นหลักฐานในชั้นศาล ขอยังไม่เปิดเผยข้อมูล ขอบคุณทุกคนที่ส่งกําลังใจมาให้ออมในวันนี้นะคะ”

Cr. IG : aom_sushar
#ออมสุชาร์ #สยามดารา
"ณเดชน์-ญาญ่า" ปล่อยภาพเบื้องหลังพรีเวดดิ้ง ฉลองครบรอบรัก 14 ปีแคปชั่นขิงคนโสดมาก!
รักหวานชื่นเข้าสู่ปีที่ 14 แล้วสำหรับว่าที่บ่าวสาวพระเอกหนุ่ม ณเดชน์ คูกิมิยะ และนางเอกสาว ญาญ่า อุรัสยา ล่าสุดทั้งคู่ก็ได้เปิดโมเมนต์หวานโพสต์ภาพเบื้องหลังพรีเวดดิ้งฉลองวันครบรอบรัก (17 ก.ย. 68)

ด้านสาวญาญ่า ถึงกับออกปากว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เขียนข้อความในวันครบรอบแบบนี้แถมยังแอบขิงเบา ๆ ว่าปีหน้าจะได้เป็นภรรยาของหนุ่มณเดชน์แล้วอีกด้วย

ด้าน ณเดชน์ ยังได้เผยข้อความว่า "Be mine forever, I’m yours forever. And thank you so much for introducing me into your Fantasy World Darling @urassayas #our14th" (เป็นของฉันตลอดไป ฉันจะเป็นของเธอตลอดไป และขอบคุณมาก ๆ ที่แนะนำฉันให้รู้จักกับโลกแฟนตาซีของคุณนะที่รัก @urassayas #our14th)
#ณเดชน์ญาญ่า #สยามดารา #ญาญ่าอุรัสยา
“เฟย ภัทร” โสดสนิทมา 3 ปี แต่ไม่ได้ปิดกั้นเรื่องรัก! เล่าเรื่องหลอนกลางป่าเจอทั้งผีและ UFO
เปิดใจนักแสดงหนุ่ม “เฟย ภัทร ในรายการ เบิ้ล AM เล่าถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญในการออกมาเป็นนักแสดงอิสระหลังจากร่วมงานกับ GMM มานานกว่า 10 ปี เพื่อเติบโตทั้งในชีวิตส่วนตัวและอาชีพ ตอนนี้โสดสนิทมา 3 ปีแล้วแต่ไม่ได้ปิดกั้นเรื่องความรัก ลั่น! ถ้ามีแล้วไม่ดี ไม่มีดีกว่า พร้อมแชร์ประสบการณ์การเจอสิ่งที่เชื่อว่าเป็น UFO และเรื่องน่าขนลุกระหว่างทริปแคมป์ปิ้ง

ทำไมถึงตัดสินใจออกจากค่าย GMM มาเป็นนักแสดงอิสระ
เฟย ภัทร : ด้วยหลายอย่าง โตขึ้น สัญญาด้วย คุยกับทางผู้ใหญ่ว่าถึงเวลาที่เราออกไปเติบโตได้แล้ว คืออยู่ค่ายมันก็เป็นเซฟโซนที่ดีที่เรารู้สึกว่ามันมีคนจัดการให้ทุกอย่างเลย แต่อยากออกมาเพื่อเติบโตมากขึ้น เพื่อลองหาอะไรใหม่ๆ หาประสบการณ์ อีกอย่างคืองานข้างนอกเราก็ค่อนข้างเยอะพอสมควรแล้ว ไม่ได้ทะเลาะกัน ไม่ได้มีปากมีเสียงอะไร ครับ

เคยรู้สึกไหมว่าการอยู่ในวงการมานานตั้งแต่เด็กทำให้คนมองว่าเราแก่กว่าวัย ?
เฟย ภัทร : ประจำ พอไว้หนวดคนมันยิ่งคิดเลยว่าเราแก่ บางคนก็ (อายุ) 35-36 ยังเรียกพี่อยู่เลย แรกๆ ก็จะขัด จะแก้ หลังๆ ก็จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเป็นเรื่องวุฒิภาวะก็จะยินดีมาก แต่ถ้าหน้าแก่แค่อย่างเดียว ก็จะพยายามบอกว่าอันนี้มันแค่หนวด

กังวลไหมกับการต้องออกมาดูแลจัดการตัวเอง ?
เฟย ภัทร : ตอนแรกมันก็มีคุยกับผู้ใหญ่แหละว่าออกไปแล้วมันจะเป็นยังไง ผู้ใหญ่เขาก็เตือนว่าต้องดีๆ นะ เพราะมันต้องมีหลายอย่างให้โฟกัสมากขึ้น เรื่องการคุยกับลูกค้า การติดต่องานเอย ดูแลคิวต่างๆ แต่เราไม่ได้กังวลมาก เพราะเรารู้สึกว่าเรามีกัลยาณมิตรที่ดีรอบๆ ตัว มีเพื่อนที่ดี มีพี่ที่ดี มีน้องที่ดี รู้สึกว่าคนรอบตัวดี ช่วยเราได้ ไม่โกง ไม่หักหลังเรา

ค่ายเคยมีความกังวลเรื่องคาแรคเตอร์หรือการใช้คำพูดที่ดูเป็นคนตรงๆ ของเราบ้างไหม ?
เฟย ภัทร : ไม่เคยนะ เขาไม่ได้ห้าม ไม่ได้บังคับว่าให้เราเป็นอะไร คือเราเป็นคนตรง แต่ไม่ได้หยาบคาย

ในฐานะนักแสดงอะไรคือหลักสำคัญที่สุดที่ทำให้เราเข้าถึงบทบาทและทำให้คนดูเชื่อ ?
เฟย ภัทร : หลักๆ ก็คือการแสดงคือความเชื่อ คุณเชื่อว่าคุณอยู่ตรงนั้นจริงๆ เชื่อว่าคุณเป็นตัวละครนั้นจริงๆ ต้องยอมปล่อยให้ตัวเองได้เชื่อ หลักๆ มันคือต้องรีแลกซ์ ปล่อยให้ตัวเองได้รู้สึกกับสิ่งนั้นจริงๆ ได้เชื่อจริงๆ เช่น น้ำนี้ไม่มีน้ำแข็ง แต่ก็ต้องเชื่อให้ได้ว่าแก้วนี้มันเย็น กินแล้วสดชื่น มันต้องเชื่อให้ได้ หลักการมันคือ แค่นั้นเลย

เคยมีหนังจากต่างประเทศมาติดต่อบ้างไหม ?
เฟย ภัทร : มีหนังเมืองนอกมาติดต่อหลายรอบแล้ว หมายถึงว่าเราก็ไปแคสต์แหละหลายรอบแล้วเหมือนกัน แต่ว่าก็ยังไม่ได้ หนึ่งคือคิว สองก็คือด้วยบทที่เขายังบอกว่ายังไม่ตรงกับเขาขนาดนั้น

ทำไมถึงมาทำรายการเดินป่า ?
เฟย ภัทร : คือจุดเริ่มต้นคือเราเดินป่าอยู่แล้ว เที่ยวธรรมชาติอยู่แล้ว ก็เลยชวนโปรดิวเซอร์ไปเดินด้วย แล้วก็เริ่มจากวันนั้นที่เริ่มชวนเพื่อนไปเดินด้วยกัน คือไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นรายการ ตั้งใจจะไปเที่ยวแล้วก็ถ่ายคลิปเล่นๆ พอลงคลิปแรกตอนไป จังหวัดตาก มันก็ไวรัลขึ้นมา

เรื่องที่เคยเจอ UFO เป็นยังไง ?
เฟย ภัทร : คือไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร คือไปเดินป่าที่จาวาเล (จังหวัดตาก) เป็นคืนที่ 2 แล้วก็ยืนมองท้องฟ้ากันอยู่ แล้วก็เห็นแสงไฟดวงหนึ่งลักษณะคล้ายๆ ดาว แต่มันขยับขึ้นลงแปลกๆ ด้วยความที่เป็นคนปากไวก็ตะโกนออกไปว่า "UFO แน่เลย" เพื่อนทุกคนก็วิ่งมาดู แล้วไฟมันก็ยังอยู่ขยับๆ แล้วถึงจุดหนึ่งมันหยุดแล้วมันก็บินย้อนกลับฟึ่บแล้วหายไปเลย ถามว่าเชื่อไหมก็เชื่อแหละ แต่ไม่รู้ว่าจะเชื่อว่ามันคืออะไร เพราะมันอาจจะเป็นดาวเทียม หรือยานสอดแนมก็ได้ แค่เราระบุไม่ได้ว่ามันคืออะไร

ตอนไปเดินป่าแคมป์ปิ้ง เคยเจอเรื่องลึกลับอื่นอีกไหม ?
เฟย ภัทร : ที่เดียวกันกับที่เห็น UFO แต่เป็นคืนแรก เรานอนในเต็นท์คนเดียว แล้วได้ยินเสียงคนเดินรอบเต็นท์ ตอนแรกคิดว่าเป็นหมา สักพักได้ยินเสียงเหมือนคนเอานิ้วหรือเล็บรูดผ้าใบเต็นท์ แล้วก็มีลมมาเป่าที่หัวตรงกระหม่อม เราก็ตกใจ สะดุ้ง หยิบไฟฉายแล้ววิ่งออกไปหาโปรดิวเซอร์กับสตาฟที่นั่งกินเหล้ากันอยู่ข้างนอกทั้งที่อากาศหนาวมาก คืนที่สองก็ยังได้ยินเสียงรูดเต็นท์เหมือนเดิม แต่คืนนั้นทุกคนในทุกเต็นท์โดนเหมือนกัน หมด

ตอนนี้มีแฟนหรือยัง สเปคผู้หญิงเป็นแบบไหน ?
เฟย ภัทร : ไม่มีครับ โสดมาสักพักแล้ว ถ้าแบบคนคุยจริงๆ จังๆ ก็น่าจะ 2 ปีกว่า 3 ปี ไม่ได้ปิดกั้นว่าไม่ให้มีใครเข้ามา แค่รู้สึกว่าถ้ามีแล้วมันไม่ดี ไม่ต้องมีดีกว่า สเปคคือเป็นคนทำงานเก่ง ต้องคุยรู้เรื่อง และสามารถไปใช้ชีวิตด้วยกันได้ ไปลุยด้วยกันได้ คือชอบอะไรแบบเดียวกัน

มีความคิดเห็นยังไงกับการบูลลี่หรือคอมเมนต์ด่าทอกันในโลกโซเชียล ?
เฟย ภัทร : ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะคอมเมนต์หรือวิพากษ์วิจารณ์ แต่สิ่งที่ทุกคนลืมไปคือ อีกคนหนึ่งเขาก็มีสิทธิ์เหมือนกัน คือสิทธิ์ที่จะรู้สึก สิทธิ์ที่เรามีอยู่ไม่ควรไปก้าวก่ายสิทธิ์ของคนอื่น ไม่ว่าด้วยอะไรก็แล้วแต่ เราไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้น แสดงความคิดเห็นได้ แต่ให้ใช้ปัญญา ใช้สมอง ใช้ประสบการณ์ และวิจารณญาณ คิดเองว่าสิ่งนี้ควรหรือไม่ควร

สามารถติดตาม “เบิ้ล AM” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันพฤหัสบดี เวลา 19.00 น.
คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=gmea7O7Cb0g
“วู้ดดี้” เปิดใจ “เจสัน ควอน” ทึ่ง! คนไทยใช้ ChatGPT ดูดวงเผยความกลัวเกี่ยวกับ AI ที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน
เปิดมุมมอง AI จากผู้นำระดับโลก สัมภาษณ์พิเศษแบบเจาะลึกกับ เจสัน ควอน (Jason Kwon) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์ (Chief Strategy Officer) ของ OpenAI ในรายการ WOODY FM ที่มาเดินทางมาเยือนไทยเป็นครั้งแรกโดยได้รับเชิญจาก วู้ดดี้ ทึ่งเรื่องราวสุดเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับการใช้ ChatGPT ของคนไทย เผยเรื่องที่น่ากังวล และการมองอนาคตของ AI ในเอเชียอย่างไร

คุณค้นพบอะไรบ้างเกี่ยวกับการใช้ ChatGPT ของคนไทย โดยเฉพาะเรื่องการดูดวง?
เจสัน ควอน : เรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งและประหลาดใจมากครับ เพราะที่อเมริกาไม่ค่อยมีใครใช้ในลักษณะนี้อย่างจริงจังเท่าไหร่ แต่พอผมได้มาฟังว่าคนไทยใช้ ChatGPT เพื่อถามเรื่องสำคัญในชีวิต เช่น วันนี้ควรใส่เสื้อผ้าสีอะไรดี? วันเกิดของฉันวันนี้จะเกิดอะไรขึ้น? หรือ ฉันควรใช้ชีวิตวันนี้อย่างไร? ผมสนใจทันทีเลย นี่เป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการนำเครื่องมือไปวางในสังคมที่แตกต่าง แล้วผู้คนก็ใช้มันในแบบที่เราคาดไม่ถึงเลย และไม่ใช่ในทางที่ไม่ดีนะครับแต่ในทางที่ดีมาก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าประสบการณ์และความต้องการของมนุษย์นั้นมีความหลากหลายแค่ไหน ผมมองว่าการใช้ AI เพื่อดูดวงเป็นเหมือนการพยายามหาความแน่นอนในชีวิต ในอดีตคนอาจจะไปหานักพยากรณ์ แต่ตอนนี้สามารถหามันได้จากเครื่องมือนี้ และเมื่อ AI ตอบคำถามเหล่านี้ได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าความแน่นอนเกิดขึ้นแล้ว แต่ความต้องการของเราแค่ถูกย้ายไปที่อื่น ตอนนี้เรามีคำตอบแล้วว่าจะใส่อะไร แต่คำถามอื่นๆ ก็จะตามมาอีกมากมาย เช่น งานนี้ฉันต้องคุยกับคนแบบไหน? ฉันอยากจะสานสัมพันธ์กับคนพวกนี้ไหม? ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นสิ่งที่ AI แทนที่ไม่ได้ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ขอบเขตของกิจกรรมของมนุษย์กว้างขึ้น

คุณพบอะไรที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดเอเชีย และอนาคตของ AI ในภูมิภาคนี้เป็นอย่างไร?
เจสัน ควอน : ตัวเลขการเติบโตในเอเชียพุ่งสูงขึ้นมากครับ ช่วงปีที่ผ่านมาเอเชียเติบโตขึ้นถึง 4 เท่า โดยเฉพาะประเทศไทยและเวียดนามที่เติบโตเร็วที่สุด ผมเคยคุยกับเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่ง เขายอมรับว่าเราอาจจะเริ่มช้ากว่า แต่พอตัดสินใจจะลุยแล้วก็จะทำอย่างเต็มที่ ซึ่งตอนนี้เรากำลังเห็นสิ่งนั้นเกิดขึ้นแล้ว ผมคิดว่าในเอเชียมีการมอง AI เพื่อแก้ปัญหาด้านประชากรศาสตร์ เช่น บางประเทศที่มีประชากรวัยทำงานลดลง ก็ต้องการเพิ่มกำลังการผลิตทางเศรษฐกิจ ส่วนประเทศที่มีประชากรหนุ่มสาวเพิ่มขึ้นอย่างฟิลิปปินส์หรืออินโดนีเซีย ก็มองว่าสามารถก้าวกระโดดไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้เลย ที่น่าสนใจอีกอย่างคือในเอเชีย ผู้คนมีความสุขกับการเล่นกับเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน แต่ใช้เพื่อการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ด้วย เราเห็นได้ชัดจากเทรนด์การสร้างภาพและวิดีโอ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมหาศาล

อะไรคือความจริงกับสิ่งที่น่ากังวลของ AI ที่ทำให้คุณนอนไม่หลับ?
เจสัน ควอน : สิ่งที่ทำให้ผมกังวลและตื่นเต้นในเวลาเดียวกันคือ อัตราความเร็วของการเปลี่ยนแปลงครับ ความเร็วนั้นนำมาซึ่งสิ่งดีๆ มากมาย ทั้งความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ในทางกลับกันผมก็คิดว่าสถาบันและโครงสร้างต่างๆ ในสังคมพร้อมที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนี้หรือยัง ผมคิดว่าการมีผู้เล่นหลายรายในวงการ AI เป็นเรื่องที่ดี เพราะมันทำให้ความรับผิดชอบนี้เป็นของทุกคน และยิ่งมีคนเข้ามามากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคนที่ช่วยให้สังคมปรับตัวได้เร็วขึ้นเท่านั้น

คุณเป็นนักกฎหมายแต่ตอนนี้กำลังสร้าง AI ที่ไร้ขีดจำกัด 2 โลกนี้ปะทะกันหรือไม่ ?
เจสัน ควอน : ผมไม่มองว่ามันเป็นการปะทะกันแบบนั้นนะครับ กฎระเบียบไม่ได้มีไว้เพื่อจำกัดพลังของเทคโนโลยี แต่มันมีไว้เพื่อกำหนดทิศทางของผลลัพธ์ต่างหาก ในฐานะผู้สร้างเอง การท้าทายข้อจำกัดบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ช่วยจุดประกายความคิดสร้างสรรค์ได้ด้วยซ้ำ

คุณหวังว่า AI จะมอบอะไรให้กับลูกๆ ของคุณในวันข้างหน้า ?
เจสัน ควอน : ผมหวังว่า AI จะช่วยให้พวกเขาสามารถจินตนาการถึงทิศทางของตัวเองในโลกนี้ ได้อย่างเหมาะสมกับตัวตนของพวกเขาเอง แล้วลงมือทำตามจินตนาการนั้นได้ด้วยความแม่นยำมากกว่าคนรุ่นผม หลายครั้งเราจะเจอคนที่มีความฝันและความหลงใหล แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเขาไม่ได้ลงมือทำมันจริงๆ ซึ่งปัญหานี้ซับซ้อนและมีมานานแล้ว แต่ผมคิดว่าเทคโนโลยี AI จะช่วยให้ผู้คนค้นพบและลงมือทำสิ่งที่ใกล้เคียงกับความปรารถนาที่แท้จริงของตัวเองได้ง่ายขึ้น

ในฐานะผู้นำคุณจะรักษาสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานอย่างไร ?
เจสัน ควอน : บอกตามตรงว่ามันเป็นการต่อสู้ดิ้นรนครับ ผมไม่ได้เก่งเป็นพิเศษในเรื่องนี้เลย และนี่คือจุดที่ผมรู้สึกเชื่อมโยงกับทุกคนที่รู้สึกว่าเวลาถูกบีบอัดเพราะเทคโนโลยี ผมไม่มีคำตอบที่น่าพอใจที่สุด นอกจากมันเป็นสิ่งที่ผมพยายามทำและยอมรับว่าตัวเองไม่ได้สมบูรณ์แบบในด้านนี้ แต่ผมก็พยายามให้ความสำคัญกับการชื่นชมช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต เช่น การได้มาทานข้าวเหนียวมะม่วงที่ประเทศไทยในวันนี้

อดใจรอไม่ไหวแล้วที่จะได้เห็นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคตสำหรับ OpenAI ในเอเชีย
เจสัน ควอน : แน่นอนครับ ผมคิดว่าภูมิภาคนี้มีความสำคัญเป็นอย่างสูงสำหรับเรา ด้วยเหตุผลที่เราได้คุยกันไป ทั้งการเติบโตที่น่าทึ่ง วิธีที่ผู้คนใช้ AI ในแบบที่สร้างสรรค์ และความจริงที่ว่าประชากรส่วนใหญ่ของโลกอาศัยอยู่ที่นี่ ถ้าเราอยากจะให้บริการคนเหล่านี้ได้ มันต้องเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด ตลอดการเดินทางของผมกับ OpenAI มีแต่เรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างต่อเนื่อง เหมือนอย่างการได้มานั่งคุยกับคุณในวันนี้ ผมว่าสิ่งที่สำคัญคือการใช้ชีวิตอย่างเปิดกว้าง เปิดใจรับสิ่งใหม่ๆ และใช้เวลาทำความเข้าใจผู้คน เพื่อนำมุมมองเหล่านั้นมาเติมเต็มโลกของเรา

ในฐานะ Chief Strategy Officer คุณมีบทบาทอย่างไร ?
เจสัน ควอน : หน้าที่หลักของผมคือการคิดว่าเราจะบรรลุภารกิจได้อย่างไร? เราต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างไรเพื่อตอบสนองต่อโลกภายนอก เพราะเทคโนโลยีไม่ได้เป็นแค่ผลิตภัณฑ์ แต่มันคือ พลังทางสังคม ที่จะส่งผลกระทบต่อชุมชนต่างๆ ผมมีหน้าที่ดูแลเรื่องนโยบาย กฎหมาย ผลกระทบทางสังคม และความปลอดภัยของแพลตฟอร์ม แต่สิ่งที่เชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกันคือการมองเทคโนโลยีให้ลึกกว่าแค่ผลิตภัณฑ์

พรอมต์แรกที่คุณใช้กับ ChatGPT คืออะไร?
เจสัน ควอน : พรอมต์แรกของผมคือ ชีวิตคืออะไร? ตอนนั้นเรายังไม่มี ChatGPT และใช้ GPT-3 ซึ่งเป็น Interface ที่ค่อนข้างดิบ ผมแค่อยากลองดูว่ามันจะตอบคำถามที่คลุมเครือแบบนี้ได้ไหม แม้คำตอบจะไม่ดีมาก แต่การที่มันตอบออกมาเป็นภาษาธรรมชาติที่สอดคล้องกันได้สองสามย่อหน้า ก็ทำให้ผมประทับใจมากแล้วครับ

อะไรที่ยังทำให้คุณประทับใจเกี่ยวกับ ChatGPT ในปัจจุบันนี้ ?
เจสัน ควอน : ความสามารถของมันในการตอบคำถามที่เราไม่เคยคิดถึงตอนที่สร้างมันขึ้นมาตั้งแต่แรก ผมยังคงประหลาดใจกับความถี่ที่มันตอบกลับมาได้อย่างสมเหตุสมผล แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าคือวิธีที่คนอื่นใช้มัน ถ้ามองย้อนไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ผู้คนใช้มันเพื่อเขียนเรื่องธรรมดาๆ แต่ตอนนี้พวกเขากลับใช้มันเพื่อ ขอคำวิจารณ์ หรือ ให้ความเห็น เกี่ยวกับงานเขียนของตัวเอง ผมคิดว่านี่น่าทึ่งมาก เพราะมันกำลังสร้างพื้นที่ให้ผู้คนสามารถแสดงออกได้มากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา สำหรับคนที่อาจไม่มั่นใจหรือขี้อายที่จะแบ่งปันผลงานกับคนอื่น ตอนนี้พวกเขามีคู่คิดที่ช่วยให้เขาได้สำรวจตัวเองและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ได้ตลอดเวลา ผมคิดว่าเราจะเห็นปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในรูปแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เพราะเทคโนโลยีนี้เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การแสดงออกทางความคิดง่ายขึ้น และมันทำให้ผู้คนหลายร้อยล้านคนสามารถมารวมตัวกันได้จากความสนใจ เดียวกัน

เรากำลังอยู่ในยุคที่ต้องดูว่าใครเป็นผู้ใช้พรอมต์ที่ยอดเยี่ยม ?
เจสัน ควอน : ใช่ครับ พรอมต์ อาจเป็นสิ่งใหม่ แต่สิ่งที่คงอยู่ยั่งยืนมานานหลายศตวรรษคือการที่ คนๆ นี้ถามคำถามที่ดีหรือไม่? ซึ่งในยุคนี้คำถามที่ดีจะมีคุณค่ามากขึ้นไปอีก เพราะต้นทุนในการหาคำตอบหรือการสร้างคำตอบนั้นต่ำลงมาก คุณแซม (แซม อัลต์แมน CEO ของ OpenAI) เคยอธิบายไว้ว่า ต้นทุนในการคิดไอเดียและต้นทุนในการลงมือทำไอเดียนั้นกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว ต้นทุนของปัญญาก็ลดลงเพราะ AI มีราคาถูกลง และต้นทุนของการผลิตก็ถูกลงด้วยเช่นกัน เมื่อสองสิ่งนี้มารวมกัน ลองคิดถึงพลังของคนที่ถามคำถามที่ดีมากๆ ดูสิครับ เพราะทุกคนจะสามารถเข้าถึงสิ่งที่เทียบเท่ากับความรู้ของไอน์สไตน์ได้ แต่ที่สำคัญที่สุดคือพลังของคนที่รู้ว่าจะต้องถามอะไร

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 18.00 น. คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=b22loIyRoa0
“เจนี่” เปมคลื่อนไหวแล้ว! ปม “เป้ย” ปล่อยโฮถอนตัวซีรีส์ ยืนยันไม่ใช่ตัวเอง
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที หลังจาก เป้ย ปานวาด เปิดใจพร้อมน้ำตาปมเหตุถอนตัวจากการเล่นซีรีส์เรื่อง "ตถตา I AM WHAT I AM" ของผู้จัดมือใหม่ เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ โดยเป้ยเปิดเผยว่ามีปัญหาเรื่องบทที่ไม่เป็นไปตามที่คุย และเจอคำพูดด้อยค่าจากคนในกอง ก่อนจะมาทราบภายหลังว่าถูกอีกฝ่ายดีสเครดิตของตัวเองอยู่วงการมา 20 ปี ไม่เคยเจออะไรแบบนี้

ล่าสุด“เจนี่”ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่าน อินสตาแกรมสตอรี่ เพื่อแสดงจุดยืนและชี้แจงถึงกระแสข่าวที่เกิดขึ้น “ฝากถึงพี่ๆ นักข่าวทุกคนด้วยนะคะ การพาดหัวข่าวควรไตร่ตรองอย่างรอบคอบและถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดหรือสร้างผลกระทบที่ไม่ควรเกิดขึ้น ขอบพระคุณมากค่ะ”

“ทั้งนี้ใคร่ขอความกรุณาจากแฟนๆ และผู้ติดตามข่าวทุกท่าน โปรดอ่านและไตร่ตรองเนื้อหาของข่าวอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะมีการตัดสินหรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อบุคคลนั้น ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ”
“การเขียนข่าวเพื่อความบันเทิงสามารถทำได้ แต่ควรคำนึงถึงการเขียนในลักษณะที่ทำให้ประชาชนไม่เกิดความเข้าใจผิด การพาดหัวและนำเสนอข่าวจึงควรอยู่ในขอบเขตที่ชัดเจนและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคม ขอบคุณค่ะ”
ทั้งนี้เจนี่ยังออกมายืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ใช่ตนแน่นอน

#สยามดารา #เป้ยปานวาด #เจนี่เทียนโพธิ์สุวรรณ์
หมออั้มฟ้องหมิ่นประมาท อาร์ต พศุตม์ ยันไม่มีปัญหาขัดแย้งส่วนตัว แต่จำเป็นต้องปกป้องสิทธิ์ ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง 14 ตุลาคม นี้
วันที่ 15 ก.ย.68 ที่ศาลอาญาถนนรัชดาภิเษก นพ.อิราวัต อารีกิจ หรือ หมออั้ม ได้ยื่นฟ้องนายพศุตม์ บานแย้ม หรือ อาร์ต พศุตม์ นักแสดงชื่อดัง ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยมีสาเหตุมาจากการที่หมออั้มโพสต์ข้อความพาดพิงถึง "พระเอกกล้ามโต" ทำให้เกิดการโต้ตอบกันอย่างดุเดือดในโซเชียลมีเดีย

หมออั้มเปิดเผยว่า การตัดสินใจฟ้องร้องในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นการใช้สิทธิ์ทางกฎหมายเพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรี รวมถึงชื่อเสียงในฐานะแพทย์ และเพื่อปกป้องครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำดังกล่าว

"ผมยืนยันว่าไม่มีปัญหาส่วนตัวกับคุณอาร์ต แต่เมื่อมีการกระทำที่เข้าข่ายหมิ่นประมาทและดูหมิ่นกัน ผมจึงจำเป็นต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด" หมออั้มกล่าว พร้อมระบุว่าได้รวบรวมหลักฐานการกระทำผิดไว้ทั้งหมด 128 กรณี และยืนยันว่าจะไม่มีการไกล่เกลี่ยอย่างแน่นอน เนื่องจากเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อครอบครัว และมีการสร้างบัญชีปลอมเข้ามาโจมตี

แม้จะมีผู้ใหญ่หลายท่านเข้ามาเจรจา แต่หมออั้มเห็นว่าไม่มีท่าทีของความเข้าใจและสำนึกผิดจากอีกฝ่าย ศาลจึงได้เลื่อนการไต่สวนมูลฟ้องคดีนี้ไปเป็นวันที่ 14 ตุลาคม 2568 เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงและหลักฐานต่อไป

#สยามดารา
“หลานม่า” แรงไม่หยุด! กวาด 9 รางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 33 ประจำปี 2567
เปิดตัวอย่างอลังการ สมกับเป็นงานประกาศรางวัลทรงคุณค่าของวงการภาพยนตร์ไทยที่จัดต่อเนื่องยาวนานถึง 33 ปี สำหรับงานประกาศรางวัล “สุพรรณหงส์ครั้งที่ 33 ประจำปี 2567” จัดขึ้นโดย สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ร่วมกับ กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.), วัน แบงค็อก และ อมรินทร์ ทีวี ช่อง 34 โดยปีนี้มาในคอนเซ็ปต์ “อินฟินิตี้” จัดขึ้นในวันที่ 14 กันยายน 2568 ณ วัน แบงค็อก ฟอรั่ม ชั้น 3

เปิดฉากงานด้วยพาเหรดเดินพรมแดงจากเหล่า ผู้กำกับ นักแสดง จากค่ายภาพยนตร์ต่าง ๆ ที่มาร่วมงานอย่างคับคั่ง ได้แก่ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล, เจฟ ซาเตอร์, ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ช่อ-พรรณิการ์ วานิช, ณัฏฐ์ กิจจริต, เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ, เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ, มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระ, บอส กูโน, พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์, ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์, จั๊มพ์-พิสิฐพล เอกพงศ์พิสิฐ, กระทิง-ขุนณรงค์ ประเทศรัตน์, เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์, มอส-ภาณุวัฒน์ โสประดิษฐ, แบงค์-มณฑป เหมตาล, แฟรงค์-ธนัตถ์ศรันย์ ซำทองไหล, เจแปน-พลอยปภัส ฝนแก้วศิวพร, กอล์ฟ-คุณาวุธ จิรัฐติกร, ปีเตอร์-ปรัตถกร ดวงสว่าง, แปลน-รัฐวิทย์ กิจวรลักษณ์, โยชิ-รินรดา ธุระพันธ์ ฯลฯ จากนั้นสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติร่วมรับชมวิดิโอเพื่อระลึกถึงบุคคลในวงการภาพยนตร์ผู้ล่วงลับ ก่อนที่พิธีกรกล่าวต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ พร้อมนำเข้า VTR รวมหนังไทยทั้งหมดในปี 2567 ที่เข้าชิงรางวัลในปีนี้ทั้ง 54 เรื่อง “หม่อม, ไชน่าทาวน์ ชะช่า, เหมรย บน บาป สาป แช่ง, ปิดเมืองล่า, พี่นาค 4, รอวัน, ภูพานสะอื้น, หลานม่า, มอร์ริสัน, เธอ ฟอร์ แคช สินเชื่อ...รักแลกเงิน, อนงค์, คนกราบหมา, เทอม 3, อำนาจ ศรัทธา อนาคต, ข่อยฮักเจ้าหลาย, เชคสเปียร์ต้องตาย, สังเวียนมวยรอง, ยูเรนัส 2324, แดนสาป, ผาดำคำไอ่ ซินเตอเรลล่าสตอรี่, ช.พ.๑สมรภูมิคืนชีพ, มานะแมน, วิมานหนาม, ฝนเลือด, องครักษ์พิทักษ์เจี๊ยบ, รถทัวร์ วีไอผี

ตาคลีเจเนซิส, อคิลลิสเคิร์ส กับสมบัติต้องคำสาป, ศึกค้างคาวกินกล้วย, ปอบแม่ใหญ่แดง, หลวงพี่เท่ง คัม แบ็ค, 4 ทรชนคนอันตราย, ธี่หยด2, ปณิธานหวานน้อย, ตำรวจแต่ง, 404 สุขีนิรันดร์ รัน รัน, วัยหนุ่ม 2544, เดอะ ซี๊ด คู่หูก้องโลก, ไรเดอร์, วัยสตาร์ท น็อนสต็อป, ผู้บ่าวนิกะห์, มันดาลา, คุณชายน์, สวรรค์บ้านนอก กกกอก, เกจิ คนฆ่าผี, หอแต๋วแตก แหกสัปะหยด, ปะฉะดะ, ผู้เช่า, แม่นาค ทะลุมิติ, ปิดเกมล่า, วัยเป้ง นักเลงขาสั้น, มึงนอน มึงตาย, มาลี และ ปิ๊งรัก..คนที่เลิก ในปีนี้ สมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ได้มอบรางวัล สุพรรณหงส์เกียรติยศ (Lifetime Achievement Award) .ให้กับ ยุทธนา มุกดาสนิท มอบโดย คุณธนกร ปุลิเวคินทร์ ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ, รางวัลผู้แสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ สีดา พัวพิมล จาก วิมานหนาม, รางวัลผู้แสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้แก่ เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ จาก วัยหนุ่ม 2544 , รางวัลเทคนิคการสร้างภาพพิเศษยอดเยี่ยม ได้แก่ ตาคลี เจเนซิส" จาก บริษัท แฟทแคท สตูดิโอ จำกัด, สตูดิโอคำม่วน, นิพันธ์ สตูดิโอ และ บริษัท เอ็นดีเอฟ เดฟ จำกัด, รางวัลเทคนิคพิเศษการแต่งหน้ายอดเยี่ยม ได้แก่ ช.พ.๑ สมรภูมิคืนชีพ โดย อาภรณ์ มีบางยาง และ บริษัท ธัมอาร์ต สตูดิโอ จำกัด, รางวัลออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม ได้แก่ วิมานหนาม โดย ชญานุช เสวกวัฒนา, รางวัลกำกับศิลป์ยอดเยี่ยม ได้แก่ วิมานหนาม โดย สองศักดิ์ กมุติรา

รางวัลดนตรีประกอบยอดเยี่ยม ได้แก่ หลานม่า โดย ใจเทพ ร่าเริงใจ, รางวัลเพลงนำภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ เพลง “เหมือนวิวาห์” โดย เจฟ ซาเตอร์ จาก วิมานหนาม, รางวัลบันทึกเสียงและผสมเสียงยอดเยี่ยม ได้แก่ หลานม่า โดย วรัตม์ ประเสริฐลาภ และ บริษัท กันตนา ซาวด์ สตูดิโอ จำกัด, รางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม ได้แก่ หลานม่า โดย ธรรมรัตน์ สุเมธศุภโชค, รางวัลกำกับภาพยอดเยี่ยม ได้แก่ วิมานหนาม โดย ตะวันวาด วนวิทย์, รางวัลภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยม ได้แก่ "อำนาจ ศรัทธา อนาคต" (Breaking the Cycle) : บริษัท ป๊อป พิคเจอร์ จำกัด , รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ หลานม่า โดย ทศพล ทิพย์ทินกร และ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ และยังมีรางวัลพิเศษ คือ รางวัลภาพยนตร์ไทย ยอดนิยมประจำปี 2567 ได้แก่ ยูเรนัส 2324 บริษัท เวลเคิร์ฟ จำกัด มอบโดย คุณพรชัย ว่องศรีอุดมพร เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ, รางวัลภาพยนตร์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทยยอดเยี่ยม ได้แก่ หลานม่า จาก บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด มอบโดย คุณยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริม วัฒนธรรม

รางวัลผู้แสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ได้แก่ อุษา เสมคำ จาก หลานม่า , รางวัลผู้แสดงนำชายยอดเยี่ยม ได้แก่ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล จาก หลานม่า, รางวัลผู้กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ พัฒน์ บุญนิธิพัฒน์ จาก หลานม่า มอบโดย นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, ภาพยนตร์ไทยรายได้สูงสุดประจำปี 2567 ได้แก่ "ธี่หยด 2" จาก บริษัท เอ็ม ดิสทริบิวชั่น จำกัด, บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด มอบโดย น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ, รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ หลานม่า จาก บริษัท จีดีเอช ห้าห้าเก้า จำกัด ประกาศ และมอบโดย คุณสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

จากนั้น คุณสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม, น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ, นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, คุณยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, คุณวราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม, นางสาวสุธาทิพ ลาภสมทบ ผู้เชี่ยวชาญ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์, คุณธนกร ปุลิเวคินทร์ ประธานสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ, คุณพรชัย ว่องศรีอุดมพร เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ, คุณพลินี คงชาญศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายรีเทล โครงการ วัน แบงค็อก, คุณวิชัย กุลธวัชชัย ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), คุณสุวรรณี ชินเชี่ยวชาญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และผู้ที่ได้รับรางวัลทุกคนขึ้นเวทีถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกัน เรียกว่าทุกรางวัลในปีนี้ เป็นการสร้างความภาคภูมิใจและส่งเสริมอุตสาหกรรมวงการภาพยนตร์ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังโดยแท้จริง
อินฟลูฯ สาว "ปิ่น หทัยรัตน์" น้อมรับผิด ดราม่าเย็บแผลให้นักมวย ยืนยันไม่ใช่ "หมอ"
จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ และมีการแชร์คลิปและภาพวิดีโอต่างๆ เกี่ยวกับอินฟลูฯ สาว  "ปิ่น หทัยรัตน์ ณ เชียงใหม่" หรือที่หลายคนเรียกกันในชื่อ "หมอปิ่น" แพทย์สนามขวัญใจแฟนมวยชาวไทย และอดีตนักมวยไทย ที่มีผู้ติดตามในเพจเฟซบุ๊ก กว่า 5.1 แสนคน ขณะทำหน้าที่เป็นแพทย์สนาม และเย็บแผลบนใบหน้าให้นักมวย โดยตั้งข้อสังเกตว่าเธอนั้น เรียนจบหมอมาจริง หรือไม่

ล่าสุดวันที่ 12 กันยายน 2568 ทางเจ้าตัว ได้มีการโพสต์ชี้แจงผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยระบุข้อความว่า "สวัสดีค่ะ ปิ่นขอออกมาชี้แจงกรณีดราม่าที่เกิดขึ้นนะคะ ปิ่นขอน้อมรับทุกคำติเตียนจากทุกท่าน และนำไปปรับปรุงไม่ทำให้เกิดอีกค่ะ ชี้แจงในส่วนของที่ทุกคนเข้าใจผิด ปิ่นจบสาขาแพทย์แผนไทยประยุกต์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ ค่ะ 

ปิ่นได้ทำการเย็บแผลนักมวยที่บริเวณใบหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรอีกทั้งยังทำนอกสถานที่ในส่วนนี้ ปิ่นยอมรับผิดและจะไม่ทำอีกค่ะ  ในการเรียนแพทย์แผนไทยประยุกต์มีการสอนเย็บแผลเบื้องต้นจริง แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์/พยาบาลค่ะ ส่วนนี้ยอมรับผิดและจะไม่ทำอีกค่ะ ในส่วนที่เรียกแทนตนว่า หมอ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดและมักง่ายของปิ่นเองว่าชาวบ้านเรียกแบบนั้นจึงแทนตนไป  ในส่วนนี้ก็จะไม่ทำอีกค่ะ และแทนตนว่าแพทย์แผนไทยประยุกต์ทุกครั้งค่ะ ส่วนชาวบ้านหากเรียกว่าหมอ ปิ่นจะชี้แจงว่า ปิ่นเป็นแพทย์แผนไทยประยุกต์นะคะ และตรงไบโอทุกแพลตฟอร์ม ปิ่นได้เขียนระบุว่าเป็นแพทย์แผนไทยประยุกต์เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด และความสับสนดังที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ค่ะ ขอโทษทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยความเสียใจอย่างที่สุด ที่ทำให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง ขออภัย ทุกท่านค่ะ"

และเมื่อตรวจสอบข้อมูลไบโอในโซเชียลต่างๆ ก็พบว่ามีการระบุข้อความไว้ว่า "ไม่ใช่แพทย์หญิง เป็นแพทย์แผนไทยประยุกต์ค่ะ ห้ามเรียกหมอแล้วน้า "
“โอปอล สุชาตา” เปิดใจทั้งน้ำตา รู้สึกผิดเมื่อความสำเร็จมาพร้อมกับการโดดเดี่ยว!
เปิดเบื้องหลังคว้ามงฟ้า โอปอล สุชาตา ที่หลายคนไม่เคยรู้ เคยร้องไห้หน้ากระจกนับครั้งไม่ถ้วน เล่าเคล็ดลับ Manifest ชีวิตจนได้ Miss World 2025 และปมในใจหลังคว้ามง เสียความสัมพันธ์แต่ไม่เสียความฝัน ในรายการ WOODY FM

Feeling ตอนนี้กับชีวิตเป็นยังไงบ้าง ?
โอปอ : ความจริงหนูยังรู้สึกเหมือนเดิมนะคะ เพราะด้วยความที่เราอยู่ในวงการนางงามแล้ว เราทำงานจริงจังมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้นตั้งแต่ปีแรกค่ะ เลยรู้สึกว่ายังคงเป็นการทำงานเหมือนเดิม เพียงแค่ว่าทำงานกับองค์กรใหม่ ก็อาจจะมีหลาย ๆ อย่างที่เราต้องปรับแล้วเป็นระดับโลกด้วย ก็อาจจะมี work culture หลาย ๆ อย่างที่เราค่อนข้างชินกับการทำงานกับทีมในไทย พอไปโน้นแล้วก็ไม่ว่าจะเป็นในมุมที่แบบต้องดูแลตัวเองต้องจัดการทุกอย่างเอง หรือจะเป็นการทำงานกับต่างชาติแล้วแต่ละประเทศที่เราไปไม่เหมือนกันเลย ก็จะเป็นในเรื่องนั้นมากกว่าที่แบบเปลี่ยนไปคล้ายๆ culture shock

คำถามที่ทุกคนจะถามคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกว่าทุกคนจะถามคุณตลอดไป คำถามนั้นคืออะไร ?
โอปอ : How are you doing? This is the reason why ค่ะ คือถ้าเกิดว่าหนูจะไปทุกที่แล้วทุกคนจะถามคำถามนี้ทุกที่ มันมีหลายมุมมาก หนึ่งคือเพราะเรารู้ว่าช่วงชีวิตนี้เราจะเจออะไรเยอะมาก อย่างน้อยการที่เขาถามคำถาม simple แบบว่า how you doing ค่ะ I could answer it in so many ways ที่เราอัปเดตว่าเป็นยังไงมาบ้างกับชีวิตนี้ คำถามนี้มันช่วยเราได้ด้วยนะคะ เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าแบบช่วงนี้แบบ I holding on ไม่ไหวแล้ว sometimes แค่คำถามว่าแบบ how you doing มันเหมือนแบบกำลังเจออะไรอยู่แล้วพอถาม Its just simple as that จะตอบออกมาก็ได้ว่า ชีวิตมาแบบนี้ ๆ หรืออาจจะตอบแค่ว่าช่วงนี้ไม่ไหว I need someone to talk to แล้วมันเป็นคำถามที่ถามเมื่อไหร่ในชีวิตมัน Pull you up ได้ค่ะ แต่เป็นคำถามที่เราทุกคนควรจะถามกัน ทุกวัน

เชื่อว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่มันเป็นการเช็กอุณหภูมิของตัวเราเองด้วย ?
โอปอ : ใช่ค่ะ I say its okay เราต้องเปิดโอกาสให้คนแบบ honest กับความรู้สึกตัวเองมากขึ้น เพราะว่าย้อนไปตั้งแต่คำถามเลย โลกมันไปไวมาก รายการเสร็จ we always on to something จนบางทีเราไม่ได้แบบว่าคนรอบข้างว่าเขาโอเคไหม หรือแม้กระทั่งตัวเราเองโอเคไหม

ถ้าคุณต้องการใครสักคนที่จะคุยด้วยที่สามารถบอกได้เลยว่าตอนนี้รู้สึกยังไง มันมีหลายระดับและเรายังสามารถเจาะลึกลงไปได้อีกว่าเพราะอะไร แค่เพียงการที่ได้ฟังกันและกัน ก็ช่วยทำให้ความรู้สึกนั้นเบาลงได้แล้ว
โอปอ : ใช่ค่ะ เพราะเหมือนกับว่าคุณได้พูดมันออกมา

ตอนนี้อายุ 21 ใช่ไหม ?
โอปอ : ใช่ค่ะ

คุณผ่านอะไรมามากจริง ๆ กว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้ มันสะท้อนให้เห็นถึงงานหนักที่คุณทำมาตลอดหลายปี ได้ค้นพบคุณค่าของตัวเอง แล้วสำหรับตลอดหลายปีที่ผ่านมามันเป็นอย่างไรบ้าง?
โอปอ : เป็นการเดินทางที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ บอกตามตรงนะคะ เพิ่งรู้คุณค่าของตัวเอง รู้ว่าเรามีศักยภาพ รู้ว่าเรามี ศักยภาพและความหมายในชีวิต มันหายากมากนะคะ โอปอดีใจมากที่เรามาอยู่บนเส้นทางนี้ แล้วเจอ value part หนึ่งของชีวิต เหมือนที่เราพูดใน Homecoming Spech มันออกจากใจจริง ๆ ไม่มีอะไรที่จะพูดเลยนอกจากขอบคุณที่ให้โอกาสเราในการทำให้ชีวิตตัวเองมีคุณค่า เพราะว่าแค่อายุ 21 ยังมีอะไรอีกมากมายในชีวิตให้ได้เจอ เพิ่งใช้ชีวิตมาแค่นี้ แล้วก็ยังรู้สึกว่าอยากให้อายุไขมนุษย์มันนานกว่านี้ จะได้มีเวลาสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้เยอะ ๆ รู้สึก appreciate มาก เพราะว่าวันก่อนเพิ่งคุยกับพี่ที่รู้จัก แล้วเขาพูดกับเราว่า ดีใจแทนโอปอพอจังเลยที่ได้มายืนอยู่ตรงจุดที่ตัวเองอยากยืนด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ เพราะว่าเราเคยคุยด้วยกันตอนนั้นก็คือไปแบบงานเปิดร้านของพี่ที่รู้จักแล้วเราก็นั่งคุยกับเขาแล้วอธิบายเพราะว่าปอวางแผนเราคุยกับเขาเลยว่า ตอนอายุเท่านี้ช่วงนี้เราจะเรียนแล้ว จะเบรกไปทำอันนี้เมื่อเราสำเร็จ รู้สึกว่าอันนี้จะเป็นพื้นฐานในการไปต่ออาชีพในฝันที่เราอยากเป็น ก็คือลิสต์ให้เขาเลยว่าเข้ามหาลัยถึงปีนี้ โอปอจะมาประกวดนางงามใหม่ จะไประดับโลก จะได้รับตำแหน่งไม่ได้ตำแหน่งแล้วก็กลับมา จะมาสานต่อเรื่องนี้ ๆ แล้วชีวิตโอปอรันแบบนั้น เป๊ะ ๆ เลย แล้วเขารู้สึกแบบว่าดีใจแทน ก็เลย realiz ว่า Im so fortunate ที่เรามีโอกาสได้ทำในสิ่งที่รักแล้วก็อยากทำ แล้วชีวิตมันไปตามนั้นจริง ๆ แต่ว่าเราก็กลับมานั่งคิดว่า Its not just luck ก็ประเมินตัวเองเหมือนกันแล้วก็เป็นความโชคดีที่ประเมินชีวิตตัวเองได้ค่อนข้าง accurate so far

อยากจะขอแสดงความยินดี ที่คุณสามารถคว้ามงกุฎ Miss World ได้ในวัยเพียง 21 ปี ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน รวมถึงพี่ด้วย
โอปอ : จริงหรือเปล่าคะ

ในวันนั้นในชีวิต เราไม่ได้คิดถึงเรื่องเพศหรือมุมมองอะไรเลยแค่มองว่ามันช่างงดงาม มันคือการเฉลิมฉลองของชีวิต ทุกคนต่างใฝ่ฝันถึงสิ่งนั้นและคุณก็ทำมันสำเร็จได้ตั้งแต่อายุเพียง 21 ปี
โอปอ: มันช่างเหลือเชื่อจริง ๆ ที่อยู่ใน position นี้ค่ะ คุณไม่รู้หรอกว่าฉันร้องไห้หน้ากระจกมากี่ครั้งแล้ว เพราะต้องแกล้งทำเป็นว่าฉันชนะ ร้องไห้ทุกครั้งที่เล่นแบบนั้นแบบว่าทุกครั้งที่เราเทรนเสร็จทุกครั้งที่เราอ่านหนังสือเสร็จ ทุกครั้งที่เตรียมตัวเสร็จก่อนนอนทุกครั้ง I cant help myself กระโดดออกมาจากเตียงแล้วก็ไปยืนหน้ากระจกแล้วก็เปิด soundtrack ที่เขาจะเปิดเวลาเขาจะ announce ค่ะ แล้วพอมันถึงพีคของ soundtrack ก็จะแบบ imagine ว่าเขาพูดชื่อไทยแล้ว แต่บางที It gets so serious เพราะว่าเราแบบอินมาก ๆ กับสิ่งนี้ แล้วเรามันพอย้อนกลับไปมันทำให้เห็นว่า I really wanted this

ทำแบบนี้นานขนาดไหน ?
โอปอ : ตั้งแต่ even before เข้าวงการอีกมั้งคะ เพราะว่าเราก็เห็นรุ่นพี่เขามีโมเมนต์ของเขามาเหมือนกัน Just like when you saw พี่ปุ๋ย แล้วทำทุกครั้งกลับมาจากโรงเรียน แต่มันแค่บ่อยขึ้น ตอนช่วงที่เราได้อยู่ในเส้นทางนี้จริง ๆ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแค่ว่าแบบชนะแล้วก็ no มันคือคุณเห็นเส้นทางก่อนที่ยูจะชนะด้วยแล้ว เห็นว่ามันเหนื่อยแค่ไหนแล้วมันแบบ rewarding มัน deserving แค่ไหน ก็เลยมีน้ำตาแห่งความภาคภูมิใจแบบออกมา Manifestation

แปลว่าคุณได้มโนภาพ ตั้งใจสร้างมันมาตลอดเลยใช่ไหม ?
โอปอ : ใช่ค่ะ

คุณได้ใช้ชีวิตเป็นตัวเองอย่างแท้จริงในทุกวันนี้ Manifestation คืออะไร ?
โอปอ : ตอนที่โอปอรู้จักกับคำนี้ครั้งแรก ก็คิดเหมือนกันว่าจะเวิร์คเหรอ จะทำได้เหรอ เอาง่ายๆเลยหรือแม้กระทั่งสวดมนต์ โอปอเป็นชาวพุทธ แล้วเราก็เข้าวัดแล้วก็สวดมนต์ แต่ว่าอันนั้นมันก็ปล่อยให้ไปในเรื่องของความเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่โอปอจับจุดได้เหมือนกันระหว่างสวดมนต์กับ manifestation เราไม่รู้หรอกว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่พาเราไปอยู่ตรงจุดนั้น มันเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น หรือว่ามันเป็นพลัง หรือว่ามันเป็นโชคดี หรือเป็นอะไรก็แล้วแต่ แต่โอปอรู้ว่าทุกๆครั้งที่ manifest แล้วทุกครั้งที่เราสวดมนต์ แล้วขอพรว่าอยากได้อะไร Thats a reminder ว่าขอเสร็จแล้ว ลุกไปทำอะไร You manifest นั่งอยู่หรือแบบฝันเห็นตัวเอง แต่ว่าพอวาดฝันนั้นเสร็จแล้ว ก็จะมานั่งคิดกับตัวเองว่าเราต้องทำยังไง ให้ไปอยู่ตรงนั้น ต้องใช้ชีวิตยังไงให้ไปอยู่ตรงนั้น มันเป็นการเตือนตัวเองว่า you cant just sit around ขออย่างเดียว คุณต้องรู้ด้วยว่าจะไปทำอะไรต่อ

สิ่งที่ต้องแลกมากับการมาถึงจุดนี้คือเรื่องเวลา คุณจัดการเวลาให้กับเพื่อน ๆ และคนรอบข้างที่คุณรักยังไง ?
โอปอ : คิดว่าไม่เก่งเรื่องนี้เลย แย่มากจริง ๆ รู้สึกว่าห่างไกลค่ะ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองไหมหรือว่าเพื่อนก็คิดเหมือนกัน แต่รู้สึกว่าเราไม่ดีพอกับการให้เวลาแล้วก็ความสนใจกับคนรอบข้าง แล้วก็บางครั้งก็รู้สึกว่าเหมือนต้องโทษตัวเองว่าเราโฟกัสกับสิ่งที่ชีวิตอยากจะทำมากเกินไปหรือเปล่า และก็มักจะบอกกับผู้คนอยู่เสมอว่า คุณต้องรู้จักขอบคุณในสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต เพราะว่าฉันก็มีเพื่อนบางคนที่บอกว่าอยากจะเป็นอยากจะเป็นแบบโน้นนี่นั่นแล้วก็ work hard เราไปบอกเขา แต่ว่าเราต้องดูด้วยนะว่าระหว่างทางถ้าเกิดว่าเราเอาแต่ทำงานแล้วมันขาดการใช้ชีวิตไป แล้วยูไม่ได้รู้จักเห็นคุณค่าแม้กระทั่งดอกไม้เล็ก ๆ ที่เห็นระหว่างทางที่มันเติบโตตามธรรมชาติ ตอนนี้คือแล้วฉันจะมีสิทธิ์อะไรไปพูดแบบนั้น รู้สึกอายมากที่ไปบอกเขาแบบนั้น เพราะว่าเราเป็นแบบนั้น คือหนูทำงานตั้งแต่ 18 ใช่ไหมคะ ซึ่งรู้สึกว่าบางอย่างที่รู้สึกตอนนี้ มันก็ไม่ได้ใหญ่มากเทียบกับหลาย ๆ คนที่เขาก็จะต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองอายุน้อยกว่าปออีก แต่มันเป็นสิ่งที่เรา value เหมือนกัน เราบ้างานตั้งแต่อายุ 18 เลิกเรียนแล้วเพื่อนไปคาราโอเกะ เราเลือกที่จะไปทำงานแล้วก็ไม่ได้สร้าง relationhip กับเพื่อนหรือใครที่เรา consider ว่าเพื่อน แต่สิ่งที่โอปอรู้สึกว่าทำพลาดคือ relationhip ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เราไม่ได้ตั้งใจรักษามันไว้ คือตอนนี้ก็ยังเป็นเพื่อนกันแต่รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่ในแบบไซเคิลของเขา ไม่รู้ว่าตอนนี้เพื่อนเป็นยังไง แล้วเพื่อนก็ไม่กล้าทักมาหา เราก็รู้สึกห่างกับเพื่อนไป เคยถามเพื่อนว่าเรายังเหมือนเดิมกันไหม เพราะรู้สึกเหมือนไม่ได้เจอเพื่อนเลยเราห่างเพื่อนมาก เราอาจจะไม่ได้สนิทกันเหมือนเดิมหรือเปล่า เพื่อนบอกมาว่าพวกเขารู้หมดว่าเกิดอะไรขึ้นในชีวิตเรา We know whats going on แต่ว่าเลือกที่จะไม่ interfere เพราะกลัวว่าเขาจะมาขัดกับการเติบโตของเรา (น้ำตาไหล)
คิดถึงอะไรอยู่ ?
โอปอ : เพราะว่าวันก่อนเพื่อนทักมาถามว่าอยู่ไหน โอปอบอกว่าอยู่อังกฤษกำลังจะกลับไทยแล้วเขาก็บอกว่าจะกลับไทยเหมือนกันเผื่อได้นัดกัน แล้วเพื่อนเขาก็พูดมาคำหนึ่งว่าไม่กล้าทักไป เพราะว่าไม่อยากรบกวน รู้สึกว่าเราเป็นเพื่อนภาษาอะไร เพื่อนถึงไม่กล้าทักมา อยากให้ทักค่ะ เพราะว่าคือก็เป็นเพื่อนกัน แต่ว่าในขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งก็รู้ว่าถึงให้เพื่อนทักมาชวนเราก็ไม่ว่างไป เราไม่อยากปฏิเสธเพื่อนแต่ว่าในขณะเดียวกันรู้สึกว่าเราเป็น bad friend ไม่มีคุณสมบัติเพื่อนที่รู้สึกว่าเขาสามารถทักมาได้

เคยกำหนดวันเพื่อนหรือยัง แบบเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้ง ?
โอปอ : ไม่เคยเลยค่ะ ใช่อันนี้เป็นสิ่งที่หนูรู้สึกว่าทำพลาด เพราะว่าไม่สามารถที่จะ balance เรื่องงานกับชีวิตส่วนตัวได้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าเราทุ่มเทและเต็มไปด้วยแพสชั่นทั้งกับชีวิตและสิ่งที่ทำอยู่กลัวว่าเราจะไม่สามารถที่จะยืนด้วยตัวเองได้ หรือว่าดูแลครอบครัวได้ ดูแลคุณพ่อคุณแม่ได้ มันเลยทำให้เราทำงานๆ แล้วเลือกที่จะงาน over สิ่งเหล่านี้ เพราะรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ รู้สึกว่ามันมีอยู่ตรงนั้นตลอด ตอนแรกคือโอปอรู้สึกว่าจะไม่ทำตรงนี้แล้ว เพราะรู้สึกว่าค่อนข้างที่จะเจ็บเยอะ แล้วก็บางครั้งก็นั่งถามตัวเองว่าทำไมต้องมาเจออะไรที่มันบั่นทอน แทนที่เราจะไปทำอย่างอื่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ของ ตัวเอง

หมายถึงว่าช่วงนี้ก่อนหน้านี้ ?
โอปอ : ช่วงก่อนหน้านี้ค่ะ แล้วรู้สึกว่าเข้าใจนะว่าอยากทำความฝันตรงนี้ให้เป็นจริง แต่มัน is it worth it ที่จะเสียสภาพจิตใจหรือว่าเหนื่อย หรือว่าทำอะไรกับตรงนี้ จนได้มาทำจริง ๆ รู้สึกว่ามันคุ้มที่จะแลก ย้อนกลับไปก็ภูมิใจในตัวเอง สุดท้ายแล้วคือเราเรียนรู้จากทุก ๆ อย่าง ถ้าให้ย้อนกลับไปได้ก็คงทำเหมือนเดิมอยู่ดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสตรงนี้ ถ้าเราไม่ได้เลือกเส้นทางนี้ก็คงใช้เวลาอีกเยอะมากในชีวิตแล้วก็เสียหลาย ๆ อย่างที่เราอยากจะทำ เพราะว่าเรารู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าเป็นคนอยากทำหลาย ๆ อย่างในชีวิต รู้สึกว่าอันนี้เป็นอีกหนึ่ง factor ที่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ากับการเกิดมาในครั้งนี้ ถ้าไม่ได้ทำรู้สึกว่าเสียดายชีวิต ถ้าชีวิตนี้ไม่ทำอันนี้แล้ววันหนึ่งเราหายไปจากโลกนี้เสียดาย ถ้าเป็นคนอื่นคงด่าว่าเสียโควต้าการเกิด

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 18.00 น.
คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=oxDdo68knoQ
“แซมมี่” ควง ”แชมป์“ จัดทริปเที่ยวขุนตาล เห็นภาพแล้วไม่เสียชื่อคู่รักสายลุย
ไม่เสียชื่อคู่รักสายแอดเวนเจอร์จริง ๆ สำหรับคู่ของนักแสดงหนุ่ม แชมป์ ชนาธิป และนางเอกสาว แซมมี่ เคาวเวลล์ ที่ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องพากันออกทริปเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ที่เน้นการเดินป่า ปีนเขา สัมผัสความงดงามของธรรมชาติ

ล่าสุด “แชมป์-แซมมี่” ได้จับมือกันจัดทริปเที่ยวภาคเหนือไป ขุนตาล จังหวัดเชียงราย ที่เดินทางด้วยรถไฟตู้นอน ซึ่ง แชมมี่ ยังได้เปิดภาพการเดินทางที่แสนทรหดสุดโหดนี้ว่า..ชินยัง..ก็อาจ จะยังนะ

งานนี้ทำเอาเหล่าแฟนคลับเข้ามาแซวความหวานบวกกับความลำบากทุลักทุเลกันสนั่น
Cr. ig : @sammycowelll
#แซมมี่เคาวเวลล์ #แชมป์ชนาธิป #สยามดารา
รวบแล้ว! ช่างซ่อมนาฬิกาลักทรัพย์ลูกค้า รวมของ “นีโน่-เมทนี” 2 เรือน
CIB โดยกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ (บก.ปพ.) บุกรวบช่างซ่อมนาฬิกาวัย 60 ปี ผู้ต้องหาลักลอบนำนาฬิกาของลูกค้าไปจำนำกว่า 11 เรือน หนึ่งในนั้นเป็นของนักแสดงชื่อดัง นีโน่-เมทนี บุรณศิริ 2 เรือน มูลค่ารวมกว่า 5 แสนบาท สารภาพนำเงินที่ได้ไปเล่นพนันออนไลน์ และโอนให้ภรรยาที่อยู่ ต่างประเทศ

คดีนี้สืบเนื่องจากนาย นรินทร์ ช่างซ่อมนาฬิกา ได้นำนาฬิกาข้อมือของลูกค้าหลายรายไปจำนำอย่างต่อเนื่อง รวม 11 เรือน โดยได้รับเงินจากการจำนำไปกว่า 500,000 บาท ซึ่งในจำนวนนี้มีนาฬิกาของ นีโน่-เมทนี บุรณศิริ ที่นำมาซ่อมแซมรวมอยู่ด้วย 2 เรือน การจำนำครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนที่ผู้ต้องหาจะหลบหนีไปเช่าห้องพักเพื่อกบดานอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ หลังจากการสืบสวนและติดตามอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถแกะรอยและพบแหล่งกบดานของนายนรินทร์ที่ห้องเช่าในจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเพิ่งเช่าได้เพียง 10 วัน จึงได้แสดงหมายจับเข้าจับกุมตัวไว้ได้ในที่สุด

นอกจากคดีลักทรัพย์ล่าสุดแล้ว การตรวจสอบประวัติยังพบว่านายนรินทร์มีหมายจับติดตัวในคดี "ยักยอกทรัพย์" ของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีอีก 1 คดีด้วย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ยึดตั๋วจำนำนาฬิกา 10 ใบไว้เป็นหลักฐาน และควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสอบสวน นายนรินทร์ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยระบุว่าเงินที่ได้จากการจำนำนาฬิกานั้น ส่วนหนึ่งนำไปใช้ เล่นการพนันออนไลน์ และอีกส่วนหนึ่งโอนไปให้ภรรยาที่อาศัยอยู่ในประเทศลาว เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารพบว่ามีเงินเหลืออยู่ไม่ถึง 10,000 บาท
การจับกุมครั้งนี้เป็นไปตามคำสั่งการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. และการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ท.เอกพงษ์ ผูกพันธ์ รอง ผกก.1 บก.ปพ. พร้อมทีมงานจาก กก.1 บก.ปพ.
ลาครั้งสุดท้าย! ครอบครัวจารุจินดา ร่วมอาลัย เล็ก ณรงค์ ผู้กำกับดังหลังต่อสู้โรคมะเร็งนาน 6 ปี
วันที่ 10 ก.ย. ที่ วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน สถานที่ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล เล็ก-ณรงค์ จารุจินดา ผู้กำกับชื่อดัง สามีของผู้จัดละครชื่อดัง กอบสุข จารุจินดา และเป็นพี่ชายของนักแสดงอาวุโส ดวงดาว จารุจินดา ซึ่งเสียชีวิตอย่างสงบในวัย 75 ปี ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัว และเพื่อนพ้องคนสนิททั้งในและนอกวงการบันเทิง

เมื่อ เวลา 10.30 น. ครบครัวนิมนต์พระสงฆ์ เพื่อประกอบพิธีสวดพระพุทธมนต์ มาติกา บังสุกุล ถวายภัตตาหารเพลแก่พระสงฆ์ ต่อจากนั้น เวลา 16.30 น. ครอบครัวทำการเคลื่อนร่างเวียนเมรุ พร้อมนำหีบขึ้นสู่เมรุเพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจ เพื่อรอประกอบพิธีประชุมเพลิง ต่อมาเวลา 17.00 น. ถึงเวลาประกอบพิธีประชุมเพลิง ณ ฌาปนสถานกองทัพอากาศ เมรุ 1 ท่ามกลางความโศกเศร้าอาลัยของครอบครัว ญาติสนิท รวมถึงเพื่อนพ้องในวงกาบันเทิง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้บรรยากาศภายในพิธีมีผู้มาร่วมแสดงความอาลัย และร่วมส่ง ‘เล็ก ณรงค์’ จำนวนมาก โดยมีบุคคลในงการบันเทิง ดังนี้ อรุโณชา ภาณุพันธุ์, ณัฐนี สิทธิสมาน, วรายุฑ มิลินทจินดา, พิยดา จุฑารัตนกุล. ศุภชัย ศรีวิจิตร, เจมส์ มาร์, รินลณี ศรีเพ็ญ, ครีม เปรมสินี ฯลฯ
ครอบครัวจารุจินดา ร่ำไห้ เผย เล็ก ณรงค์ ผู้กำกับดัง ต่อสู้โรคมะเร็งนาน 6 ปี ไม่เคยบอกใคร
เมื่อวันที่ 9 กันยายน ที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน ณ ศาลาพ่วงจินดา สถานที่ประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล เล็ก-ณรงค์ จารุจินดา ผู้กำกับชื่อดัง สามีของผู้จัดละครชื่อดัง กอบสุข จารุจินดา และเป็นพี่ชายของนักแสดงอาวุโส ดวงดาว จารุจินดา ซึ่งเสียชีวิตอย่างสงบในวัย 75 ปี ด้วยโรคประจำตัวที่รักษามานาน โดยในค่ำคืนนี้บุตรธิดาและครอบครัวจารุจินดา เป็นเจ้าภาพในพิธีสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าแม้จะมีฝนตกลงในบางช่วง แต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อผู้ที่เดินทางมาร่วมไว้อาลัยให้กับผู้กำกับดังแต่อย่างใด โดยคนบันเทิงทยอยเดินทางมาไว้อาลัยให้กับผู้กำกับดังแบบไม่ขาดสาย อาทิ หนุ่ม สันติสุข, อาโย ทัศน์วรรณ, จุ๊บแจง วิมลพันธ์,ไก่ วรายุฑ,ธงธง มกจ๊ก, แก๊ป ชนกสุดา,ยิ่งยง ยอดบัวงาม, เด่นคุณ งามเนตร,กลัฟ คณาวุฒิ, อ๊อฟ พงษ์พัฒน์, แดง ธัญญา, กิ๊ก มยุริญ, ดิลก ทองวัฒนา, ยิหวา ปรียากานต์ และหลิงหลิง คอง เป็นต้น ท่ามกลางบรรยากาศที่ยังคงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

ทั้งนี้ก่อนจะมีการประกอบพิธีสวดพระอภิธรรมในเวลา 18.30 น. ครอบครัวจารุจินดา ดวงดาว จารุจินดา, กอบสุข จารุจินดา,อุ๊ พัชนี, เติ้ล ตะวัน ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงความรักความผูกพันที่มีต่อ เล็ก- ณรงค์ จารุจินดา ว่า

ดวงดาว : “ดาวมีพี่น้องทั้งหมด 4 คน พี่ชาย2 คน แล้วก็น้องชายอีก1 คน ดวงดาวจะเป็นไข่แดงในบ้าน ทั้งพี่และน้องจะคอยดูแล ในตอนเด็กๆ ไม่ว่าใครจะมารังแก ดึงผมเปียหรืออะไรก็แล้วแต่ ลุงเล็กจะลุยไปจัดการให้ ใครอย่าได้มาทำอะไรน้องสาวฉัน พี่ชายคนนี้จะจัดการเอง เราเติบโตมาด้วยกัน พ่อ-แม่สอนเราตลอดว่าเราเป็นพี่น้องกันต้องรักกัน ไม่ทอดทิ้งกัน สิ่งนึงที่ครอบครัวเรามีอยากให้บ้านเรา 4 คนพี่น้องปลูกบ้านอยู่ใกล้ๆ กัน เพื่อว่าวันนึงใครมีอะไร ใครต้องการความช่วยเหลืออะไรเราพร้อมที่จะแท็กทีมช่วยเหลือกันตลอด สิ่งเหล่านั้นถูกปลูกฝังและส่งต่อมายังรุ่นหลาน

สำหรับดวงดาวรักพี่ชายคนนี้ที่สุด พี่เราป่วยมาหลายปี ทำใจทุกอย่างหมด เราคุยกันตลอด เราบอกพี่เราว่าต้องสู้ เพราะพี่มีหลาน มะเฟือง-มะไฟ ที่น่ารักมาก เป็นหลานตาที่น่ารักที่สุดในโลก เราก็เพียรบอกพี่เรามองดูมะเฟือง มะไฟสิ ตาเล็กไม่อยากเห็นหลานเติบโตเหรอ สู้นะ เขาก็สู้ ลุงเล็กมาทำอาหาร เพราะวันนึงที่เขาไม่ได้กำกับแล้วเขาก็อยากจะทำอะไรให้ครอบครัว เขามีรสมือที่อร่อยที่สุด เราจะเรียกเขาว่าเชฟมิชลิน น้องสาวจะไม่กินเนื้อสัตว์ในวันพุธกับพฤหัสฯ เขาก็จะคิดเมนูต่างๆ นานามาให้น้องสาวมีความสุขและอร่อยกับการไม่กินเนื้อสัตว์ เมนูของเขาอาดาวลงคลิปบ่อยมาก และโพสต์เชฟมิชลินของน้อง อาหารจากพี่ชายสุดที่รักของน้อง เมนูตำแตงของเขามีคนดู 10 ล้านวิว เขาก็ภูมิใจ

มันเป็นเรื่องธรรมดาแหละของการจากลา เดี๋ยววันนึงก็จะถึงคิวของเรา เพียงแต่ในความรู้สึกเรามันเร็ว แม้จะไม่ได้อยู่ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตพี่แต่ทุกๆ อย่างมันเป็นความทรงจำที่งดงามสำหรับเรามากที่สุด เราภูมิใจในพี่เราที่สุดของที่สุดของที่สุด พี่เราเป็นลูกที่ดี เป็นน้องที่ดี เป็นพี่ที่ดี เป็นลุงที่ดี เป็นสามีที่ดี เป็นผู้กำกับซึ่งหลายๆ คนรักพี่ชายเรา เขามีความสุขที่ได้ทำงานกับพี่ชายเรา ขอบคุณทุกคนจริงๆ อยากให้ทุกคนจำภาพพี่ชาย อย่างสวยงาม เราอาจจะไม่ได้บอกกับหลายๆ คนว่าพี่เราเจ็บป่วย เราอยากให้ทุกคนจำจดภาพพี่เราหล่อๆ พี่ชายดวงดาวหล่อมาก ใครๆก็ชม ก็อยากให้ทุกคนจดจำภาพของ ณรงค์ จารุจินดา พี่ชายที่แสนดีของเรา" อุ๊ พัชนี :" (ร้องไห้)เราคิดว่ามันผ่านเวลามาหลายวันแล้ว มันจะดีขึ้นในวันสุดท้าย ขอบคุณทุกๆ คนที่มาส่งพ่อกันเยอะขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าจะมีแขกมาล้นศาลา มีพวงหรีดที่ล้นออกมาข้างนอก ถ้าพ่อได้เห็นพ่อก็คงจะขอบคุณทุกท่าน คุณพ่อป่วยมา 6 ปีแล้วแต่พ่อไม่เคยบอกใครเลย เพราะพ่อเป็นคนที่ยิ้มแย้ม มีความสุข สร้างความสุขให้คนรอบข้างเสมอ ในวันที่พ่อป่วย เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเป็นกังวลว่าเขาจะเป็นอะไรมาก

10 วันสุดท้ายที่พวกเราได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เราใช้เวลาด้วยกัน 24 ชั่วโมง อุ๊ได้อยู่ส่งพ่อจนลมหายใจสุดท้ายของพ่อ คิดว่าเขาหลับสบาย ไปในที่ๆ ดี พวกเราทำกันเต็มที่เพื่อส่งพ่อไปให้ดีให้สบายที่สุด“

เติ้ล ตะวัน : ”อยากให้ทุกคนจำภาพดีๆ ของลุงเล็กไว้ สำหรับคนในวงการบันเทิงเชื่อว่าลุงเล็กเป็นผู้กำกับที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆ คน“

กอบสุข : “หลังจากส่งลุงเล็กแล้ว เราจะไปส่งให้อยู่กับพ่อที่ศรีราชา เป็นสิ่งที่เขาสั่งเอาไว้ให้ไปลอยอังคารที่เดียวกัน “

ฝากถึง พี่ชาย?
ดวงดาว : ”รักและภูมิใจในตัวลุงเล็ก เราดีใจที่เราได้พูดกับพี่เราว่าเรารักพี่เราที่สุด เราโชคดีมากๆ ที่ได้เกิดมาเป็นน้องสาวเขา เขาพูดกับน้องชายคนเล็กว่า เขาอยากให้น้องสาวของเขาจดจำเขา น้องจะได้ไม่ลืมเขาว่าพี่ชายทำอาหารให้กินทุกวันๆ“

กอบสุข : ”เคยบอกเขาว่า ลุงเล็กไม่สบายจะไปทำทำไมอาหาร เขาบอกให้เขาทำเถอะ ไม่รู้ว่าเขาจะได้ทำอีกสักเท่าไหร่ ขอให้เขาได้ทำเถอะ เขาทำให้แม่ ทำให้ทุกคนในบ้านกิน เราก็ต้องยอมเขาเพราะมันเหมือนเป็นยารักษาเขาไปในตัว“

ดวงดาว : ”ทุกคนไม่รู้ว่าเชฟมิชลินของดวงดาวความจริงแล้วเขาไม่สบาย แม้กระทั้งวันสุดท้ายที่เขาไม่ไหวแล้ว เขาก็ยังมานั่งคุมพี่สะใภ้คิดเมนูอาหาร เช้าเขาก็จะไปจ่ายตลาด (ร้องไห้) มะไฟ(หลานสาว)บอกว่าตาเล็กทำเมนูไข่ตุ๋นอร่อยที่สุดในโลก แล้วมะไฟบอกว่าตาเล็กไม่ต้องห่วงมะไฟจะทำหน้าที่ดูแลคุณทวดแทนตาเล็กทุกอย่าง แล้วเขาก็ทำได้อย่างที่เขาพูดจริงๆ หลานเป็นสิ่งที่เยี่ยวยาหัวใจคนสูงอายุในบ้านทั้งหมด คุณยาย 96 ปีแล้ว เขาพูดกับลูกชายคนโต (ตั้ม วิชญะ) ว่ายาย 96 แล้วแต่แทนที่ยายจะไปก่อน ต้องมาเห็นลูกเสียไปก่อน

หลายคนอาจจะสงสัยว่าลูกชายคนโตของดวงดาวไปไหน คือเขาเป็นโควิด ตลอดเวลาที่ลุงเล็กไม่สบาย เขาจะไปดูลุงเล็กทุกวัน เขาบอกเขาเสียใจอย่างเดียว เขาไม่ได้พูดสักคำว่าตั้มกราบของคุณลุงเล็กมากๆ กับสิ่งที่ลุงเล็กทำให้ ตอนนั้นที่เขาเป็นนักร้อง มีวงดนตรี ลุงเล็กทำ ม.6/2 ห้องครูวารี เขาให้หลานและวงของหลานร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนั้น เขาเป็นที่สุดของที่สุดของครอบครัวแล้ว พวกเราไม่รู้จะบรรยายคำไหนออกมาได้อีก เขาไม่มีคำว่าบกพร่องเลยในการทำหน้าที่ของเขา ก็ภูมิใจและจะเก็บภาพความภูมิใจทั้งหมดนั้นไว้ภายในหัวใจครอบครัวจารุจินดา“

อุ๊ พัชนี: "พ่อเป็นแบบอย่างให้สานต่อในอาชีพที่พ่อรัก คือการทำงานกำกับและผู้จัดละคร"

กอบสุข : “ละครเรื่องสุดท้ายที่แกทำคือเรื่องเจ้าสาวบ้านไร่ ตอนนั้นแกเป็นมะเร็งแล้ว 3 ปี เราก็คิดว่าเขาจะทำไม่ไหว ก็บอกลุงเล็กให้คนอื่นกำกับได้ไหม แกก็บอกไม่เอา เขาอยากจะทำ แล้วเขาเอาหลานสาว มะเฟือง-มะไฟมาเล่นนะ เขาอยากจะกำกับหลานเขา นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจมาก เป็นละครที่ประสบความสำเร็จ เขาก็ดีใจ เพราะเขาตั้งใจว่าจะเป็นละครเรื่องสุดท้ายของเขา”

อุ๊ : ”(ร้องไห้) อุ๊โตมากับพ่อ อุ๊โตมาในกองเคียงข้างคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก อุ๊จะเข้าห้องตัดกับพ่อตลอด ไปกองกับพ่อ ตอนเด็กๆพ่อกำกับหนูก็นั่งม้วนฟิล์มให้พ่อ โตขึ้นมาอีกหน่อยพ่อทำละครหนูก็นอนหยอดเทปให้พ่อทั้งคืน เพื่อให้พ่อลุกขึ้นมาตัดต่อตอนกลางวัน อยู่ในกองเป็นผู้ช่วย พ่อค่อยๆสอนทีละเรื่อง อย่างละนิดอย่างละหน่อย เราก็ค่อยๆ ซึมซับมาเรื่อยๆ คิดว่าทุกอย่างที่เป็นได้วันนี้ก็ได้มาจากพ่อ เสียดายที่พ่อไม่ได้ดูละครเรื่องนั้นอุ๊กำกับ ถ้าพ่ออยู่บนโน้นแล้วมีโอกาสได้ดูก็อยากจะบอกพ่อว่า พ่อต้องภูมิใจในตัวอุ๊ให้มากๆเลยนะ เพราะอุ๊ทำได้ทุกอย่างที่พ่อสอนมา“

สำหรับพิธีฌาปนกิจ ในวันพุธที่ 10 กันยายน ในเวลา 10.30 น. สวดพระพุทธมนต์ มาติกา บังสุกุล ถวายภัตตาหารเพล จากนั้น 16.30 น. เวียนเมรุ และเวลา 17.00 น. ประชุมเพลิง ณ ฌาปนสถานกองทัพอากาศ เมรุ 1
ศิลปินตลกชื่อดัง “ถั่วแระ เชิญยิ้ม” พร้อมทนายความ เดินทางเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยืนยันเคยทำบุญจริงแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ดิน เตรียมหลักฐานมอบให้ตำรวจตรวจสอบ พร้อมยอมรับตื่นเต้นที่จะเข้ามาให้ข้อมูลด้วยตนเอง
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 ก.ย. ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ศิลปินตลกชื่อดัง “ถั่วแระ เชิญยิ้ม” พร้อมทนายความ เดินทางด้วยรถตู้ส่วนตัวสีขาว ทะเบียน นจ 888 นนทบุรี เพื่อเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีถูกพาดพิงเชื่อมโยงกับคดีวัดพระบาทน้ำพุ ถั่วแระ เปิดเผยกับสื่อมวลชนก่อนเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า วันนี้ตั้งใจมายืนยันแสดงความบริสุทธิ์ใจ 100% และเตรียมหลักฐานทุกอย่างเพื่อมอบให้ตำรวจตรวจสอบ โดยยอมรับว่าเคยร่วมทำบุญและบริจาคให้กับวัดพระบาทน้ำพุจริง แต่ยืนยันว่าเป็นการทำด้วยความศรัทธา ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องที่ดินหรือผลประโยชน์ใด ๆ

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามถึงความรู้สึกต่อกรณีที่อดีตหลวงพ่อซักทอดถึงตน ถั่วแระเพียงยิ้มและส่ายหน้า ไม่ได้ให้ความเห็นใด ๆ แต่ยอมรับว่ารู้สึกตื่นเต้นที่ได้เข้ามาให้ข้อมูลด้วยตนเอง สำหรับความสัมพันธ์กับ “ทิดอลงกต” ถั่วแระ ระบุว่าไม่สามารถระบุได้ว่ารู้จักกันตั้งแต่เมื่อใด และยืนยันว่า การทำบุญของตนส่วนใหญ่ทำด้วยแรงกายและแรงใจ เนื่องจากไม่ค่อยมีเงินมากนัก แต่ทำอย่างสม่ำเสมอหลายวัดหลายแห่ง

นอกจากนี้ ถั่วแระ พร้อมทนายความได้เดินทางต่อไปที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อชี้แจงข้อมูลกับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. โดยภายหลังคาดว่าจะลงมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกครั้ง

ต่อมาเมื่อเวลา 13.40 น. วันที่ 9 ก.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายศรสุทธา กลั่นมาลี หรือ “ถั่วแระ เชิญยิ้ม” ศิลปินตลกชื่อดัง พร้อมนายศรายุทธ ยงหนู ทนายความของศิลปินตลก ได้นำเอกสารหลักฐานเข้ามอบให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังถูกพาดพิงโยงในคดีวัดพระบาทน้ำพุ

ถั่วแระ เปิดเผยภายหลังการเข้าพบว่า เอกสารที่นำมาเป็นหลักฐานเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่อง “พลังบุญ” และกิจกรรมในสมาคมด้านกีฬาและศาสนา ซึ่งตนเคยมีส่วนร่วม โดยเล่าว่า หลังลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมศิลปินตลก ได้เข้ามาทำงานด้านบุญและกิจกรรมสาธารณกุศลร่วมกับอดีตพระอลงกต และถูกแต่งตั้งเป็นนายกสมาคมเชียร์ไทย ก่อนจะต่อยอดเป็นกิจกรรม “ชม ช็อป ชิม เชียร์ ช่วยชาติ ช่วยศาสนา”

ถั่วแระ ระบุว่า กิจกรรมต่าง ๆ จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น ค่าน้ำมัน ค่ารถ จึงมีการประชุมภายในสมาคมเพื่อจัดทำระบบเบิกจ่าย โดยเงินส่วนใหญ่ได้รับจากเลขาฯ ของอดีตพระอลงกตในรูปแบบเงินสด ทั้งนี้จำนวนเงินแตกต่างตามภารกิจ หากเดินทางไปต่างประเทศจะมากหน่อย แต่หากเป็นกิจกรรมในประเทศ เช่น ที่วัดพระบาทน้ำพุ มักอยู่หลักพันถึงหลักหมื่นบาท และตลอดเวลาที่ทำงานระหว่างปี 2562-2564 มีการจัดทำเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายครบถ้วน

เมื่อ ถูกถามว่าเงินที่ได้รับมาจากมูลนิธิหรือจากบัญชีส่วนตัวของอดีตพระอลงกต ถั่วแระ ตอบว่าไม่ทราบ เพราะตนรับผ่านเลขาฯ เท่านั้น ยืนยันว่าเงินไม่เคยถึงหลักล้าน สูงสุดแค่หลักแสนบาท พร้อมชี้แจงว่าเอกสารที่นำมามีทั้งชื่อผู้เบิก ผู้รับ รวมถึงสำเนาบัตรประชาชนครบถ้วน โปร่งใสตรวจสอบได้
กรณีมีกระแสข่าวว่าตลกชื่อดังถือครองโฉนดที่ดินของอดีตพระอลงกต ถั่วแระ ปฏิเสธหนักแน่นว่าไม่เกี่ยวข้อง พร้อมท้าพิสูจน์ผ่านกรมที่ดิน หากมีชื่อปรากฏจะยอมรับทันที แต่ยืนยัน 1,000,000% ว่าไม่มีส่วนพัวพัน

ส่วนกระแสข่าวเรื่องการยืมเงินอดีตพระอลงกต ถั่วแระ ยอมรับว่าเคยกู้ยืมจริงจำนวน 200,000 บาทในช่วงโควิดปี 2563 แต่ได้ทยอยผ่อนชำระคืนครบถ้วนแล้วภายใน 12 เดือน

นอกจากนี้ ยังชี้แจงกรณีภาพยนตร์ “พลังบุญ” ซึ่งสร้างขึ้น 3 เรื่อง เรื่องละประมาณ 300,000 บาท โดยอดีตพระอลงกตให้การสนับสนุนค่าใช้จ่าย แต่มีเงื่อนไขเพียงให้นำออกเผยแพร่เพื่อประโยชน์สังคม ไม่ได้เรียกร้องส่วนแบ่งรายได้ใด ๆ ถั่วแระ ยอมรับทั้งน้ำตาว่า ข่าวที่ออกมากระทบชีวิตครอบครัวและงานในวงการอย่างหนัก ล่าสุดต้องยกเลิกงานเชียร์กีฬา SEA Games ที่กำลังจะมาถึง พร้อมฝากถึงสังคมและนักเลงคีย์บอร์ดว่า ควรคิดวิเคราะห์ก่อนวิจารณ์ เพราะหากตนบริสุทธิ์ใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น

ด้าน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยว่า ต้องขอบคุณถั่วแระที่กล้าออกมาแสดงตัวและนำหลักฐานมาให้ตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจเบื้องต้นพบว่ามีการจัดทำเอกสารอย่างเป็นระบบ คล้ายการจ้างงานทั่วไป จึงสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานได้ แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้เต็มที่ว่าบริสุทธิ์หรือไม่ ต้องรอผลสอบสวนอย่างละเอียด
พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ยังกล่าวเตือนผู้ที่ยังครอบครองทรัพย์สินของวัดหรือเป็น “นอมินี” ให้รีบนำมาคืนและเข้ามาชี้แจงโดยเร็ว เพราะหากปล่อยไว้อาจถูกดำเนินคดีโดยตรง พร้อมย้ำว่ากองปราบปรามกำลังตรวจสอบคดีนี้ในทุกมิติ ครอบคลุม 24 ประเด็นหลัก
#ถั่วแระเชิญยิ้ม #สยามดารา
แฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์ เคลียร์ดราม่าเคยถูกใส่ร้ายทำร้ายชื่อเสียง!
รายการ “เกิดมาเว่า” สัปดาห์นี้เปิดใจนักแสดงหนุ่ม “แฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์” เล่าถึงเส้นทางชีวิตการเติบโตจากเด็กต่างจังหวัดที่ก้าวเข้าวงการบันเทิง จากเด็กขายลอตเตอรี่ สู่นักแสดงดาวรุ่ง ความท้าทายในวงการที่มีการแข่งขันสูง และสาเหตุไม่ต่อสัญญา GMM เคลียร์ดราม่าเรื่องที่ถูกใส่ร้ายทำร้ายชื่อเสียงในอดีต

ต้องบอกก่อว่า หนุ่ม กับ น้องแฟรงค์ เคยเล่นหนังด้วยกันเรื่อง เทยไทบ้านเดอะซีรีส์ เลยมาสัมภาษณ์เบื้องลึกเบื้องหลัง ทำไมถึงสักรูปปลาฉลาม ?
แฟรงค์ : ผมชอบปลาฉลามครับ ตอนแรกผมว่าจะสักปลาวาฬแต่คนสักเยอะแล้ว ปลาฉลามมันดุดัน

เราเจอกันครั้งแรกวันบวงสรวงงาน 3 เรื่อง ?
แฟรงค์ : ใช่ครับ มี 3 เรื่อง สัปเหร่อ , เทยไทบ้านเดอะซีรีส์ , ผีเข้า

เป็นคนจังหวัดอะไร แนะนำร้านเด็ดจังหวัดของตัวเองมา 1 ร้าน ?
แฟรงค์ : เป็นคน จ.เลย ครับ แนะนำร้าน “ตำยกครก” ครับพี่น้อง อยู่แถว ๆ อำเภอวังสะพุง อยู่ตำบลปักป่วนครับ แซ่บสุดตั้งแต่เคยกินมา

ก่อนเข้าวงการทำอาชีพอะไร ?
แฟรงค์ : ทำหลายอย่างครับ อยู่บ้านก็ช่วยแม่กรีดยาง ไปรับจ้างเสียบมันสำปะหลังไปกับ 3–4 คน ได้วันละ 250 เก็บเงินไว้ แต่ตอนเด็กๆ ก็พอได้โตขึ้นก็ไม่ไหวแล้วปวดเอว รับจ้างอยู่ประมาณ 2 ปี ก็มีเงินแล้วซื้อรถมอเตอร์ไซค์มาขี่ ก็มีขอพ่อกับแม่ด้วยครับ

จุดเริ่มต้นเข้าวงการ ?
แฟรงค์ : ตอนนั้นเรียนจบ ม.3 ปิดเทอมผมไปขายลอตเตอรี่ช่วยแม่อยู่เพชรบูรณ์ งวดแรกขายปกติ งวดสองขี่จักรยานขายตามร้านอาหาร ตอนบ่าย ๆ มีคนมาซื้อเขาบอกว่าไม่ได้เงินมา ไปขายให้พี่หน่อยตรงร้านเสื้อผ้า ร้านเสื้อผ้าก็อยู่ใกล้ ๆ กับที่ป้าผมนั่งขายอยู่ พอผมไปขายให้เขาที่ร้าน หลังจากนั้นเขาจับผมแต่งตัว เพราะเขาขายเสื้อผ้าก็ถามว่าผมสนใจถ่ายรูป เป็นแบบไหม ก็ถ่ายได้เงินตั้ง 3,000 พี่เขาเป็นโมเดลลิ่งครับ แล้วเขาพาผมไปแคสต์ในกรุงเทพฯ ตอนแรกผมนั่งรถทัวร์ไปกลับประมาณปีหนึ่ง เพราะลงทะเบียนเรียน ปวช. สายไฟฟ้าอยู่ ต้องให้มันจบก่อนค่อยย้ายมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ จะได้ทำงานด้วย งานแรกคือโฆษณา ไอติมกูลิโกะ ต่อมาก็ได้ถ่ายกางเกงยีนส์ แล้ว GMM เรียกไปแคสต์ ได้เล่นเรื่อง “อติของผม” เป็นผลงานแรก ก็กดดันมาก ไม่เคยเรียนการแสดง เล่นเรื่องแรกๆ ก็ยัง งงๆอยู่ ผมเพิ่งมาเข้าใจช่วงหลัง โชคดีได้โอกาส ตอนแรกผมพูดไทยสำเนียงออกอีสา เพื่อนหัวเราะ เขินกล้อง เลยเงียบ ๆ

ตอนนั้นเซ็นสัญญากับ GMM แล้ว จุดพลิกผันคือเป็นทหาร ?
แฟรงค์ : ใช่ครับ ช่วงจะจบสัญญาพอดี ผมไปจับใบดำใบแดง แม่ไลฟ์สดอยู่โต๊ะเลย ผมจับได้ใบแดง แม่ตกใจปิดไลฟ์ กระโดดลงเก้าอี้เลย แม่เสียใจครับ เพราะก่อนหน้านี้แม่บอกให้ผมผ่อนผัน งานก็แน่น กำลังจะถ่ายซีรีส์ 4–5 เรื่อง โควิดทำให้เลื่อนถ่าย แต่พอผมต้องเข้ากรม พ.ย. เขาเลยเร่งถ่ายให้จบ ต.ค. เดือนเดียว ผมไปถ่ายที่ โขงเจียม

เป็นทหารอาบน้ำยังไง ?
แฟรงค์ : วันแรกถอดหมดเลยครับ (หัวเราะ) ผู้ชายด้วยกันไม่เขิน

พอพ้นทหารเรื่องสัญญากับ GMM ทำไมถึงไม่ต่อสัญญา ?
แฟรงค์ : ผู้ใหญ่เรียกไปคุย ถามว่าจะต่อไหม ผมก็ถามตรง ๆ ว่าถ้าต่อแล้วการันตีงานได้ไหม เขาก็บอกตรง ๆ ว่าการันตีไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจไม่ต่อออกมาเป็นนักแสดงอิสระ ทำ YouTube ทำงาน เองครับ

ทุกวันนี้ทำ TikTok สตรีมเกม ?
แฟรงค์ : ทำอยู่ครับ แต่ยังหัดระบบเสียงยังไม่ค่อยเป็น เดี๋ยวจะค่อย ๆ ปรับ เครื่องไมค์กำลังหาอยู่

เดี๋ยวนี้นักแสดงเยอะการแข่งขันสูง กระทบเราไหม มองเรื่องนี้ยังไง ?
แฟรงค์ : แข่งขันสูงขึ้นครับ แต่ผมยึดว่า ทำของเราให้เต็มที่ๆสุด ไม่ให้มานั่งเสียดายทีหลัง สมัยก่อนผมไม่ค่อยทำการบ้าน เดี๋ยวนี้ต้องเตรียมตัวเยอะขึ้น พัฒนาตัวเองแข่งกับ ความขี้เกียจของตัวเองนี่ล่ะสำคัญ สุด

มีช่วงไหนไหมคิดอยากหยุดแสดง ?
แฟรงค์ : เคยคิดครับ ผมชอบชีวิตบ้านๆ เข้าป่า ยิงหนู หาหน่อไม้ หว่านแห ปักเบ็ด โตมาทางนั้น มันสุขแบบง่าย ๆ

บทที่อยากเล่น ?
แฟรงค์ : อยากเล่นพระเอกมีมุมแบด ๆ รักนางเอกคนเดียว ใจดีเฉพาะกับนางเอก

อยากลองด้านไหนอีก ?
แฟรงค์ : อยากลองร้องเพลง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ซ้อม ลืมเนื้อ (ยิ้มเขิน)

สเปกส่วนตัวเป็นยังไง ?
แฟรงค์ : ชอบคนขยัน ทำงาน เก่งสักอย่างหนึ่งก็พอ มันมีเสน่ห์ขึ้นมาเอง ไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

มีคู่จิ้นในงานแสดงแล้วคนเข้าใจผิดไหม ?
แฟรงค์ : มีบ้างครับ แต่ก็เป็นเรื่องงาน เราอธิบายได้

มีเรื่องไหนที่ทำให้คนเข้าใจผิดแล้วอยากอธิบายความจริงจากมุมของเรา ?
แฟรงค์ : มีดราม่าประมาณ 2–3 ปีก่อน คนค้นในติ๊กต๊อกว่า แฟงค์ดราม่า เมียป่วนกอง อะไรทำนองนั้น จริง ๆ ผมโดนใส่ร้ายเสียชื่อเสียงตอนนั้นผมถ่าย “Love Syndrome” ต้องใส่วิก แฟนคลับคอมเมนต์ว่าทีมงานดูแลวิกไม่ดี ทีมงานกับแฟนคลับตอบโต้กัน ผมไปเห็นคอมเมนต์คนหนึ่งพิมพ์แรงใส่ผมว่า “ดาวรุ่งพุ่งสู่เมรุ” ผมโกรธมาก เพราะผมทำงานเต็มที่และไม่เคยไปว่าร้าย ใคร

แล้วเรื่องจบยังไง?
แฟรงค์ : ต่อมาเขาป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ผมถ่าย “OMG แวมไพร์” อยู่ที่เขาค้อ ก็คิดถึงคำที่เขาว่าผม เลยไปเยี่ยม เขาเห็นผมก็น้ำตาไหล ขอโทษบอกว่า ที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และยอมรับว่าเคยปล่อยข่าวให้ผมเสียหาย เราก็ขอโทษกัน ผมบอกอโหสิกรรมให้ อยากให้เขาไปสบาย และตัวผมเองก็ปลดล็อกในใจเหมือนกัน

ข้อคิดคนเสพข่าว ?
แฟรงค์ : อยากให้มี สติคัดกรองข่าว ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดตั้งแต่แรก คิดก่อนว่าเป็นไปได้ไหม อย่าตีโพยตีพายตามกระแสไปเรื่อยครับ

สามารถติดตาม “เกิดมาเว่า” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันอังคาร เวลา 18.00 น.
คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=_GS9JFbNl2M
แฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์ เคลียร์ดราม่าเคยถูกใส่ร้ายทำร้ายชื่อเสียง!
รายการ “เกิดมาเว่า” สัปดาห์นี้เปิดใจนักแสดงหนุ่ม “แฟรงค์ ธนัตถ์ศรันย์” เล่าถึงเส้นทางชีวิตการเติบโตจากเด็กต่างจังหวัดที่ก้าวเข้าวงการบันเทิง จากเด็กขายลอตเตอรี่ สู่นักแสดงดาวรุ่ง ความท้าทายในวงการที่มีการแข่งขันสูง และสาเหตุไม่ต่อสัญญา GMM เคลียร์ดราม่าเรื่องที่ถูกใส่ร้ายทำร้ายชื่อเสียงในอดีต

ต้องบอกก่อว่า หนุ่ม กับ น้องแฟรงค์ เคยเล่นหนังด้วยกันเรื่อง เทยไทบ้านเดอะซีรีส์ เลยมาสัมภาษณ์เบื้องลึกเบื้องหลัง ทำไมถึงสักรูปปลาฉลาม ?
แฟรงค์ : ผมชอบปลาฉลามครับ ตอนแรกผมว่าจะสักปลาวาฬแต่คนสักเยอะแล้ว ปลาฉลามมันดุดัน

เราเจอกันครั้งแรกวันบวงสรวงงาน 3 เรื่อง ?
แฟรงค์ : ใช่ครับ มี 3 เรื่อง สัปเหร่อ , เทยไทบ้านเดอะซีรีส์ , ผีเข้า

เป็นคนจังหวัดอะไร แนะนำร้านเด็ดจังหวัดของตัวเองมา 1 ร้าน ?
แฟรงค์ : เป็นคน จ.เลย ครับ แนะนำร้าน “ตำยกครก” ครับพี่น้อง อยู่แถว ๆ อำเภอวังสะพุง อยู่ตำบลปักป่วนครับ แซ่บสุดตั้งแต่เคยกินมา

ก่อนเข้าวงการทำอาชีพอะไร ?
แฟรงค์ : ทำหลายอย่างครับ อยู่บ้านก็ช่วยแม่กรีดยาง ไปรับจ้างเสียบมันสำปะหลังไปกับ 3–4 คน ได้วันละ 250 เก็บเงินไว้ แต่ตอนเด็กๆ ก็พอได้โตขึ้นก็ไม่ไหวแล้วปวดเอว รับจ้างอยู่ประมาณ 2 ปี ก็มีเงินแล้วซื้อรถมอเตอร์ไซค์มาขี่ ก็มีขอพ่อกับแม่ด้วยครับ

จุดเริ่มต้นเข้าวงการ ?
แฟรงค์ : ตอนนั้นเรียนจบ ม.3 ปิดเทอมผมไปขายลอตเตอรี่ช่วยแม่อยู่เพชรบูรณ์ งวดแรกขายปกติ งวดสองขี่จักรยานขายตามร้านอาหาร ตอนบ่าย ๆ มีคนมาซื้อเขาบอกว่าไม่ได้เงินมา ไปขายให้พี่หน่อยตรงร้านเสื้อผ้า ร้านเสื้อผ้าก็อยู่ใกล้ ๆ กับที่ป้าผมนั่งขายอยู่ พอผมไปขายให้เขาที่ร้าน หลังจากนั้นเขาจับผมแต่งตัว เพราะเขาขายเสื้อผ้าก็ถามว่าผมสนใจถ่ายรูป เป็นแบบไหม ก็ถ่ายได้เงินตั้ง 3,000 พี่เขาเป็นโมเดลลิ่งครับ แล้วเขาพาผมไปแคสต์ในกรุงเทพฯ ตอนแรกผมนั่งรถทัวร์ไปกลับประมาณปีหนึ่ง เพราะลงทะเบียนเรียน ปวช. สายไฟฟ้าอยู่ ต้องให้มันจบก่อนค่อยย้ายมาเรียนต่อในกรุงเทพฯ จะได้ทำงานด้วย งานแรกคือโฆษณา ไอติมกูลิโกะ ต่อมาก็ได้ถ่ายกางเกงยีนส์ แล้ว GMM เรียกไปแคสต์ ได้เล่นเรื่อง “อติของผม” เป็นผลงานแรก ก็กดดันมาก ไม่เคยเรียนการแสดง เล่นเรื่องแรกๆ ก็ยัง งงๆอยู่ ผมเพิ่งมาเข้าใจช่วงหลัง โชคดีได้โอกาส ตอนแรกผมพูดไทยสำเนียงออกอีสา เพื่อนหัวเราะ เขินกล้อง เลยเงียบ ๆ

ตอนนั้นเซ็นสัญญากับ GMM แล้ว จุดพลิกผันคือเป็นทหาร ?
แฟรงค์ : ใช่ครับ ช่วงจะจบสัญญาพอดี ผมไปจับใบดำใบแดง แม่ไลฟ์สดอยู่โต๊ะเลย ผมจับได้ใบแดง แม่ตกใจปิดไลฟ์ กระโดดลงเก้าอี้เลย แม่เสียใจครับ เพราะก่อนหน้านี้แม่บอกให้ผมผ่อนผัน งานก็แน่น กำลังจะถ่ายซีรีส์ 4–5 เรื่อง โควิดทำให้เลื่อนถ่าย แต่พอผมต้องเข้ากรม พ.ย. เขาเลยเร่งถ่ายให้จบ ต.ค. เดือนเดียว ผมไปถ่ายที่ โขงเจียม

เป็นทหารอาบน้ำยังไง ?
แฟรงค์ : วันแรกถอดหมดเลยครับ (หัวเราะ) ผู้ชายด้วยกันไม่เขิน

พอพ้นทหารเรื่องสัญญากับ GMM ทำไมถึงไม่ต่อสัญญา ?
แฟรงค์ : ผู้ใหญ่เรียกไปคุย ถามว่าจะต่อไหม ผมก็ถามตรง ๆ ว่าถ้าต่อแล้วการันตีงานได้ไหม เขาก็บอกตรง ๆ ว่าการันตีไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจไม่ต่อออกมาเป็นนักแสดงอิสระ ทำ YouTube ทำงาน เองครับ

ทุกวันนี้ทำ TikTok สตรีมเกม ?
แฟรงค์ : ทำอยู่ครับ แต่ยังหัดระบบเสียงยังไม่ค่อยเป็น เดี๋ยวจะค่อย ๆ ปรับ เครื่องไมค์กำลังหาอยู่

เดี๋ยวนี้นักแสดงเยอะการแข่งขันสูง กระทบเราไหม มองเรื่องนี้ยังไง ?
แฟรงค์ : แข่งขันสูงขึ้นครับ แต่ผมยึดว่า ทำของเราให้เต็มที่ๆสุด ไม่ให้มานั่งเสียดายทีหลัง สมัยก่อนผมไม่ค่อยทำการบ้าน เดี๋ยวนี้ต้องเตรียมตัวเยอะขึ้น พัฒนาตัวเองแข่งกับ ความขี้เกียจของตัวเองนี่ล่ะสำคัญ สุด

มีช่วงไหนไหมคิดอยากหยุดแสดง ?
แฟรงค์ : เคยคิดครับ ผมชอบชีวิตบ้านๆ เข้าป่า ยิงหนู หาหน่อไม้ หว่านแห ปักเบ็ด โตมาทางนั้น มันสุขแบบง่าย ๆ

บทที่อยากเล่น ?
แฟรงค์ : อยากเล่นพระเอกมีมุมแบด ๆ รักนางเอกคนเดียว ใจดีเฉพาะกับนางเอก

อยากลองด้านไหนอีก ?
แฟรงค์ : อยากลองร้องเพลง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ซ้อม ลืมเนื้อ (ยิ้มเขิน)

สเปกส่วนตัวเป็นยังไง ?
แฟรงค์ : ชอบคนขยัน ทำงาน เก่งสักอย่างหนึ่งก็พอ มันมีเสน่ห์ขึ้นมาเอง ไม่จำเป็นต้องเก่งทุกอย่าง

มีคู่จิ้นในงานแสดงแล้วคนเข้าใจผิดไหม ?
แฟรงค์ : มีบ้างครับ แต่ก็เป็นเรื่องงาน เราอธิบายได้

มีเรื่องไหนที่ทำให้คนเข้าใจผิดแล้วอยากอธิบายความจริงจากมุมของเรา ?
แฟรงค์ : มีดราม่าประมาณ 2–3 ปีก่อน คนค้นในติ๊กต๊อกว่า แฟงค์ดราม่า เมียป่วนกอง อะไรทำนองนั้น จริง ๆ ผมโดนใส่ร้ายเสียชื่อเสียงตอนนั้นผมถ่าย “Love Syndrome” ต้องใส่วิก แฟนคลับคอมเมนต์ว่าทีมงานดูแลวิกไม่ดี ทีมงานกับแฟนคลับตอบโต้กัน ผมไปเห็นคอมเมนต์คนหนึ่งพิมพ์แรงใส่ผมว่า “ดาวรุ่งพุ่งสู่เมรุ” ผมโกรธมาก เพราะผมทำงานเต็มที่และไม่เคยไปว่าร้าย ใคร

แล้วเรื่องจบยังไง?
แฟรงค์ : ต่อมาเขาป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ผมถ่าย “OMG แวมไพร์” อยู่ที่เขาค้อ ก็คิดถึงคำที่เขาว่าผม เลยไปเยี่ยม เขาเห็นผมก็น้ำตาไหล ขอโทษบอกว่า ที่ทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ และยอมรับว่าเคยปล่อยข่าวให้ผมเสียหาย เราก็ขอโทษกัน ผมบอกอโหสิกรรมให้ อยากให้เขาไปสบาย และตัวผมเองก็ปลดล็อกในใจเหมือนกัน

ข้อคิดคนเสพข่าว ?
แฟรงค์ : อยากให้มี สติคัดกรองข่าว ไม่ต้องเชื่อทั้งหมดตั้งแต่แรก คิดก่อนว่าเป็นไปได้ไหม อย่าตีโพยตีพายตามกระแสไปเรื่อยครับ

สามารถติดตาม “เกิดมาเว่า” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันอังคาร เวลา 18.00 น.
คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=_GS9JFbNl2M
Plant based ทำไมยิ่งกินยิ่งพัง!? กินอย่างไรให้สุขภาพดีแบบยั่งยืนไม่ต้องฝืน
On the way with Chom สัปดาห์นี้แชร์ความรู้เกี่ยวกับการกิน Plant based อย่างไรให้ไม่พัง? ไขข้อข้องใจการกิน Plant based ที่คนไทยเข้าใจผิด? กับ “หมอฝน ประพิมพ์พร” อายุรแพทย์เฉพาะทางด้านโภชนาการ พร้อมเคล็ดลับกิน Plant based ที่ทำตามได้จริงแบบฉบับคนไทย ยั่งยืน และดีต่อสุขภาพแบบไม่ต้องฝืน

Plant Base กับ Vegan เหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
หมอฝน : คำว่า Plant Base เป็นคำรวมๆ อย่าง Plant คือพืช Plant Base ก็คือคนที่กินพืชผักเป็นหลัก ทีนี้ในสังคมไทยเราก็จะมีหลายความนิยม เช่น กินเจ มังสวิรัติ กินวีแกน กินเจก็คือโปรตีนที่มาจากสัตว์ไม่เอาเลย ถ้ามังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ยังกินผลิตภัณฑ์ของนม ไข่ ชีส เขายังมีแบ่งอีกเป็น แลคโตเวจ ไม่กินเนื้อสัตว์แต่กินนม โอโวเวจเทเรียน คือไม่กินเนื้อสัตว์แต่กินไข่ แลคโตโอโวเวจเทเรียน อันนี้เหมือนมังสวิรัติในบ้านเรา ก็คือไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่กินหมู ไม่กินไก่ ไม่กินปลา ไม่กินอาหารทะเล แต่กินไข่ กินนม กินชีส กินโยเกิร์ตได้ ส่วนวีแกนจะคล้ายกับเจ แต่ว่าเจกำหนดเรื่องวัฒนธรรมว่าต้องไม่กินผักกลิ่นฉุน แต่ว่าวีแกนคือคล้ายๆ เป็นวิถีชีวิตว่านอกจากไม่กินสัตว์ก็ต้องไม่กินผลิตภัณฑ์จากสัตว์ น้ำผึ้ง นม ผลิตภัณฑ์ของนม แล้วก็อาจจะไปถึงไลฟ์สไตล์ เช่น ไม่ใช้เครื่องหนัง ส่วนตอนนี้ที่ฮิตกันในเชิงโซเชียลมีเดีย หรือที่เราคุยกันก็คือคำว่า Flexitarian คำนี้มีมาในช่วงหลายปีหลัง มันมาจากคำว่า Flexible คือยืดหยุ่น แล้วก็ Vegetarian ก็คือมังสวิรัติโดยรวมก็แปลว่ามังสวิรัติแบบยืดหยุ่น ซึ่งอันนี้ส่วนตัวมองว่าใกล้เคียงคำว่า Plant Base ในโลกที่เราคุยกันในปัจจุบัน เพราะว่ามันหมายถึงว่าคนๆ นั้นน่ะกินพืชผักเป็นหลัก ชอบกินผักผลไม้ แต่เขายังกินเนื้อสัตว์ได้อยู่ ได้ทุกชนิด เพียงแต่ว่าอาจจะกินเนื้อสัตว์มีตั้งแต่กินนานๆ ที จนถึงกินทุกวันแต่กินน้อยลง ดังนั้นมันก็จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะทำง่าย แล้วก็ดูอาจจะปรับได้ไม่ยาก สำหรับคนที่อาจจะเริ่มสนใจ Plant Base แล้วก็อยากจะปรับมากินพืชผัก มากขึ้น

จะมีดีเบตมากมาย รวมถึงคนที่เคยเป็น Ex-Vegan หรือว่าเป็น Plant Base มาก่อน สุขภาพก็ไม่เห็นจะดีกว่าคนทั่วไปตรงไหน หรือแม้แต่บางคนเรียกว่ามันทรุดด้วยซ้ำ ?
หมอฝน : ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงที่ว่าบอกว่ากินวีแกนหรือกินมังสวิรัติ มันไม่ได้จะ Healthy เสมอไป เพราะว่าบางทีคนจะรู้สึกว่าการตัดเนื้อสัตว์ออกจากชีวิตแค่นี้ทำให้สุขภาพเราดีแล้ว ซึ่งก็อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป เพราะฉะนั้นในทางการแพทย์ ถ้าเราไปดูข้อมูลเขาจะเปรียบเทียบคนที่กิน Plant Base ออกเป็นกลุ่มที่เป็น Healthy Plant Base กับ Unhealthy Plant Base อย่าง Healthy Plant Base จะเป็นสาย Whole Food Real Food ธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้ ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง แต่ Unhealthy อาจจะอารมณ์คล้ายๆ ตอนเทศกาลกินเจ ที่เราก็อาจจะ เรียกว่าโปรตีนพิเศษ เกษตรทอด น้ำหวาน น้ำอัดลม เฟรนช์ฟรายส์ อันนี้ก็อาจจะเป็น Vegan เหมือนกัน จะจัดเป็น Unhealthy Plant Based Diet เขาก็พบว่าคนที่กินแบบ Unhealthy Plant Based Diet จริงๆ แล้วสุขภาพอาจจะแย่กว่าพวกที่กิน Unhealthy แต่ไม่ Plant Based เป็น Animal Base แต่กลุ่มที่มันจะได้ประโยชน์ก็คือกลุ่มที่กิน Healthy แล้วก็จะได้ประโยชน์ในกลุ่มที่กินเป็น Whole Food Real Food Plant Based Diet ด้วย ก็คือต้องกินเป็นพืชผักจริงจากธัญพืชแบบนี้เป็นต้น โดยที่ในการศึกษาไม่ใช่ Vegan นะคะ จะเป็นเหมือน Flexitarian ก็คือเขายังกินเนื้อสัตว์อยู่ แต่ว่าจะกินพืชผักมากขึ้น เนื้อสัตว์ ปลา หมู เนื้อ อะไรก็ยังกินได้อยู่

เท่าที่มีวิจัยยืนยันไดเอทแบบไหนที่ทำตามได้จริงแบบยั่งยืนแล้วก็ดีต่อสุขภาพ ?
หมอฝน : ถ้าพูดถึงงานวิจัยไปทางการแพทย์ ทุกแพทย์เฉพาะทางให้การยอมรับว่ามันมีข้อมูลจริงว่าแบบกินอายุยืน ลดการเกิดโรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ทุกคนก็จะนึกถึงเรื่องของเมดิเตอร์เรเนียนไดเอท มาเขาก็คือมันจะมาจากอาหารที่มาจากประเทศที่อยู่รอบๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งคนแถบนั้นน่ะเขาก็จะกินอาหารที่ค่อนข้างเป็น Plant Base นะ แต่เขาไม่ได้กินมังสวิรัติ หรือกินเจ แต่เขาก็ทานปลา แล้วก็เนื้อแดงก็ทาน แต่ว่าทานน้อย เพราะฉะนั้นจริงๆ อันนี้คนอาจจะคิดว่ามันก็ไม่ใช่ Plant Base คนจะมีความเข้าใจว่า Plant Base มันคือมังสวิรัติ Vegetarian แต่ว่าจริงๆ ในทางการแพทย์เราก็จะถือว่าเขาเป็น Plant Base เหมือนกัน แต่เป็น Plant Base ที่ไม่เคร่งมาก เพราะว่าเขาก็จะเป็นอาหารที่มีข้อมูลว่าดีต่อสุขภาพ เพราะว่าทานพืชผักเป็นหลัก ทานโปรตีนจากปลา จากไก่ เพราะว่ามันมีไขมันต่ำ เนื้อแดงก็ทาน แต่ว่าอาจจะไม่เกิน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ กินไขมันดีจากน้ำมันมะกอกสกัดเย็น แล้วก็มีพวก Nuts คือถั่วเปลือกแข็ง ที่สำคัญนอกจากอาหารคือเขามีเรื่องของกิจกรรมทางกาย คือ Active เดินทั้งวัน แล้วก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในครอบครัว เพราะฉะนั้นอันนี้มันก็เป็นสิ่งที่อาจจะบอกแล้วว่าเรื่องของสุขภาพ อาหารเป็นหลักนะแต่ในแง่อื่นๆ เรื่องของไลฟ์สไตล์ก็เป็นตัวช่วยที่จะลดเรื่องของโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการอักเสบแล้วก็ลดเรื่องของการแปรปรวนของระดับน้ำตาล พวกเบาหวาน ก็จะเป็นข้อมูลที่ค่อนข้างดี

คนที่ติดตามเรื่องของสุขภาพก็จะมีเรื่องของน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร Olive Oil คนทำวิจัยเยอะมาก Extra Virgin เหมือนกับว่าทุกๆ ตำราก็จะแนะนำแต่อันนี้มันไม่ใช่ Culture ของเรา แต่ถ้าเป็นสำหรับครอบครัวไทย ?
หมอฝน : ถ้าเอาตัวที่ใกล้เคียงกับ Olive Oil คือน้ำมันมะกอก เราจะรู้ว่าข้อดีเขาคือ 1. สกัดเย็น 2. มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว โอเมก้า 9 ชื่อโอเลอิก แล้วก็เขาจะมีวิตามินอีสูง เพราะฉะนั้นถ้าเราจะเอาดูให้มันใกล้กันและเป็นน้ำมันไทย คนอาจจะไม่ค่อยรู้จักแต่ว่ามันจะมีน้ำมันเมล็ดชา จะนำเมล็ดมาจากประเทศจีนแต่ว่าปลูกในเมืองไทย แล้วก็ Process โรงงานอยู่ในประเทศไทย ซึ่งตัวน้ำมันมะกอกสกัดเย็น เขาจะมีกรดโอเลอิกคือโอเมก้า 9 อยู่ 70% ตัวเมล็ดชาจะ มีประมาณ 70-80 เรียกว่าใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเกิดอีกตัวหนึ่ง แต่ว่าอาจจะไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของไทยคือน้ำมันอะโวคาโด เพราะว่า 1.ชอบความสกัดเย็น 2.น้ำมันอะโวคาโดก็จะมีกลิ่นที่ไม่ไม่แรงมาก ถ้าทำกับข้าวที่ไม่ต้องการกลิ่นรสของ มะกอก

ปัญหาที่พบบ่อยในคนที่ทาน Plant Base อันดับ 1 น่าจะเป็นเรื่องโปรตีนไหม ?
หมอฝน : ใช่ นึกภาพเลยเวลาเทศกาลกินเจ อาหารที่เราเห็นทุกอย่างก็จะแบบดูน่ากินอร่อยไปหมด แต่ว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นแป้งแล้วก็น้ำมัน บางอย่างที่เรากินอาจจะเป็น Unhealthy Plant Base เพราะว่ามันก็อาจจะได้แต่แป้งกับน้ำมัน น้ำตาล เกลือ แล้วก็โปรตีนไม่พอ

ยังมี Plant Based Diet ที่ไม่เคยได้ยิน Dash Diet Mind Diet คืออะไร ?
หมอฝน : Dash Diet ชื่อเต็มคือ Dietary Approaches to Stop Hypertension แปลว่าเป็นอาหารที่ดีไซน์มาเพื่อลดความดัน เป็น Plant Base เหมือนกัน แล้วก็มีความคล้ายคลึงตรงที่ว่าเน้นพืชผัก เน้นเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ แต่น้ำมันเขาจะเป็นน้ำมันไม่อิ่มตัวทั่วๆ ไป ไม่ได้เน้นน้ำมันมะกอก เพราะฉะนั้นมันก็มีความคล้ายคลึงกัน แล้วก็จะเน้นเรื่องของการทาน Dairy Product คือผลิตภัณฑ์ของนมแบบไขมันต่ำ ถ้าเป็นเมดิเตอร์เรเนียนนั้นเขาจะเป็น Dairy Product สายที่เป็นชีสกับโยเกิร์ต อันนี้ถ้าเป็น Dash ก็จะเป็น Low Fat Dairy Product คือผลิตภัณฑ์จากนมอะไรก็ได้ที่เป็นไขมันต่ำ ซึ่งอันนี้จริงๆ ใกล้เคียงกัน ฟังดูก็คล้ายๆ กัน ต่างที่น้ำมันเป็นหลัก Low Fat กว่าเมดิเตอร์เรเนียนอาจจะ High แต่ Good Fat ซึ่งอันนี้เขาดีไซน์มาสำหรับลดความดัน เพราะว่าพอกินพืชผักเยอะ ความดันจะลงเพราะว่ามันจะมีไฟเบอร์แล้วก็โพแทสเซียม แล้วพอเรามากินร่วมกับการจำกัดเกลือ คือ Dash บวกการจำกัดเกลือ อันนี้จะยิ่งส่งผลดีในเรื่องของการลดระดับความดันโลหิตก็เป็นหนึ่งในรูปแบบการกินที่เรียกว่าโอเค ทีนี้มันก็จะมีอีกว่าคนก็บอกก็ดีนะ Dash ก็ดีเอามารวมกันแล้วกัน พอเอามารวมกันปุ๊บกลายเป็น Mind Diet จะต่างจากเมดิเตอร์เรเนียนนิดหนึ่งตรงที่ว่าเขาบอกว่าข้อมูลที่แบบว่ากินแล้วสมองไม่เสื่อม ถ้าเป็นผักผลไม้ เขาจะไปที่ผักเขียวๆ ผักใบสีเขียว เพราะว่าอาจจะมีพวกฟลาโวนอยด์ ส่งผลในแง่ของการลดการอักเสบ แล้วก็ต้านอนุมูลอิสระ ผลไม้จะเน้นกลุ่มเบอร์รี่ ซึ่งอันนี้ดีก็จะมีน้ำตาลต่ำมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง แต่ว่ามันก็จะหายากไม่เข้าคนไทย ของไทยเราก็จะมีลูกหม่อน แล้วก็จะมี Gooseberry พวกนี้ก็จะมี Compound ที่คล้ายๆ กัน เป็นผลไม้ที่มีสีสันสวยงามเพื่อให้มันมีพวก Antioxidant ที่ออกฤทธิ์ดีในแง่ของการลดการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งพวกนี้มันอาจจะไปลดการสะสมของพวก Amyloid Plaque หรือว่า Tau Protein ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดโรคสมองเสื่อม เพราะฉะนั้นอันนี้ก็จะบอกว่าถ้ากินค่อนข้างเป็นแพทเทิร์นคล้ายๆ แบบนี้ ก็มีข้อมูลว่าเรื่องของความจำอาจจะชะลอความเสื่อมได้

อยากให้คุณหมอสรุปอีกครั้งว่าการกิน Plant Based Diet ที่จะให้ดีต่อสุขภาพจริงๆ ควรจะเลือกรับประทานยังไง ?
หมอฝน : จริงๆ Plant Based Diet กลับมาอันแรกเลย เราไม่ถึงกับจะต้องเป็น Vegetarian หรือ Vegan เราสามารถที่จะกินพืชผักเพิ่มขึ้นแล้วก็ลดปริมาณเนื้อสัตว์เพียงเล็กน้อยก็ได้ เรียกว่าเป็น Plant Base แล้วสิ่งที่จะมีประโยชน์กับสุขภาพที่สุดก็คือต้องเลือกกิน Whole Food Plant Base เป็นอาหารจริงๆ คุณภาพดี แล้วก็เป็นสิ่งที่ผ่านการแปรรูปน้อย ถ้าเลือกที่จะกินอาหารให้ Healthy ต้องมองด้วยว่าเราทำแล้วต้อง Happy ถึงจะทำได้นาน อันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคิดว่าถ้าเราเลือกที่จะกินอาหารแบบไหนอันนั้นน่ะจะต้องทำให้เราสุขภาพดีด้วยนะ แล้วก็มีความสุขยั่งยืน ไม่งั้นก็ทำได้แป๊บเดียวก็เลิก ถ้าจะกิน Plant Base เริ่มต้นไม่ต้องตั้งอะไรมากง่ายๆ เช่น 1 วันหรือ 1 สัปดาห์ก็ได้ ลองกินเป็น Plant Base เลือกโปรตีนจากพืชสัก 1 มื้อ ถ้าจะเอาง่ายๆ คืออาทิตย์หนึ่ง 1 วัน Meatless Monday ไม่กินเนื้อวันจันทร์ เราก็เริ่มจากจุดนั้นได้ ซึ่งอาจจะเข้ากับคนปัจจุบันที่บางคนก็ IF อยู่แล้ว มื้อเช้าก็เลือกสิ่งที่อาจจะไม่มีเนื้อสัตว์ เป็นโปรตีนจากพืชหรือเป็นไข่ แล้วก็ลด Animal Meat อันนี้มันก็ยังถือว่าโอเค เป็นสิ่งที่จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีได้

สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น. คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=HRtr4V9Oi8Q&t=1030s
“กุ้ง สุธิราช” โพสต์ซึ้ง! ครบ100วัน ”วิ วิรดา“ บอกทุกความทรงจำยังอยู่ในหัวใจไม่เคยลืม
ครบ 100 วันการจากไปของ วิ วิรดา วงศ์เทวัญ นางเอกลิเกซึ่งเป็นน้องสาวของ กุ้ง สุธิราช วงศ์เทวัญ พระเอกลิเกชื่อดัง ซึ่งจากไปสงบด้วยโรคไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 68 ที่ผ่านมา

ล่าสุด 8 ก.ย. 68 “กุ้งสุทธิราช” ได้โพสต์ภาพในอดีตกับน้องสาว พร้อมระบุข้อความซึ้งว่า “ครบ 100 วันแล้วนะวิที่เราไม่ได้เจอกัน พยายามเข้าใจสัจธรรมแต่ก็ยังไม่ชินสักที พอนึกถึงกันก็มีรอยยิ้ม บางครั้งก็มีน้ำตา บางทีก็แอบรู้สึกเหงาอยู่ในใจ เพราะขาดคู่คิด ขาดคนป่วน สีสันในชีวิตขาดหายไป แต่ทุกความทรงจำยังอยู่ในหัวใจไม่เคยลืม เพราะเราผ่านอะไรด้วยกันมามาก คิดถึงหนูมากจริง ๆ นะวิ หนูคงอยู่บนฟ้าอย่างมีความสุข คิดถึงพวกเราบ้างนะวิ ไม่ต้องห่วงทางนี้ พี่จะทำหน้าที่แทนหนูให้ดีที่สุด #ห่วง2025 #ห่วง”

#กุ้งสุทธิราช #วิวิรดา #สยามดารา
ผู้สมัครประกวดนางงาม MUT แห่แจ้งกองปราบฯ เพิ่มเติมปมถูกหลอกค่าสมัครและเงินรางวัลแถมต้องจ่ายเงินซื้อมงกุฎอีก 5 หมื่นถ้าใครได้ตำแหน่งชนะเลิศ มิส MUT 3 จว.
วันที่ 9 ก.ย. เวลา 11.00 น. ที่ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม และ เก่ง สุเชษฐ์ ผู้ช่วย ชมรมฯ พา กลุ่มอดีตนางงามผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand (MUT) ลิขสิทธิ์ระดับจังหวัด 3 จังหวัด ประกอบด้วย 1. ยลรดา วัจนะ รถเบนซ์ 2.ปลายฟ้า ไขทุมมา 3.อิงฟ้า ชิโนทัย 4.ณัฐมน ศิลาอาศน์ 5.โพนี่ เอลินญาน์ 6.เบ็ญจมาศ. แพ่งสภา 7.เซนนี่ แอน โซนส์ 8.นวลีน จาตุเวดี 9.กุลณัฐ อ่ำทอง 10.ปวีณา กนกหงษ์ 11.ณัฐรุจา นพไทย

เปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ก่อนจะพาเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป.เพื่อแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ และขอความเป็นธรรมจากสื่อมวลชน หลังถูกกองประกวดหลอกลวงในหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายในการประกวด

จากเมื่อ 2 ก.ย.มีอดีตนางงามประกอบด้วย น.ส.ปลายฟ้า ไขทุมมา ผู้ชนะเลิศ MUT อุทัยธานี, น.ส.ยลรดา รองฯ MUT อุทัยธานี, , น.ส.ณัฐนันท์ คันธมาลย์ รองอันดับสอง , น.ส.เอลินญาน์ รองอันดับ 2 MUT แพร่ , น.ส.ณัฐมน ศิลาอาศน์ รองอันดับ 3 MUT แพร่ออกมาเปิดเผยถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้มีผู้เสียหายรายอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้เข้ามาร้องเรียนเพิ่มเติม

โดยความเสียหายที่พบมีลักษณะคล้ายกันคือ ผู้เข้าประกวดได้โอนเงินค่าสมัครเข้าบัญชีหนึ่งเพื่อประกวดในจังหวัดที่ตนเองต้องการ แต่เงินกลับถูกโอนไปเข้าบัญชีของกองประกวดในจังหวัดอื่น เช่น จากอุทัยธานีไปเข้ากระบี่และพังงา เมื่อสอบถามผู้จัดการประกวด (PD) กลับปฏิเสธความรับผิดชอบ ทำให้ผู้เสียหายสงสัยว่าอาจมีการหมุนเวียนเงินในลักษณะการระดมทุนหรือนำไปใช้ในวัตถุประสงค์อื่น ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน นอกจากนี้ ผู้เสียหายยังเปิดเผยถึงการหลอกลวงในรูปแบบอื่น ๆ อีกหลายประการ เช่น ผู้ถือลิขสิทธิ์ได้อ้างกับผู้สมัครว่าจะให้มาประกวดนางงามก่อน แล้วจึงจะปั้นให้เป็นนักแสดงสมทบในบริษัทของตน แต่เมื่อการประกวดจบลง กลับไม่มีใครได้ทำงานแสดงตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด

ประเด็นที่สร้างความเสียหายอย่างหนักคือเรื่องเงินรางวัล เนื่องจากอดีตนางงามหลายคนเปิดเผยว่าไม่ได้รับเงินรางวัลแม้แต่บาทเดียว และบางรายต้องเดินทางจากต่างจังหวัดมาประกวดโดยต้องลงทุนค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ทั้งค่าชุดราตรี เครื่องประดับ และค่าเดินทาง จนไม่มีเงินเหลือสำหรับเดินทางกลับบ้าน ซ้ำร้าย บางคนยังถูกยึดมงกุฎคืนเมื่อทวงถามเรื่องรางวัลที่ควรจะได้รับ
อีกทั้งยังถูกตัดสิทธิ์จากสินค้าของสปอนเซอร์ โดยอ้างว่าไม่ได้มีการรีวิวสินค้า ทั้งที่ความจริงแล้วไม่เคยได้รับสินค้าเพื่อรีวิว หรือบางรายได้รับสินค้าหมดอายุ ซึ่งผิดจรรยาบรรณของผู้บริโภค ผู้เสียหายบางรายยังถูกกดดันให้ต้องเข้าห้องลับ (ห้องดำ) ซึ่งเป็นห้องที่มีผู้มีอิทธิพลเข้ามาข่มขู่และอัดคลิปวิดีโอเพื่อใช้ในการแบล็กเมล์โดยไม่ได้รับความยินยอม

ทำให้ผู้เสียหายหลายคนตกอยู่ในภาวะเครียดจนเป็นโรคซึมเศร้า เนื่องจากกังวลว่าคลิปดังกล่าวจะถูกนำไปเผยแพร่ อี้แทนคุณ ระบุว่า การเข้าแจ้งความในวันพรุ่งนี้ เพื่อต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งสืบสวนและขยายผลคดี เพื่อติดตามตัวผู้กระทำผิดมารับโทษตามกฎหมาย และขอให้สื่อมวลชนช่วยกันเผยแพร่ข่าวเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียหายทุกคน เพราะเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมากที่ยังไม่กล้าออกมาเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้น
รองเต่า บอกนักร้องดังมาพบเพื่อชี้แจงกรณีจัดคอนเสิร์ตให้วัดพระบาทน้ำพุ มาขอชี้แจง พงส.ก่อนให้สอบไว้เป็นพยานในคดี
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 8 ก.ย.68 ที่หน้าอาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ รอง ผบช.ก. พร้อมนักร้องดังยุค 80 นายวินัย พันธุ รักษ์ วงดิ อินพอสซิเบิ้ล, นายวิชัย ปุญญยันต์ วงพิงค์แพนเตอร์ ร้านข้าวโพดในเวลากว่า 1 ชั่วโมง รองเต่า เปิดเผยว่า แบ่งงานสอบคดีวัดพระบาทน้ำพุ 24 เรื่อง ครอบคลุมที่ดิน มูลนิธิ และเส้นทางการเงิน ของวัดพระบาทน้ำพุ ด้าน คนกลาง จัดงานคอนเสิร์ตการกุศล รับ โอนเงินทำบุญ กลับเข้าบัญชีวัด 3 แห่ง ยืนยันไม่ได้มีการยักยอกเงินตามที่ถูกกล่าวหา

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เผยการประชุมติดตามคดีวัดพระบาทน้ำพุล็อต 2 แบ่งงานสอบสวน 24 เรื่อง ครอบคลุมที่ดิน โรงแรม มูลนิธิ และเส้นทางการเงิน โดยวันนี้กลุ่มศิลปินที่เคยถูกพาดพิงทยอยเข้าชี้แจง แต่ยังไม่ครบถ้วน ขณะที่คดีจะมีการประชุมทุก 10 วันเพื่อติดตามความคืบหน้า

ด้านนายกฤตศิลป์ ฉลองขวัญ หรือ “หนุ่ย” ผู้ประพันธ์เพลง และคนกลางโอนเงิน ยอมรับว่า ได้รับการโอนเงินจากฝ่ายการเงินของวัดครั้งละ 1.4-1.5 ล้านบาท เพื่อจัดคอนเสิร์ตการกุศล ก่อนกระจายค่าใช้จ่ายไปยังศิลปิน และนำเงินบริจาคทั้งหมดโอนกลับเข้าบัญชีวัด 3 แห่ง ได้แก่ มูลนิธิธรรมรักษ์ วัดพระบาทน้ำพุ และกองทุน อาทรประชานาถ

ยืนยันว่า คอนเสิร์ตดังกล่าวเป็นการแสดงฟรี ไม่มีการหักค่าใช้จ่าย โดยครั้งแรก ๆ มีตัวแทนวัดและหลวงพ่อเป็นผู้ติดต่อเอง ส่วนการใช้เงินบริจาคหลังจากโอนคืนวัดนั้น ตนไม่ทราบรายละเอียด แต่ยืนยันว่าไม่ได้มีการยักยอกเงินตามที่ถูกกล่าวหา
ป้าเม้า-พิงค์แพนเตอร์ ซัดทิดอลงกต “ทุเรศ!” ยันเงิน 4 แสน ค่าจ้างล้วนๆ
หัวหน้าวงพิงค์แพนเตอร์-ป้าเม้า สุดา ยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แจงเงิน 4 แสน เป็นเงินค่าจ้างปกติ มีหลักฐานชี้แจง พร้อมฉะ ทิดอลงกต ทุเรศกล่าวหาโกงวัด

วันนี้ (8 ก.ย 68) ที่กองบังคับการปราบปราม นายวิชัย ปุญญะยันต์ หัวหน้าวงดนตรีพิงค์แพนเตอร์ (Pink Panther) และนางสุดา ชื่นบาน หรือ ป้าเม้านักร้องและนักแสดง เดินทางเข้าชี้แจงกรณีวัดพระบาทน้ำพุจ้างเล่นคอนเสิร์ต

นายวิชัย ปุญญะยันต์ กล่าวว่า วันนี้นำหลักฐานการโอนเงินค่าใช้จ่ายที่ได้รับค่าจ้างจากวัดพระบาทน้ำพุ ในการแสดงคอนเสิร์ตแต่ละครั้ง โดยตนเองได้จัดคอนเสิร์ตร่วมกับวัดพระบาทน้ำพุ 10 ปี จัดมาประมาณ 7 ครั้ง ซึ่งแต่ละครั้งจะเล่น 30 เพลง และได้รับเงินค่าจ้างประมาณครั้งละกว่า 400,000 บาท ซึ่งในแต่ละครั้งก็จะมีการกระจายรายได้ให้กับคนที่มาร่วมจัดคอนเสิร์ต ทั้งนักดนตรี นักร้อง และลูกจ้างต่างๆ โดยเฉพาะวงของตนเองเป็นวงออร์เคสตราที่มีเครื่องดนตรีประมาณ 40 ชิ้น เมื่อแบ่งค่าใช้จ่ายจะตกประมาณคนละ 8,000 แต่ตนเองเป็นคอนดักเตอร์และนักร้อง จึงได้รับค่าจ้าง 50,000 บาท ซึ่งการรับเงินในแต่ละครั้งนั้นจะผ่านคนกลางก็คือนายหนุ่ย ที่วันนี้ก็จะเดินทางมาร่วมชี้แจงด้วยเช่นกัน ยืนยันว่าตนเองไม่มีการรับเงินเพื่อบริจาคให้กับวัด เนื่องจากคอนเสิร์ตแต่ละครั้งเป็นคอนเสิร์ตการกุศล จัดให้ลูกศิษย์ของวัดชม โดยลูกศิษย์ของวัดหากมาร่วมงานแล้วบริจาคเงิน ก็จะบริจาคเงินโดยตรงให้กับทางวัดไม่ได้ผ่านในส่วนของตนเอง

ที่ผ่านมาตนเองได้บริจาคเงินให้กับทางวัดมาโดยตลอด ทุกครั้งที่ไปเล่นคอนเสิร์ตอื่นๆ ก็จะหักรายได้ประมาณ 1 แสนบาทต่อครั้งให้กับทางวัด โดย 1 แสนบาท จะมีการตกลงกับทางวัดไว้ก่อนแล้ว หากรายได้ไม่ถึงก็จะต้องควักเนื้อให้ ยอมรับว่าตนเองศรัทธาในตัวทิดอลงกต ในช่วงแรกเป็นเหมือนพระเอกที่มาช่วยเหลือคนอื่น

เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ทิดอลงกตให้การกับตำรวจว่าโดนศิลปินโกงเงิน 4 แสนบาท ป้าเม้าถึงกับอุทานขึ้นมาว่า ทุเรศ พร้อมกับยืนยันว่าไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเงินวัด ส่วนอาต๋อยพูดเสริมว่า หลังจากที่มีกระแสข่าวเรื่องนี้ออกมายอมรับว่าเสียใจ แต่เราไม่รู้ว่าเงินอะไรมาจากไหน ตนเองทำงานตรงนี้มาเป็นเวลานาน 57 ปี ไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสีย เพียงแค่คนคนเดียวที่ออกมาพูดถึงตนเองไม่ดี ซึ่งที่ผ่านมาวัดพระบาทน้ำพุจัดคอนเสิร์ตกับวงอื่นๆมาเยอะมาก ของตนเองมีเพียงปีละครั้งเท่านั้น
วินัย พันธุรักษ์ ศิลปินแห่งชาติ เข้าให้ปากคำตำรวจกองปราบปราม คดีวัดพระบาทน้ำพุ ยืนยันไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเงินบริจาคของวัด ส่วนเส้นทางการเงินที่ไปถึงเป็นเพียงค่าตอบแทนที่ได้รับจากการขึ้นเวทีคอนเสิร์ตโดยมีเจ้าหน้าที่วัดคนหนึ่งโอนให้
นาย วินัย พันธุรักษ์ หรือ อาต๋อย ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดงขับร้องเพลงไทยสากล ประจำปี 2562 และหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งวง ดิอิมพอสซิเบิล เดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม จากกรณีที่มีกระแสข่าวพาดพิงมาถึงว่าเจ้าตัวมีเส้นเงินจากวัดพระบาทน้ำพุเข้ามายังบัญชีส่วนตัว เมื่ออาต๋อย เดินทางมาถึงได้เข้ามาให้ข้อมูลกับสื่อมวลชน โดยเปิดใจว่า เดินทางมาเพื่อเข้าให้ข้อมูลและชี้แจงเรื่องเส้นทางการเงินจากวัดพระบาทน้ำพุที่โอนเข้ามายังบัญชีส่วนตัวของตนเอง โดยยืนยันว่าเงินดังกล่าวได้รับมาในช่วงที่ไปแสดงดนตรีในงานวันภาษาไทยแห่งชาติซึ่งได้รับการติดต่อมาจากสมาชิกวง pink panther โดยได้ขึ้นร้องเพลง 5 เพลง จากนั้นเมื่อลงจากเวทีก็ได้รับการโอนเงินจากนายหนุ่ย ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของวัดพระบาทน้ำพุโอนเงินมาให้จำนวน 30,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวตนเองไม่ได้เรียกร้องและไม่ทราบว่าเป็นเงินที่มาจากแหล่งใด ทั้งนี้ในช่วงตั้งแต่ปี 2561 ถึง 62 ที่ผ่านมาได้เข้ามาแสดงดนตรีร้องเพลงให้กับวัดพระบาทน้ำพุหลายครั้ง โดยเคยได้รับการโอนเงินในลักษณะแบบนี้มาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ได้ค่าตอบแทนมากที่สุด

ทั้งนี้ในระหว่างการแสดงตนเองไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมหรือชักชวนบุคคลใดให้เข้าร่วมบริจาคเพราะการชักชวนบริจาคและเรี่ยไรจะมีบุคคลอื่นทำหน้าที่แทน ต้นมีหน้าที่เพียงร้องเพลงตามหน้าที่เท่านั้น โดยไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับเงินบริจาค และยืนยันว่าไม่เคยเบียดบังหรือนำทรัพย์สินใดๆของทางวัดออกมา อีกทั้งยังไม่เคยถือครองทรัพย์สินหรือโฉนดใดๆให้กับทางวัด

ทั้งนี้เมื่อมาทราบข้อมูลในภายหลังว่าอดีตหลวงพ่ออลงกตและวัดพระบาทน้ำพุมีปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นก็รู้สึกตกใจพร้อมๆกับทุกคน และเมื่อทราบข่าวว่าตนเองกลายเป็นหนึ่งในนักร้องที่ต้องสงสัยว่าจะเบียดบังหรือยักยอกทรัพย์สินของวัดก็ยิ่งรู้สึกตกใจและอยากออกมาอธิบายชี้แจงเรื่องนี้ให้ตำรวจและประชาชนรับทราบ โดยวันนี้หากพนักงานสอบสวนสอบถามในประเด็นใดก็พร้อมจะตอบคำถามในทุกประเด็น ส่วนพยานหลักฐานอื่นๆตนไม่ได้เตรียมมาเพราะเชื่อว่าเอกสาร statement หรือเส้นทางการเงินต่างๆตำรวจน่าจะมีในมือหมดแล้วแต่หากร้องขอก็พร้อมจัดหามาให้
“บิ๊กเต่า“เรียกประชุมชุดทำคดีวัดพระบาทน้ำพุ นักร้อง-ตลก“พิงแพนเตอร์-ถั่วแระ-วินัย”ตบเท้าเข้าพบตำรวจให้ข้อมูล
วันที่ 7 ก.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันพรุ่งนี้ที่ 8 ก.ย.68 เวลา 10.00 น. ที่ ชั้น 2 อาคารประชาอารักษ์ กองบังคับการปราบปราม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เรียกประชุมเพื่อแบ่งงานให้คณะทำงานจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น บก.ป., บก.ปปป., บก.ปอศ., และ บก.ปทส. สำหรับความคืบหน้าของคดีหมอบี เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป.น่าจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมภายหลังเสร็จสิันการประชุมแล้ว

นอกจากนี้ในช่วงบ่ายประมาณ 14.00 น. นายวิชัย ปุญญะยันต์ นักร้องดังยุค 80 ของ“วงพิงค์แพนเตอร์” จะเดินทางมาเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ (บิ๊กเต่า) เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเด็นเงินบริจาคของวัดพระบาทน้ำพุด้วย

สำหรับคดีการทุจริตเงินบริจาคของวัดพระบาทน้ำพุมีจุดเริ่มต้นของคดีเรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยขึ้นหลังจากมีผู้ร้องเรียนกองปราบฯ เมื่อปลายเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ให้ตรวจสอบเงินบริจาคของวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะสถานสงเคราะห์ผู้ป่วยโรคเอดส์และผู้ยากไร้ โดยประเด็นหลักคือเรื่องความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายเงินบริจาค และการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) เริ่มทำการสืบสวนสอบสวน การจับกุมผู้ต้องหาคนสำคัญ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับและเข้าจับกุม อดีตพระอลงกต หรืออดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ และ นายเสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล หรือ "หมอบี" โดยทั้งสองถูกตั้งข้อหายักยอกทรัพย์และฟอกเงิน เนื่องจากพบหลักฐานความเชื่อมโยงในการยักยอกเงินจำนวนมหาศาลจากวัดไปใช้ในทางที่มิชอบ ประเด็นการสอบสวนที่ขยายวงกว้าง

คดีนี้ไม่ได้จบแค่การจับกุมผู้ต้องหาหลัก แต่ยังมีการขยายผลการสอบสวนไปยังบุคคลอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องกับการรับเงินจากวัดพระบาทน้ำพุ ซึ่งรวมถึงดารานักแสดงและนักร้อง ซึ่งวันพรุ่งนี้มีรายงานว่านักร้องวงพิงค์แพนเตอร์จะได้เข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากการสืบสวนยังพบว่าการจัดการทรัพย์สินของวัดมีปัญหาหลายอย่าง เช่น ที่ดินกว่า 2,000 ไร่ ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นของวัด แต่จากการตรวจสอบพบว่ามีเพียง 6 ไร่ 60 ตารางวาเท่านั้นที่เป็นของวัดจริง ส่วนที่เหลือเป็นของมูลนิธิหรือใช้เป็นสนามฟุตบอล นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องสิ่งของบริจาคจำนวนมากที่ถูกทิ้งไว้จนหมดอายุการใช้งาน

คดีนี้เป็นคดีใหญ่ที่สังคมให้ความสนใจอย่างมาก เพราะเกี่ยวข้องกับความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อศาสนา และการใช้จ่ายเงินบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเดินหน้าสอบสวนอย่างต่อเนื่องเพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย
#สยามดารา
แจ้งความดำเนินคดี พิชชี่ นางงามกัมพูชาโกงค่าผลิตเครื่องสำอาง !
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงใหม่ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ตำรวจภูธรภาค 5 คดีอาญา เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2568 เวลา 09.32 น.

ทนายผู้รับมอบอำนาจ จาก น.ส.พิชชานันท์ ศิริบำรุงพัทฒ์ อายุ 2..ปี ที่อยู่ จ.ลำพูน มาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับ Ms. LIM SREY PICH สัญชาติกัมพูชา หมายเลขหนังสือเดินทาง NU1555501 โดยกล่าวหาว่า ยักยอกทรัพย์
พฤติการณ์ คือ เมื่อประมาณ พ.ศ.2565 นางสาวพิชชานันท์ ศิริบำรุงพัทฒ์ กับ Ms . LIM SREY PICH ได้พูดคุยตกลงกันเรื่องการผลิตและขายสินค้าประเภทครีม เพื่อนำไปขายในประเทศกัมพูชา โดย น.ส.พิชชานันท์ฯ ตกลงเป็นผู้ลงทุนผลิตสินค้า และ Ms . LIM SREY PICH ตกลงเป็นผู้นำสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกัมพูชาโดยมีข้อตกลงว่าหากขายสินค้าได้จะแบ่งเงินในส่วนที่เป็นกำไรกันคนละ กึ่งหนึ่ง

ต่อมา น.ส.พิชชานันท์ฯ จึงได้สั่งผลิตสินค้าประเภทครีมกับโรงงานผลิตเพื่อจัดส่งให้แก่ Ms . LIM SREY PICH ให้นำไปจำหน่ายดังนี้
1. CC Cream 150ml จำนวน 350 กล่อง กล่องละ 100 บาท รวมเป็นเงิน 35,000 บาท
2. CC Cream มีกลิตเตอร์ 150ml จำนวน 350 กล่อง กล่องละ 110 บาท รวมเป็นเงิน 38,500 บาท
3. โทนอัพกันแดด 150ml จำนวน 300 กล่อง กล่องละ 110 บาท รวมเป็นเงิน 30,000 บาท
4. การจดแจ้ง อย. จำนวน 3 รายการ รายการละ 2,500 บาท รวมเป็นเงิน 7,500 บาท
5. เพรทสกรีน (แม่พิมพ์สำหรับการจัดทำวัสดุใส่ครีม) จำนวน 6 แผ่น แผ่นละ 2,000 บาท รวมเป็นเงิน 12,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น เป็นเงินจำนวน 123,000 บาท

และเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2567 โรงงานผลิตได้จัดส่งสินค้าที่ได้สั่งผลิตดังกล่าวข้างต้นให้แก่ Ms . LIM SREY PICH จากโรงานผลิตซึ่งตั้งอยู่ที่..ไปยังประเทศกัมพูชา โดยขนส่งผ่านบริษัทขนส่งทางเอกชน (Flash Express) ซึ่งต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 Ms . LIM SREY PICH ได้รับสินสินค้าทั้งหมดดังกล่าวแล้วภายหลังจากที่ Ms . LIM SREY PICH ได้รับสินค้ากลับอ้างว่าสินค้าไม่เหมือนตัวทดลองใช้ก่อนจะสั่งผลิต และไม่ยอมนำสินค้าทั้งหมดออกไปจำหน่ายแต่อย่างใด น.ส.พิชชานันท์ฯจึงได้แจ้งให้ Ms . LIM SREY PICH ส่งมอบสินค้าคืนให้แก่นาง น.ส.พิชชานันท์ฯและให้รับผิดขอบค่าเสียหายจำนวน 600,000 บาท

ซึ่ง น.ส.พิชชานันท์ฯ ได้ทวงถามให้ส่งสินค้าคืนเรื่อยมา แต่ภายหลัง Ms . LIM SREY PICH ได้โอนเงินค่าเสียหายจำนวน 60,000 บาท ให้แต่ไม่ได้ส่งมอบสินค้าคืนแต่อย่างใด จนกระทั่งในวันที่ 30 สิงหาคม 2568 น.ส.พิชชานันท์ฯได้ทวงถามให้ Ms . LIM SREY PICH ส่งสินค้าคืนให้แก่ น.ส.พิชชานันท์ฯ อีกครั้ง แต่ Ms . LIM SREY PICH กลับบ่ายเบี่ยงไม่ยอมส่งมอบสินค้าคืนให้แก่ น.ส.พิชชานันท์ฯ
จึงเชื่อว่า Ms . LIM SREY PICH มีเจตนาเบียดบังเอาสินค้าทั้งหมดดังกล่าวไปเป็นของตนเองโดยทุจริต จึงมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน
ไม่ลืมเกิดจากสลัม! อ้น ดรามาแหวกกฎชีวิตดารา ปาดน้ำตาสอนใช้ชีวิตการเงิน สมถะไม่ติดแกลม
โดนดรามาจัดหนักว่าเป็นดาราตกอับ หลังพระเอกดังยุค90 "อ้น สราวุธ มาตรทอง" ทำคลิปเปิดใช้ชีวิตแบบเรียลสมจริงรีไฟแนนซ์บ้านเพื่อปลดล็อกทางการเงินให้คล่องขึ้น มิวายมีผลคอมเมนต์ทั้งด้านลบและด้านบวก ล่าสุดเดินทางมาทำบุญล่วงหน้าเตรียมฉลองวันเกิดเข้าสู่49ปีทอง ที่มูลนิธิราชวิถี พระเอกดัง "อ้น สราวุธ" ขอเคลียร์ทุกประเด็นร้อน พร้อมถ่ายทอดการใช้ชีวิตการเงินแบบไม่มีกั๊ก

ถามถึงคลิปออกมาร้องไห้เรื่องการรีไฟแนนซ์บ้าน?
"ต้องบอกว่าคนที่ฟังคลิปเต็มๆ จะรู้ว่านั่นคือพลังบวก ให้กำลังใจเราก็รู้สึกว่าชีวิตเราโล่งขึ้นมานิดนึง คนที่ฟังมันจะได้สิ่งนั้น แต่คนที่ไม่ได้ฟังคลิปจะมาบอกว่า ดาราลาออกมาร้องห่มร้องไห้ คือชีวิตดาราแม่งก็แบบนี้ชอบมาโชว์รวยแล้วสุดท้ายก็ลำบาก ไม่ใช่นะครับ ถ้าอ้น สราวุธทุกข์ คุณจะไม่เห็นหน้าผม แต่ถ้าผมผ่านความเพียรพยายาม ด้วยอะไรก็แล้วแต่ หาวิธีเจอคุณจะได้เห็นผมเอามาแบ่ง เอามาเล่าให้ทุกคนฟัง ถ้างั้นไปย้อนดูได้ว่าผมไม่เคยออกมาเรียกร้องขอความเห็นใจอะไร นั้นไม่ใช่วิธีการทำมาหากินของผมครับ"

แล้วจริงๆไม่ได้มีปัญหาการเงินอะไรหนักๆใช่มั้ย?
"ไม่มีครับ ผมมีหนี้อยู่ก่อนเดียวคือเรื่องบ้าน แล้วเป็นหนี้ก้อนเดียวในชีวิต ซึ่งประเด็นคือว่าผมอยากจะรีบจ่ายให้จบ เพราะนิสัยอ้น สราวุธ ไม่ชอบเป็นหนี้ครับ คือผมคุยกับพี่ๆที่เป็นนักธุรกิจทุกคนบอกว่าไอ้อ้น หนี้มึงเป็นเลขหน่วยเดียว 3-4 ล้านเอง มีงดูวุ่นวายใจมาก กูมีหนี้ 30-40ล้าน กูยังชิล ซึ่งจะบอกว่ามันไม่ใช่นิสัยผมครับ ผมไม่เคยติดหนี้ติดสินใคร ผมไม่ชอบ เพราะฉะนั้นผมก็เลยรีบโป๊ะให้มันหมดไป แต่พอโควิดมามันมาทำให้ล้มแผนแห่งการทำงานของผม มันก็เลยทำให้ผมมาขอจัดการกับทางธนาคารให้มันน้อยลงหน่อย จ่ายแต่ดอก มันเลยทำให้ต้นมันเยอะใช่มั้ย และพอโควิดจบมันก็กลับมาที่ราคาเต็ม ถ้าเงินที่มันเป็นเงินเย็นมันหายลงไปเยอะ เพราะละครเราไม่ได้รับเรามาทำธุรกิจ สองปีที่เป็นโควิด ผมเอาเงินเก็บมาใช้ ประมาณแสนกว่าบาทต่อเดือน ที่นี้คนก็มาบอกว่าทำไมไปซื้อบ้านหลังใหญ่ ไม่ซื้อเล็กๆ อยากบอกทุกคนนะครับ อ้นเกิดจากสลัม บ้านของอ้นหลังแรกคือ 2ล้านนิดๆ

อ้นรวมเงินกับคุณอา เพราะฉะนั้นอ้นใช้วิธีคิดแบบนกน้อยทำรังแต่พอตัว บ้านหลังที่สองอ้นซื้อคอนโด เป็นการเติบโตขึ้นอีก บ้านหลังแรกให้กับครอบครัว ส่วนที่ซื้อหลังที่สาม เพราะคอนโดปลูกต้นไม้เลี้ยงสัตว์ไม่ได้ ผมเลยเลือกหลังนี้ ซึ่งบ้านหลังนี้คือเหมือนบ้านที่เราอยากมี

ซึ่งมันประมาณ15ล้าน ผมไม่อยากใช้เงินอนาคต ผมเลยไปเลือกบ้านหลังแรกที่2ล้านกว่าบาท แต่วันที่ผมมีปัญญามีกำลัง แล้วบ้านหลังนี้เป็นบาทที่เจ้าของเก่าผ่อนไม่ไหว ช่วงน้ำท่วม เขาก็เลยโละทิ้ง เป็นปัญหากับทางธนาคาร เป็นจังหวะที่ผมอยากได้บ้าน ผมก็เลยมาช้อนซื้อ ราคามันเลยไม่ถึง15ล้าน ตัดลงมาครึ่งนึง ผมก็เลยโปะเงินเยอะ เพราะอยากให้หมดเร็วๆ แล้วผมใช้ชีวิตสมถะ กินง่ายอยู่ง่าย จนทีมงานบอกว่าผมทำงานหนักมาก ไม่กินหรูๆไม่เที่ยว เหมือนดาราคนอื่นๆ ซื้อผ้าก็ไม่ช้อปปิ้ง เขาก็ถามรีไฟแนนซ์มั้ย เราก็ถามว่าได้หรอ คือผมไม่มีความรู้ด้านนี้มาก ก็เลยลองดู จนรู้ว่ามันทำได้ ชีวิตเราจะได้ลั้นล้า ฉันจะกินของอร่อยได้มากขี้นหรอเนี้ย จะได้ดูแลสัตว์ที่เราเลี้ยงได้ ผมเคยจ่ายค่ารักษาสัตว์ ยื้อชีวิตเขาไป200,000 เรายอมจ่าย ซึ่งตอนนี้เราไม่ลำบากอะไร ผมใช้ชีวิตนกน้อยทำรังแต่พอตัว หนี้สิ้นผมกำลังจะหมด ก็เลยอยากออกมาบอกทุกคนว่าถ้าเราแก้โครงสร้างหนี้ได้ ให้แก้ อะไรทำได้ทำ ชีวิตของคนเรามันมีปัจจุบันให้เราหายใจออก เราแก้โครงสร้าง ปรับเปลี่ยนการผ่อน ให้มันหมด ลงเร็วได้"

หลายคนคอมเมนต์ว่าเป็นดาราตกอับ?
"คือเขาไม่ได้ติดตามเรา ผมไม่ว่าผมโกรธเขาครับ คนก็อ่านแค่หัวข้อข่าวผมเข้าใจ ซึ่งผมไม่ชอบดรามาครับ เราก็ปล่อยไปครับ แต่คนทึ่ติดตามผมเขาจะรู้ว่าผมให้อะไร เขาได้กำลังใจ ได้พลังใจ เขาได้วิธีการแก้ปัญหาจากอ้น สราวุธ อันนี้คือผมตั้งใจให้ ผมจะไม่ท๊อกซิก หรือไปต่อสู้กับคอมเมนต์ใดๆ เพราะผมอายุ49แล้ว ผมรักตัวเองมาก จนถ้าเรามีเหลือแล้ว เราแบ่ง เมื่อไรที่มีคนมารับไป คุณได้ผมดีใจด้วย แต่ถ้าคุณไม่คิดจะรับอะไรกับผม ผมก็ไม่ว่าอะไร"

ณ วันนี้เครียดเรื่องการเงินอะไรเป็นพิเศษ?
"ผมเครียดเพราะต้องแบ่งการเงิน อย่างตอนนี้ผมทำธุรกิจdeep care ใช่มั้ย พองานในวงการบันเทิงน้อยลง อย่างที่ผมบอกว่าตอนโควิดมันก็ดึงเงินผมไป งานธุรกิจของผมมันเติบโตขึ้น ทุกวันนี้เงินเดือนผมคือเงินธุรกิจ ถึงเงินในวงการผมจะน้อย ผมก็อยู่ได้แล้วสบาย แต่พอแมวมันป่วยก็เกิดปัญหา หาคุณไม่ได้เลี้ยงสัตว์จะนึกไม่ออก สัตว์ที่เรารัก เราไม่ได้รักเขาแค่พอมีพอกิน เราอยากเลี้ยงเขาให้ดี เมื่อเขาป่วยเราก็รักษาเขาให้สุดทางไปเลยครับ แมวที่เก็บมาเลี้ยงผมรักษาไป200,000 หมาที่ผมเลี้ยงแล้วแก่แล้ว รักษาไป50,000 พอเจอไปแล้วเราก็รู้ถึงการใช้เงิน จนคนบอกให้รีไฟแนนซ์ ตอนแรกผมก็กลัวนะเพราะไม่อยาก สร้างหนี้"

แล้วยอดหนี้4ล้านที่ต้องผ่อนบ้านจะจัดสรรชีวิตยังไงต่อ?
"ผมไม่รู้หรอก เราไม่รู้ชีวิตหรอกจะจัดการกี่ปี เราจะไปรู้หรอว่าจะมีโควิด อ้นใช้ชีวิตกับปัจจุบัน เราตั้งหมุดกับชีวิตไว้ว่าเราจะไปหามัน แต่ระหว่างทางเราจะจัดการใช้เราให้ดี ระหว่างทางนั้นสำคัญ ผมมีหมุดหมายในชีวิตนะครับว่าผมอยากได้อะไร ผมอยากไปไหน บ้านหลังต่อไปผมก็คิดไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ซื้อตอนนี้ ระหว่างทางผมจะจัดการกับมันไม่ฟุ้งเฟื้อ ไม่ติดหรู ไม่ใช่เงินในอนาคต และก็ซื่อสัตย์สุจริตถึงแม้จะโตช้าก็ตาม พอยท์ก็คือถึงแม้จะเกิดอะไรขึ้นผมจะเจ็บน้อย แต่ถ้าคุณไม่ฝึกนิสัยนี้ไว้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตแล้วคุณไม่ตั้งรับ คุณจะเจ็บหนัก"
เปิดโลกศาสตร์แพทย์จีน แค่มองหน้า ดูลิ้น จับชีพจร บอกโรคได้หมด?
หลับง่าย หลับไว แค่ใช้ปลายนิ้ว! รายการ Tuck Talk สัปดาห์นี้พามาเปิดโลกศาสตร์แพทย์จีน แค่มองหน้า ดูลิ้น จับชีพจร บอกโรคได้หมด? อยากลดความเครียด นอนหลับง่าย ทำได้แค่ใช้ปลายนิ้ว? มาทำความเข้าใจพลังภายในร่างกาย และวิธีดูแลสุขภาพแบบแพทย์จีนที่สืบทอดมากว่าหลายพันปี กับ "หมอกานต์ ณัฐกานต์" แพทย์จีนผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจ

แพทย์แผนจีนกับแพทย์แผนปัจจุบัน วิธีการรักษาหลักการต่างกันยังไง ?
หมอกานต์ : แพทย์แผนจีนแต่โบราณมาจะดูคนไข้เป็นองค์รวม จะไม่ได้มองว่าโรคของทางศาสตร์แพทย์แผนปัจจุบันเขาให้อะไรมา แต่ว่าเราจะตรวจคนไข้ใหม่หมดเลย ดูสีหน้า จับชีพจร ดูลิ้น แล้วก็ดูองค์รวม บางครั้งคนไข้อาจจะได้รับคำวินิจฉัยว่า พลังชีพของตับติดขัดนะคะ ทั้งๆ ที่คนไข้อาจจะเป็นโรคไต เป็นต้น ยกตัวอย่าง ทีนี้เวลาศัพท์ของทางศาสตร์แพทย์แผนจีน พอเรามีความรู้ก็จะเข้าใจว่ามันไม่ได้เท่ากัน กับแผนปัจจุบันเสียทีเดียว เวลาเราตรวจรักษาก็จะใช้ทางศาสตร์แพทย์แผนจีนในการวิเคราะห์แล้วก็จ่ายยาแล้วจะไม่ได้อ้างอิงของทางศาสตร์แพทย์แผนปัจจุบันทั้ง หมด

พฤติกรรมการรักษาแตกต่างกัน ?
หมอกานต์ : แตกต่างกันเลย สมมุติว่าแพทย์แผนปัจจุบันของเรา สมมุติปวดท้องก็เจาะไปเลย จะเป็นกระเพาะหรือจะเป็นอะไรใช่ไหมคะ แต่ถ้าแพทย์แผนจีนก็จะต้องไล่ดูทั้งหมด ถ้าเกิดว่าปวดท้องมาก็จะดูว่ากินอะไรมา ถามซักประวัติเบื้องต้นทั่วไป แต่บางครั้งคนไข้ไม่ได้มาจากอาหารเลย ก็คือกินปกติเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่ถ้าถามลึกลงไปคนไข้อาจจะนอนดึก นอนไม่หลับช่วงนี้มีความเครียด คือจะมองว่า พลังชี่ของตับที่ติดขัดจะไปกระทบพลังของม้ามกระเพาะโดยตรง จนทำให้บางครั้งกรดไหลย้อน หลายคนอาจจะกินยาลดกรด แต่ว่าไม่หายซะที เพราะว่าบางครั้งมันไม่ได้เกิดขึ้นจากทางเดินอาหารตัวของเขามีปัญหา แต่ว่าในทางศาสตร์จีนเราจะมองถึงพลังงานของตับที่คอยช่วยในการไหลเวียนของม้ามกระเพาะ พลังงานของตับเขาติดขัดปุ๊บ ม้ามกระเพาะมันก็เลยติดขัดตาม เพราะฉะนั้นหลายๆ คนที่แบบพอเครียดแล้วจะเจ็บกระเพาะ เครียดแล้วตีขึ้น อันนี้ก็คือเราจะไปรักษาที่พลังงานของตับ พอรักษาได้อย่างตรงจุดคนไข้หลายๆ คนก็จะรู้สึกผ่อนคลายขึ้น การรักษาของแพทย์แผนจีนจริงๆ เราจะดูภาษาจีนจะเรียกว่า ปิ้งหยิน กับ ปิ้งจี ก็คือกลไกการเกิดโรคกับสาเหตุการเกิดโรค เราจะไม่ได้ดูว่าอวัยวะนี้มีปัญหา แต่ก่อนที่อวัยวะไว้มีปัญหาคนไข้อาจจะมีระบบอื่นที่มีปัญหาก่อนมากระทบ แล้วคนไข้ไปตรวจเจอโรคนี้ ก็จะดูถึงสาเหตุแล้วก็กลไกการเกิดโรคของเขา ถึงไปรักษากลไกตรงนี้ พอกลไกการเกิดโรคหายไปมันก็ไม่มีโรคตามมาคนไข้ก็เลยดีขึ้น

ศาสตร์การแพทย์จีนให้ความสำคัญกับพลังชี่ ต้องสมดุล ต้องไม่ติดขัด พลังชี่คืออะไร ?
หมอกานต์ : เหมือนเราหายใจอย่างงี้ ปอดคือเป็นตัวควบคุมกำหนดลมหายใจ แล้วก็ดูแลการไหลเวียนของพลังชี่เพราะงั้นตอนที่ทุกคนกำลังมีความเจ็บปวดอยู่ไม่ว่าอะไรก็ตามของร่างกายกำลังบาดเจ็บ ออกกำลังกายมาแล้วเจ็บ แล้วถ้าเราจับไม่ทัน แล้วก็ไปกระวนกระวายกับอาการเจ็บนั้นจะยิ่งเป็นหนักมาก ยกตัวอย่างเช่นคนไข้ที่ได้รับการบาดเจ็บ จะได้ข่าวว่าทนพิษบาดแผลไม่ไหว เพราะว่าเขาช็อกก่อน ทีนี้ถ้าเกิดว่าเราดูแลพลังชี่ได้ดีก็คือกำหนดลมหายใจจะทำให้หัวใจไม่ดีดคือจะไม่ช็อกง่าย จะควบคุมความเจ็บปวดนั้นได้เหมือนพระท่านเขาบอกว่าเราจะเห็นความเจ็บปวด อันนี้ก็คือทางศาสตร์แพทย์แผนจีนก็มองแบบนั้น ถ้าเกิดว่ารู้ลมหายใจ หายใจได้ดี จะสามารถทนความเจ็บปวดนั้นได้โดยที่ไม่ทรมาน แล้วความเจ็บปวดนั้นไม่เอาชีวิตเราไปได้

หลักธรรมะให้สูดลมหายใจเข้าออก กำหนดลมหายใจตรงนั้นก็ดี ? หมอกานต์ : ดีมาก เพราะว่าถึงเวลาที่เราเจ็บปวดขึ้นมาแล้ว กลับมาหายใจจะทนอยู่กับแบบนั้นได้ การออกกำลังกาย การหายใจสมาธิ หรือแม้กระทั่งการนอน ช่วงเวลาที่คนเราจะมีลมหายใจที่สม่ำเสมอ จะมีออกกำลังกายจะหายใจลึกขึ้น ทำสมาธิแล้วก็การนอนหลับสนิท ทีเนี้ยถ้าคนปัจจุบันนะไม่ออกกำลังกายไม่เคยทำสมาธิแถมยังอดหลับอดนอน ไปสังเกตลมหายใจของคนกลุ่มนี้ได้ เขาจะไม่รู้ตัวว่าหายใจอยู่หรือเปล่า หรือหยุดหายใจ หรือหายใจสั้นเขาจะแทบไม่รู้ตัว ปัญหาของโรคของคนกลุ่มนี้ กรดไหลย้อน ซึมเศร้า แพนิค อารมณ์แปรปรวน วิตกกังวล ก็จะสะท้อนต่ออารมณ์ออกมาได้

ถ้าสมมุติว่าเราดูแลพลังชี่ไม่ดี มีการขัดข้องหรือเลือดไหลเวียนไม่ดี มันส่งผล ?
หมอกานต์ : ส่งผลเลย ก็คือพลังชี่ที่อยู่ได้ถ้าในหลอดเลือดของเรา ตัวที่เป็นชี่จะคอยดันเลือดเหมือนหัวใจที่ปั๊มมันมีแรงก็จะเป็นตัวดันเลือดจะเปรียบเป็นพลังหยิน ชี่จะเปรียบเป็นพลังหยาง พลังหยางคือกำลังแรงการขับเคลื่อน หยินจะเป็นแบบสารน้ำความสงบนิ่ง เพราะฉะนั้นในเลือดของเรามันมีทั้งหยินและหยางคอยแบบคอยไหลเวียนแล้วก็มีสารน้ำไหลเวียนไป ทีนี้ถ้าเกิดว่าชี่ชะงักก็คือติดขัดไม่ไหลเวียน เลือดก็จะกลายเป็นก้อน อาจจะไม่ได้เป็นก้อนทางร่างกายขนาดนั้น อย่างเรานั่งนานๆ บางคนจะปวดคอ บ่า ไหล่ เพราะเลือดบริเวณนี้ติดขัด หลายคนไปกัวซาหรือไปครอบแก้ว เคยเห็นนักกีฬาที่ไปครอบแก้วแล้วจะเป็นม่วงๆ อันนี้ก็คือจะมีเลือดติดขัดบริเวณนี้ ก็เลยเห็นเป็นสีม่วงๆ ขึ้นมา มีชี่ติดขัดก่อนเริ่มต้นเลือดถึงจะติดขัดส่วนใหญ่ อย่างออกกำลังกายไม่ดีหนักเกินไป อยู่เฉยๆ นานๆ ก็จะทำให้เลือดลมไหลเวียน ไม่ดี

แพทย์แผนจีนมีเรื่องของการจับชีพจรที่เรียกว่าแมะ ตรงนี้สามารถวิเคราะห์โรคได้ยังไงบ้าง ?
หมอกานต์ : จริงๆ การจับชีพจรเราจะมีหลายตำแหน่ง แต่ว่าตำแหน่งที่นิยมก็คือตำแหน่งข้อมือ มันจะมี 3 จุดที่เราจะต้องสังเกต กระดูกที่นูนขึ้นมาตรงนี้จะเป็นนิ้วกลางจับ แล้วก็วางข้างกันคือจุดแรกข้างซ้ายก็จะเป็น หัวใจ ตับ แล้วก็ไต ในการสังเกตเต้นดีอยู่ ถ้าเราอยากจับเป็นประจำ ได้ ทำไมมันช้าเกินไป หรือว่าจับแล้วอยู่ๆ หายไปไม่ขึ้นมาก็อาจจะพูดถึงแรงเรามันไม่ถึงในช่วงนั้น หรืออาจจะมีปัญหาอะไรอยู่ เราจะจับอยู่ 3 ระดับ

การกดจุดถือเป็นการรักษาแบบแพทย์แผนจีนใช่ไหม รักษาได้จริงไหม ?
หมอกานต์ : ได้ อย่างคนที่เป็นกรดไหลย้อนหมอชอบให้กดจุดในกวน ถ้าเกิดว่าคนไข้อยู่ที่บ้าน อันนี้คือสอนเพราะว่าเป็นการดูแลตัวเองเบื้องต้น เป็นแบบการแก้ปัญหาของตัวเองเบื้องต้น ทีนี้ในการรักษาโรคจะใช้การฝังเข็ม มันจะลงลึกกว่า การกดจุดมันเป็นการที่ช่วยให้คนไข้สามารถบรรเทาไปได้เบื้องต้นเหมือนเราอาจจะไม่ต้องไปกินยา เอาบรรเทาก่อน ถ้ามันโอเคเราอาจจะต้องไปหาหมอเพิ่มเติม

กดยังไง ?
หมอกานต์ : เอา 3 นิ้วของเราทาบที่ตรงข้อมือ แล้วก็ปลายนนิ้วอยู่ระหว่างเส้นเอ็น กดคลึง ใครที่แสบร้อนทรวงอกก็ให้กดจุดนี้ได้ กดจนกว่าจะเบาขึ้นแต่ละคนไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน

อาการมันเป็นยังไงกรดไหลย้อน ?
หมอกานต์ : บางคนจะรู้สึกจุกเสียด แน่น แสบร้อนทรวงอก ที่เหมาะกับกฎจุดนี้ บางคนเขาจะบอกว่าปวดบ่า บางคนตึงหัว แล้วแต่คนไม่เหมือนกัน

คนนอนไม่หลับกดตรงไหนได้บ้าง ?
หมอกานต์ : จุดแรกที่หมอชอบแนะนำเลย จริงๆ แล้วในการช่วยนอนหลับแนะนำให้คนอื่นช่วยกดให้เห็นผลดีสุด กดเองอาจจะกดไปตื่นไป จุดแรกคือ จุดยินถาง จุดนี้จะเป็นจุดที่ช่วยลดความเครียดกว่าสมองแบบมันคิดไม่หยุดซะที เรากดคลึงนวดไปจนถึง จุดเสินถิง จะอยู่ระหว่างเส้นผมกับหน้าผาก เสินคือตัวจิต ถ้าเกิดว่าจิตของเรามันไม่กลับบ้าน ถิงมันเหมือนเป็นที่อยู่ ทีนี้ถ้าเกิดว่าตัวจิตของเรามันฟุ้งตลอดเราก็มากดตรงนี้ แล้วก็คือนวดขึ้นไปแค่ทำแค่นี้เราก็จะผ่อนคลายละ แล้วก็อีกจุดหนึ่งจะเป็น จุดอันเหมิน อันนี้จะไม่ได้อยู่บนเส้นลมปราณหลัก เขาจะเป็นจุดพิเศษ อยู่ระหว่างปุ่มกะโหลกตรงนี้ ปุ่มตรงหลังหูวนจุดนั้น นวดคลึงเราจะสบายมาก อันนี้ช่วยนอนหลับมันจะทำให้แบบเราสงบง่าย จุดนี้ตำราจะบอกว่าจะทำให้นอนหลับได้ยาวขึ้นไม่ตื่นกลางดึกค่ะ ถ้าจิตเราไม่พร้อมที่จะเปิดรับ มันก็จะ ไม่รับ หัวใจเป็นตัวนำกาย ใจเป็นตัวกำหนด ทีนี้ถ้าเกิดว่าหัวเราเปิดหัวใจ การรักษาจะง่ายขึ้น

นอนกรน ?
หมอกานต์ : นอนกรนเป็นปัญหามาก จะเรียกว่าจุดเทียนถู กดเข้าไปข้างหลังตรงนี้จะเป็นหลอดลมเลย ทีนี้พอกดไป จุดนี้จะไม่ได้อันตรายมากคือกดแล้วเขาก็จะ มันจะกระตุ้นหลอดลมของเขาให้มันไม่ติดขัด ถ้าเกิดว่าอยากบรรเทาอาการนอนกรนของตัวเองให้ดูแลตั้งแต่การกิน เพราะว่าถ้ากินไม่ดีมันจะเกิดเสมหะแล้วทำให้หลอดลมหลอดเลือดของเราไหลเวียนไม่สะดวก แล้วก็สามารถ ตบเส้นลมปราณปอด กระตุ้นเส้นลมปราณปอดให้เขามีกำลัง ทำในตอนกลางวันทุกๆ วันก็จะพลังงานของปอดเพียงพอ ปอดดูแลลมหายใจ ดูแลหลอดลม ก็คือบางจุดมันเป็นจุดระงับ มันไม่ใช่จุดรักษาเหมือนเรากินยาแก้แพ้ ถามว่าหายไหม ไม่ได้หายมันแค่ระงับ ส่วนในการรักษามันก็เลยต้องต่อเนื่องยาวนาน

บางคนชอบไปนวดเท้า ถ้ากดผิดจุดจะอันตรายไหม ?
หมอกานต์ : ถ้าเกิดว่าจุดแบบปกติธรรมดา แขนขาไม่เป็นอะไร
ใครที่อยากสนใจอยากใช้ศาสตร์แพทย์แผนจีนในเรื่องการดูแลสุขภาพหมอการมีคำแนะนำยังไงบ้าง ?
หมอกานต์ : ถ้าเป็นศาสตร์แพทย์แผนจีนในการดูแลสุขภาพปกติไม่ว่าจะเราป่วยแล้ว หรือยังไม่ป่วยดูแลจริงๆ ดูแลเหมือนกันหมด คือ ใช้ชีวิตตามธรรมชาติ ตำราจีนโบราณมันจะมีตำราหนึ่งที่ฮ่องเต้คุยกับหมอหลวง ฮ่องเต้ถามว่าทำยังไงให้เราแบบใช้ชีวิตแบบอย่างเป็นปกติ ได้อายุนานๆ อายุยืนเป็น 100 ปี หมอหลวงก็บอกให้ใช้ชีวิตตามหยินหยาง ก็คือใช้ชีวิตตามเวลาธรรมชาติ ตื่นเช้า กินข้าว พักผ่อน คือมีจังหวะชีวิตที่ดีมันก็ทำให้พลังงานของเรายืนยาว ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกก็เข้าบ้าน ทำตามนาฬิกาชีวิต

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=cb3oSwdKROs
“หมอท๊อป” แนะเคล็ดลับสุขภาพดีเริ่มที่ตู้เย็น! แจกเคล็ดลับลดน้ำหนักแบบมีความสุข
รายการ Glow On podcast with Grace สัปดาห์นี้พบกับ คุณหมอท๊อป นพ.นันทพล พงศ์รัตนามาน ที่สนับสนุนการกินอย่างมีสติ (mindful eating) เลือกใช้ชีวิตที่สมดุล มากกว่าการทำตามสูตรไดเอตแบบเคร่งครัด เพื่อให้ได้สุขภาพและควบคุมน้ำหนักอย่างยั่งยืน โดยย้ำว่าความเป็นอยู่ที่ดีจริง ๆ เกิดจากความสุข สมดุลไม่ใช่การทำอะไรที่สุดโต่ง เพราะการมีเป้าหมายที่แข็งแรงและทรงพลังในชีวิต คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เรารักษานิสัยสุขภาพที่ดีเหล่านี้ได้ในระยะยาว ลดจริงไม่ต้องอด! ยิ่งกินให้อิ่ม ยิ่งผอม!? แจกเคล็ดลับลดน้ำหนักแบบมีความสุข

จุดเริ่มของคุณหมอ ในอดีตมีน้ำหนักเท่าไหร่ ?
หมอท๊อป : 100 กก. เอา 99 ดีกว่ายังไม่ถึง 100 อีกนิดหนึ่ง ตอนนั้นอยู่ในช่วงเข้ามหาวิทยาลัย ปี 1 คือมันไปเรื่อยๆ สะสม ช่วง ม.4 ม.5 เราก็กินไปเรื่อยๆ ไม่รู้เรื่อง แล้วพอมันถึงจุดๆ หนึ่ง จะทำอะไรมันก็ไม่ลดแล้วไง จนถึงจุดที่ว่าช่างมัน ฉันเกิดมาชีวิตมันต้องเต็มที่ ต้องมีความสุข ต้องสุด แล้วมันก็ยาวไปเรื่อยๆ แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยปี 1 ก็ยิ่งไม่ได้อยู่บ้านแล้ว ออกมา Enjoy มันต้องมีงานเลี้ยงมีปาร์ตี้ แล้วก็ดึก จริงๆ แล้วการกินมันก็คือสังคมด้วย แล้วก็จัดหนัก สักพักหนึ่งอ้าว 90-95 พอมันเริ่มตัวใหญ่ ซื้อเสื้อตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เสื้อยังหลวมก็ยังได้อยู่ เอว 40 ตอนนั้นกินทุกอย่าง คือไม่รู้เลยว่ากินอะไรบ้าง ตื่นเช้ามาอะไรที่ว่าอร่อย ปาท่องโก๋ ครัวซองต์ ข้าวมันไก่ทอด อยากกินก็กิน กินทั้งวัน พอตอนสายๆ เวลาเราไปเรียนมหาวิทยาลัย เล่นบอลบ้าง เข้าเรียนบ้าง ออกมาปุ๊บก็กาแฟโบราณสมัยนั้น น้ำผลไม้ ไตรกลีเซอไรด์พุ่งทุกอย่าง ตอนนั้นโชคดีอย่างเดียวคือไม่ได้ตรวจเลือด เพราะอายุน้อยไง เพราะปกติคนเราตรวจเลือดส่วนใหญ่ก็ 30 กว่าใช่ไหมครับ แต่คราวนี้ตอนนั้นอายุแค่ 17 เอง มันก็ไม่ต้องตรวจ แล้วตอนนั้นดื่มแอลกอฮอล์ ด้วย

ก่อนจะมาถึงจุดนี้ก็คือสุดมาก่อน แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยน ?
หมอท๊อป : จริงๆ คือตอนเรียนหมอน้ำหนักก็ลดลงแล้ว เหลือประมาณซัก 75 น้ำหนักมันก็ลดลงไปเรื่อยๆ พอเราเรียนหมออย่างน้อยก็มีความรู้ทางการแพทย์บ้าง ถ้าเราไม่ดูแลตัวเองคงจะตายเร็วนะ ก็เริ่มลดลงมาทีละนิด แต่ว่าตอนนั้นก็ออกกำลังกายเยอะนะ ทั้งวิ่งทั้งดูแลตัวเอง 6 ปีที่เรียนหมอ น้ำหนักก็อยู่น้ำหนัก 75 76 77 แต่ตอนนั้นก็ยังกินเยอะอยู่ ตอนเรียนหมอไม่รู้จัก ตอนเรียนหมออายุ 18-23 ใช่ไหม ตอนนี้อายุ 46 ตอนนั้นไม่มีหรอก IF ไม่มีคีโต ถ้าจะลดน้ำหนักคือ อกไก่ ไข่ต้ม บร็อกโคลีต้ม ฟักทองต้ม แต่เรากินไม่ไหวไง ท้อแท้ ไม่เป็นไร กินไก่ชุบแป้งทอดดีกว่า แล้วก็ซัดทุกอย่าง แล้วยิ่งเวลาปาร์ตี้ไปแฮงเอาท์กับแกล้ม ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ แล้วต้องน้ำจิ้ม 3-4 น้ำจิ้ม ตอนเรียนแพทย์ยิ่งเครียดก็ยิ่งกินไง สอบก็กิน รู้สึกมีความสุข

ถ้าย้อนกลับไป มีอะไรอยากจะบอกตัวเองไหม ?
หมอท๊อป : ต้องบอกว่าถ้าย้อนกลับไปได้ ก็ควรทำตัวอย่างงี้มานานแล้ว มันจะ Easy มันจะง่ายกว่านี้ แต่ถ้าย้อนกลับไปไม่ได้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะว่ารู้สึกว่าเป็นตัวเองวันนั้นนั่นแหละมันทำให้เราเป็นวันนี้ เพราะเข้าใจว่าแม้เราจะพยายามทำสิ่งที่เรียนรู้มาตอนเรียนแพทย์เลยนะครับ อกไก่ ไข่ต้ม ออกกำลังกายเป็นประจำนู่นนี่นั่นเยอะแยะไปหมดมันก็ทำให้เราประสบความสำเร็จไม่ได้ เลยไปศึกษาหาความรู้จากต่างประเทศ คือที่สอนในคลิปทั้งหมดอันนี้พูดกันแบบตรงๆเลยนะไม่ได้มาจากการเรียนหมอ จากการเรียนหมอส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทานอาหารเกี่ยวกับเรื่องของคนไข้ทั่วไปก็เป็นความรู้ที่ดี เกี่ยวกับคนไข้ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับการที่เราอยากจะดูหุ่นดี สุขภาพดี อายุยืนยาว ต้องบอกงี้ว่าการเรียนหมอเป็นการสอนให้รักษาโรคของผู้ป่วย ผู้ป่วยเป็นโรคมาเรารักษา แต่การเรียนหมอไม่ใช่สอนให้คนอายุยืนขึ้นเรื่อยๆ นะ มันต่างกันครับ

มาถึงเรื่องการกินในปัจจุบัน ตอนนี้กินแบบใด ?
หมอท๊อป : ตอนนี้กินแบบ Low Carb Diet คือแป้งต่ำหน่อย แล้วก็ทำ IF แบบสบายๆ เขาเรียกว่า Flexible IF คือเป็น IF แบบยืดหยุ่นไม่ได้ซีเรียสมาก คือคราวนี้มันก็จะแยกกันไป คือบางคนเอาวิธีการกินกับ IF มารวมกัน ไม่เหมือนกันนะ วิธีการกินเขาเรียก What you eat คุณกินอะไร IF คือ When you eat คุณกินเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น 2 อย่างมันแยกกัน What you eat ก็จะมีวิธีเยอะเลย เช่น คีโต โลว์คาร์บ คาร์นิวอร์ พาลีโอ เยอะแยะมากมาย แต่ IF คือเวลา เพราะฉะนั้น IF ต้องทำไหมถ้าอยากสุขภาพดี IF ทำอยู่แล้ว แต่ส่วนจะกินอะไรอันนี้เลือกเอา เลือกตามสะดวก อย่างผมก็กินโลว์คาร์บ เพราะว่ามันแบบมันตรงกับสไตล์เรา รู้สึกว่าโปรตีนก็ได้ ไขมันก็เติมได้ไม่ต้องกินอกไก่แห้งกินสะโพกไก่ก็โอเค แต่ข้าวเราก็เป็นคนไม่ชอบกินข้าว ชอบกินกับ ก็โปรตีนเน้นๆ กินก็อร่อย แถมผอมแบบงงๆ แล้วอิ่มทุกมื้อ ต้องบอกว่ายิ่งกินอิ่มเท่าไหร่ยิ่งผอมเท่านั้น คนเข้าใจผิดเยอะมากว่าต้องอดอาหาร ต้องหิวถึงจะหุ่นดี นี่กินอิ่มแบบทุกมื้อ เมื่อเช้ากินไก่ต้มน้ำปลามาตัวหนึ่ง มีหนังด้วย กินปกติเลย ชิลๆ คิดง่ายๆ สมมุติว่าเรากินอาหารมื้อ เช่น กินสเต๊กสัก 3 ชิ้น หรือว่ากินไก่สักตัวหนึ่ง เราจะอิ่มนานไหม อิ่มนาน เพราะมันคือโปรตีนไง บางทีอิ่มไปถึงเย็น แต่ถ้าเรากินเค้ก 3 ชิ้น บางทีเราจะต้องต่อชานมไข่มุกเลยนะ แต่เค้ก 3 ชิ้นเนี่ย ร่างกายไม่ได้รับโปรตีนเลย คือต้องบอกงี้ร่างกายเราเวลาหิว หิวโปรตีนนะ ร่างกายต้องการโปรตีนไปเสริมสร้างกล้ามเนื้อ แต่ต้องการคาร์โบไฮเดรตและไขมันเพื่อให้เราแบบฟิน มีความสุข เพราะฉะนั้นให้สังเกตเวลาเรากินอกไก่ อิ่มแต่ไม่ฟิน แต่ถ้าเรากินสะโพกไก่อิ่มฟินด้วย เพราะมันมีทั้งโปรตีนแล้วก็มีทั้งไขมัน หรือบางครั้งพออกไก่ไม่ฟินเขาทำยังไงก็ใส่น้ำจิ้ม อันนี้แหละคือคีย์ที่พลาดกัน คนกินคลีนแล้วไม่ผอมสักที คือไม่คลีนน้ำจิ้ม เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญเราต้องเลือกให้เป็น แล้วต้องกินให้อิ่มทุกมื้อ เพราะการกินอิ่มทุกมื้อ เราจะไม่กินของว่างไง

ซึ่งในเรื่องของ IF มันก็มีโจทย์อยู่ตรงที่ว่าบางคนก็ทำได้ บางคนก็ Condition ร่างกายก็ทำไม่ได้

หมอท๊อป : จริงๆ IF มันแบ่งเป็น IF แบบที่เขาเรียกว่ากินในช่วงเวลา 24 ชม. นะครับ เป็น Restricted Time Eating กับมากกว่า 24 ชม. ก็คือเป็น Prolonged Fasting โดยพื้นฐานถ้าเป็นแบบ Restricted Time ก็คือ IF สัก 12/12 14/10 ถึง 16/8 โดยส่วนใหญ่ทำได้ทั้งนั้นครับ เพราะฉะนั้นถ้า IF 12/12 ก็คือ IF แบบเบื้องต้นก็คือกินในช่วงเวลาไม่ติดเลย จนถึง 16/8 ก็คือกิน 10:00 น. จบ 18:00 น. 16/8 นะครับ อย่างงี้ได้หมด คุณจะเป็นอะไรก็กินได้ไม่ซีเรียส แต่ถ้าเกิดโอเคว่าช่วงนั้นมีประจำเดือนหรือว่าเรารู้สึกว่าร่างกายยังไม่พร้อมเริ่มต้น ให้อยู่ที่ 12/12 หรือ 14/10 ก็คือกิน 8:00 น. จบ 20:00 น. หรือกิน 8:00 น. จบ 18:00 น. แค่นี้เอง ง่ายๆ แค่นี้เอง คือทำได้ทุกคนแล้วก็กิน 3 มื้อได้ แต่สูงสุดคือ 3 มื้อ คนสุขภาพดีกิน 3 มื้อ คนสุขภาพดีมากกิน 2 มื้อ คนอายุยืนกินมื้อเดียว ก็คือ OMAD One Meal A Day แต่ไม่จำเป็นต้องกินมื้อเดียวทุกวันนะ คือกระตุ้น Autophagy สัปดาห์หนึ่งกินมื้อเดียวซักวันหนึ่งก็ได้ เป็น Flexible อย่าไปซีเรียส ทำให้มันรู้สึกว่าก็วันนี้ไม่หิวก็กินมื้อเดียว สบายๆ คือเราทำพวกนี้เพื่อให้เรามีความสุข ถ้าเราทำ IF แล้วไม่มีความสุข ต้องพิจารณาใหม่แล้ว แต่ความสุขมันต้องตั้งบนพื้นฐานของความรู้ด้วย ไม่ใช่ความสุขว่าฉันชอบกิน Potato Chips ฉันชอบกินของหวาน ฉันมีความสุข อันนั้นก็มีความสุขวันนี้ อีกสักพักหนึ่งไปมีความสุขที่โรงพยาบาล

บางคนอาจกำลังหาทางในการลดน้ำหนัก ถ้าเราตัดในแง่ของความ Healthy ออกไป การลดน้ำหนักแบบคีโตจริงๆ แล้วบางคนก็จะรู้สึกว่ากินแล้วทำไมกลับไปโยโย่กว่าเดิม หรือการตัดคาร์บไปเลยอะไรแบบนี้ อยากให้คุณหมออธิบายว่ามันยังไง มันพลาดที่ตรงไหน ?
หมอท๊อป: คือจริงๆ คือคนส่วนใหญ่ที่พลาดก็มักจะเป็นคนที่คีโตแบบสุดโต่งด้วย คือเต็มเหนี่ยวเลย ฉันต้องกินไขมันเยอะๆ ต้องกินโปรตีนนิดหน่อย แล้วต้องไม่แตะแป้งเลย คือพวกนี้ไม่ได้ผิดนะครับ แต่ต้องเข้าใจว่าพอมันถึงจุดๆ หนึ่งร่างกายเรามันล้า เครียดจนเกินไป รู้สึกว่าอันนี้มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำแล้วรู้สึกแย่ รู้สึกผิด พอเราทำไปถึงจุดๆ หนึ่ง เราหมดพลัง พอมันหมดปุ๊บเหมือนเวลาเราท้อแท้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ก็จะกลับไปกินแบบบ้าคลั่งอันนี้ก็จะโยโย่ อันต่อมาคือ ที่กินคีโตบอกกินไขมันเยอะๆ กินไขมันก็จริงแต่กินไขมันผิดอีก เขาให้กินไขมันดี ให้กินอาโวคาโด กินถั่วเปลือกแข็ง กินปลาแซลมอน ให้กินไขมันจากสัตว์ที่มันดีต่อสุขภาพ ไม่ใช่หมูกรอบทอด มันเกิดจากการทอดในน้ำมันพืชร้อนๆ ถือว่าเป็น Ultra-Processed Food ผ่านการทอดแบบร้อนแรง อุณหภูมิสูง สิ่งที่เกิดขึ้นคือหน้าแก่ ไม่ได้ห้ามกินหมูกรอบนะครับ แต่กินหมูกรอบเช้า กลางวัน เย็น แล้วบอกอยากจะผอมอย่างงี้ไม่ใช้แล้ว ถ้าให้แนะนำ คีโตสามารถลดน้ำหนักได้ไวที่สุด ถ้าจะเอาไวนะ คีโตกับคาร์นิวอร์ 2 ตัว 1-3 เดือนมีลด 10-20 กก. ลดแน่ แต่ถามว่ามันเหมาะกับทุกคนไหม ต้องดูเป็นคนๆ จะทานคีโตจะทานคาร์นิวอร์ ศึกษาให้ดีก่อน ใจเย็นๆ อ่านให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้นจะกินก็ต้องไปเรียนให้รู้เรื่องก่อน

คนจะไม่ค่อยรู้ว่าจริงๆ แล้วการตัดคาร์บเป็นอะไรที่ตัดไปถึงจุดหนึ่งแล้วร่างกายก็จะไม่ลด ?
หมอท๊อป : คือหลักการมันเป็นอย่างงี้ ถามว่าจริงๆ ร่างกายเราสามารถสร้างคาร์บเองได้ โดยจากตับ กระบวนการ Gluconeogenesis แต่ตอนนั้นคือตับเราต้องดี ร่างกายเราต้องดีมาก เพราะฉะนั้นถ้าให้แนะนำสำหรับคนทั่วไปแล้วกันนะครับ ผมว่าถ้าเราอยากจะลดน้ำหนักแบบชิลๆ สบายๆ การทาน Low Carb นี่ถือว่าสบายๆ มากแล้ว ก็คือแป้งต่ำ ถ้าปกติเราทานข้าวใช่ไหม มื้อหนึ่งก็กินแค่ครึ่งถ้วย ทัพพีหนึ่ง 1 ส่วนพอ แล้วอย่างอื่นเราก็กินเลย เลยจะกินเนื้อสัตว์ กินผัก กินอะไรแค่นั้นเอง แต่ก็ต้องระวังพวกผักที่มีแป้งสูง พวกหัวเผือกหัวมัน ถ้าเรากินก็ต้องนับว่าอันนี้คือข้าวแค่นั้นเอง บางคนคือกินจริงแต่นั่งเฉยๆ ไถโซเชียล มันก็ไม่ผอมสักที สำคัญคือ เราต้องถามตัวเองว่าที่เรากินหิวหรือไม่มีอะไรทำ บางครั้งยิ่งอยู่ใกล้ๆ ตู้เย็น ก็เดินไปแล้วก็หยิบของในตู้เย็นมันก็มีแต่สิ่งที่แบบโอ้โห ตู้เย็นคุณมีอะไรชีวิตคุณก็เป็นอย่างงั้น หลักการมีแค่นี้คีย์สำคัญเลยนะ อยากหุ่นดีอยากสุขภาพดีตลอดชีวิต เปิดตู้เย็นดูก่อน ไปจัดตู้เย็น บ้านมีอะไรดึงลิ้นชักมามีแต่ขนม ผอมวันไหน หุ่นดีวันไหน

ตัวช่วยจากธรรมชาติสำหรับการลดน้ำหนัก ?
หมอท๊อป : ไม่ต้องมีตัวช่วยเลยให้ทำอย่างเดียว แค่ถ้าเกิดเลือกได้อย่างเดียวนะกินทุกอย่างเหมือนเดิมเลย ให้ทำแค่ได้อย่างเดียวคือลดน้ำหวานวันละ 1 แก้ว สมมุติกิน 3 แก้วก็ลดแค่แก้วเดียว แต่ถ้ากินแก้วเดียวก็ไม่กินเลย เพราะ 1 แก้วประมาณ 700 กิโลแคลอรี่ ชานมไข่มุก แต่ว่าคีย์สำคัญคือเปรียบเทียบให้ง่ายๆ ให้ดูแล้วกันว่าแก้วใหญ่ๆ แก้วหนึ่งจะหวานน้อยหวานมาก ก็เหมือนๆ กันไม่ต่างกัน เพราะแก้วหนึ่งประมาณ 500-700 กิโลแคล คูณไป 30 วัน 20,000 กิโลแคลอรี่ แค่เรางดน้ำหวานวันละ 1 แก้ว ลดได้ 20,000 กิโลแคลอรี่ ยังไม่ต้องทำอย่างอื่นเลย น้ำหนักลดอย่างน้อย 3 กก. แล้ว สิ่งที่คุณควรทำคืองดน้ำตาล อย่างอื่นกินเหมือนเดิม แต่น้ำตาลน้อยๆ หน่อย ไม่ใช่งดแบบขาดบ้าคลั่ง เสร็จแล้วออกไปเดินโดนแดดบ้างสัก 15 นาทีตอนเช้า เพื่อทำให้การโดนแดดตอนเช้า ร่างกายมันจะโดนกระตุ้นฮอร์โมนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเผาผลาญ ระบบกล้ามเนื้อ ทำให้เมลาโทนินหลั่ง สักตอน 20:00 น. ทำให้เราหลับดี พอเราหลับดีปุ๊บ ฮอร์โมนเกรลิน (Ghrelin) และเลปติน (Leptin) ฮอร์โมนอิ่ม ฮอร์โมนหิว มันจะไม่ออกมาวุ่นวายก็จะทำให้เราไม่หิว หุ่นดี ดูดี ชีวิตดี อ่อนเยาว์ก็เริ่มต้นที่ก้าวแรกเช่นกัน มันอยู่ที่เราจะก้าวไปทางไหน ถ้าอยากมีชีวิตดีก็ดีไซน์ชีวิตให้ดี

สามารถติดตาม " Glow On podcast with Grace " ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=qgaVB_9pySk
”ใหม่ ดาวิกา“ รู้สึกไม่ปลอดภัย เจอซาแซงตามบุกถึงหน้าบ้าน จนต้องขอให้ตร.ช่วย!
ทำเอานักแสดงสาว ใหม่ดาวิกา โฮร์เน่ ถึงกับผวาหนักหลังถูกบุคคลบางกลุ่มสะกดรอยตามไปในสถานที่ต่างๆ และก่อกวนถึงหน้าบ้าน รวมทั้งบุกไปถึงกองถ่าย ทำให้เจ้าตัวเครียด หวาดกลัวและรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งเมื่อวันที่ 4 ก.ย 68 “ใหม่”ได้โพสต์ข้อความผ่าน( X )เอ็กซ์ระบุไว้ว่า “ขณะนี้มีบุคคลท่านหนึ่งที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ขับรถตามใหม่ไปยังสถานที่ต่าง ๆ และมาจอดรถหน้าบ้าน รวมถึงก่อกวนในกองถ่ายที่เป็นพื้นที่ private ซึ่งใหม่มีหลักฐานทั้งทะเบียนรถและบัตรประชาชนของบุคคลดังกล่าว และได้ดำเนินการแจ้งความกับตำรวจเรียบร้อยแล้ว ขอให้หยุดการกระทำนี้โดย เด็ดขาดใหม่รู้สึกไม่ปลอดภัยในการถูกคุกคามครั้งนี้เป็นอย่างมาก (รถคันสีแดง) หยุดการกระทำเดี๋ยวนี้!!!!”

ตื่นเช้ามาต้องมาดิวกับเรื่องอะไรแบบนี้รำคาญจิตใจมากๆ เมื่อพี่เต๋อขับรถออกจากบ้านแล้วโทรกลับมาว่าเห็นรถโรคจิตจอดรออยู่หน้าบ้าน แทนที่จะเป็นวันดีดีกับกลายมาเป็นวันที่เราจะต้องเครียดหวาดกลัวรู้สึกไม่ปลอดภัยและโทรขอความช่วยเหลือจากตำรวจ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ เรารู้สึกว่าเค้าควรไปรักษาหรือไม่ก็อยู่กับครอบครัว ครอบครัวไม่ควรปล่อยให้เค้ามาทำอะไรแบบนี้เลย ถ้ายังมาปรากฏตัวอีกหรือมาจอดแถวบ้านคุกคามใหม่แบบนี้ใหม่จะดำเนินการให้ถึงที่สุด!!!

มีอยู่ครั้งนึงเราคุยกับแฟนคลับหลังงานอีเวนต์รวมพลกันอยู่มีความสุขมากๆ คุยกันสนุกเสียงหัวเราะดังมากแต่อยู่อยู่ทุกอย่างต้องจบลงเมื่อ บอดี้การ์ด เดินมาบอกว่าคนคนนั้นที่สะกดรอยตามเราตามมาที่งาน และกำลังยืนมองเราอยู่ !!!แฟนคลับเราบอกว่าพี่ใหม่รีบกลับบ้านเถอะอันตราย คือใหม่เสียใจมากๆที่ต้องแยกกับแฟนคลับเพราะเรา”
ต๋อย วิชัย นักร้องวงพิงค์แพนเตอร์ เตรียมเข้าพบ พงส.บก.ป.บ่ายสองโมง วันจันทร์ที่ 8 ก.ย.นี้ ชี้แจงกรณีปมเงินวัดฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีข่าวว่า อดีตนักร้องวงดังยุค 80 เกี่ยวข้องเกิดวัดพระบาทน้ำพุ ของอดีตหลวงพ่ออลงกตนั้น

เจ้าตัว พี่ต๋อย วิชัย ปุญญะยันต์ อายุ 75 ปี เตรียมเข้าพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม เพื่อชี้แจงถึงปมที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับทางวัดพระบาทน้ำพุ ได้นัดหมายจะเข้าไปชี้แจงในวันจันทร์ที่ 8 กันยายน เวลา 14.00 น. แล้ว

ทั้งนี้ ต๋อย วิชัย อดีตนักร้องชื่อดังยุค 80 วงพิงค์แพนเตอร์ ที่เคยสังกัดค่ายอีเอ็มไอ, ท็อปไลน์, นิธิทัศน์, แกรมมี่ เจ้าของผลงานเพลงดัง เช่น รักฉันนั้นเพื่อเธอ , รอยเท้าบนผืนทราย ได้โพสต์เฟซบุ๊กสวนตัว เมื่อวันก่อนว่า....

“ขอบคุณครับ....วงพิ้งค์เราจัดคอนเสิร์ตหาเงินช่วยวัดพระบาทน้ำพุเกือบทุกปี เพราะเห็นในความมีเจตนาดี มีคุณูปการของสังคมในการดูแลผู้ป่วยเอดส์และผู้ป่วยยากไร้ ในยุคที่สังคมยังไม่เปิดรับทางทัศนคติเท่าทุกวันนี้ ผมโอนเงินให้วัดปีละแสนมาเกือบสิบปี มาสองปีนี้เองทำบุญได้แค่ปีละ 50,000 น้อยหน่อยเพราะตรงกับวันเกิด เลยจัด 2 รอบ (แต่ได้เงินเท่าเดิม ก็วงมันดังเท่านี้ แถมยังแก่อีก) ขอขอบคุณผู้ที่กรุณาพาดพิงถึงวงเรา เพราะทำให้วงดังขึ้นมาอีกที แต่อย่าทำให้เราต้องฟ้องร้องได้นะครับ...

คือ ไม่รู้จริงว่า เรามีแต่ให้ และมีจิตใจที่ศรัทธาสิ่งที่ดี... จัดอีกสักรอบดีมั้ยครับ ท่านจะได้ช่วยโปรโมทเราให้ขายบัตรได้หมด...

"เราทุกคนมีกรรม มีวาระเป็นของตัวเอง รักษาใจตัวเองไว้ ความจริงก็คือ ความจริงครับ"
นอกจากนี้ยังได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อฯ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า.... “ผมไม่อยากเป็นจำเลยของสังคม…เพราะเราบริสุทธิ์ใจ” - ต๋อย วิชัย ปุญญะยันต์ หัวหน้าวงพิ้งค์แพนเตอร์ เปิดใจ เกี่ยวกับประเด็นที่โดนโยงว่ามีเอี่ยวกับเงินบริจาควัดพระบาทน้ำพุ

- เจ้าตัวเล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของวงพิ้งค์แพนเตอร์ และวัดพระบาทน้ำพุ บอกว่าทางวงเคยจัดคอนเสิร์ต แล้วก็นำไปบริจาคให้กับทางวัด

- หลังจากนั้น ทางวัดก็ว่าจ้างให้วงพิ้งค์แพนเตอร์ทำคอนเสิร์ตเนื่องในวันภาษาไทย แต่ละปีมีค่าจ้างอยู่ที่ 400,000 บาท ตนเองมีหน้าที่จัดหานักดนตรี และเป็นคอนดักเตอร์ สำหรับงานคอนเสิร์ต รับงานวัดมาประมาณ 5 ปี

- พอรับเงินค่าจ้างมา ก็โอนเงินให้กับฝ่ายอื่นๆ ส่วนที่เหลือมาถึงตัวเองก็โอนทำบุญให้วัด และได้รับใบอนุโมทนา บุญมา

- ยืนยันว่าไม่ได้รับเงิน 20 ล้านแบบที่ถูกกล่าวหา เล่นดนตรีมา 57 ปี สร้างชื่อเสียงมาขนาดนี้ มีอาชีพเดียวคืออาชีพนักดนตรี ไม่ได้มีอาชีพอื่น

- ที่ออกมาพูดวันนี้ เพราะไม่อยากเป็นจำเลขของสังคม เวลาจะทำมาหากินยังไม่พอเลย จะเอาเวลาที่ไหนไปขึ้นโรงขึ้นศาล

- ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกระทบจิตใจเป็นอย่างมาก มันมีใครก็ไม่รู้มาเรื่องเราว่า “ไอ้” แล้วไล่ให้ไปทำไร่ทำนา ผมบอกตรงๆ ผมไม่รู้จักคุณ มันกระทบจิตใจจนอยากจะออกมาชี้แจงในมุมของตัวเอง เพราะไม่อยากเป็นจำเลยของสังคม
"ก้อย รัชวิน" เปิดภาพคู่ “ตูน บอดี้สแลม” สมัยเป็นขอแฟนกันเมื่อ15ปีที่แล้ว
แม้ลูก 2 แล้วแต่ดีกรีความหวานไม่เคยลดลงเลยสำหรับคู่ของ “ก้อย รัชวิน” กับ ตูน บอดี้สแลม ที่ล่าสุดคุณแม่ลูกสองขอย้อนวันวานเปิดภาพหวานสมัยวันวานกับสามีในยุคที่ใช้โทรศัพท์ยี่ห้อ Blackberry บันทึกภาพความทรงจำ เมื่อ 15 ปีที่แล้ว ช่วงที่เพิ่งเริ่มคบหาดูใจกันใหม่ ๆ ถือเป็นโพสต์ฉลองโมเมนต์ที่ก้อยโดนขอเป็นแฟนครั้งแรก

โดย ก้อย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า "ขอบคุณพี่อุ๋ย ที่เจอรูปนี้ใน blackberry เครื่องเก่าแล้วส่งมาให้ สมัยยังเฟี้ยวเริ่มจีบกันใหม่ ๆ ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวาน (1 กันยายน) เป็นวันที่พี่ตูนขอก้อยเป็นแฟนเมื่อ 15 ปีที่แล้ว คือมี Anniversary หลายวาระ จนเกือบลืมจุดเริ่มต้นของภาพครอบครัวที่สวยงามในวันนี้ Happy Anniversary นะคะพ่อ ๆ รักมากที่สุดในโลกใบนี้"

Cr. ig : @rachwinwong
#ก้อยรัชวิน #ตูนbodyslam #สยามดารา
"ดวงดาว" ร่วมโพสต์อาลัยพี่ชาย "เล็ก ณรงค์" ผู้กำกับผู้ดังหลังเสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคประจำตัว
หลังจากวงการบันเทิงสูญเสียผู้กำกับชื่อดัง เล็ก-ณรงค์ จารุจินดา สามีของผู้จัดละคร กอบสุข จารุจินดา และเป็นพี่ชายของนักแสดงรุ่นใหญ่ ดวงดาว จารุจินดา เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว โดยมีการสวดพระอภิธรรมในวันที่ 3-9 กันยายน 2568 เวลา 18.30 น. และพิธีฌาปนกิจจะมีขึ้นในวันพุธที่ 10 กันยายน 2568 เวลา 17.00 น. ที่วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน

ล่าสุด 3 ก.ย 68 ดวงดาว จารุจินดา น้องสาวได้โพสต์อาลัยถึงพี่ชายจากหัวใจ "พี่ชายสุดที่รักเชฟมิชลินของน้องพี่ไม่ได้ไปไหนยังคงอยู่ในหัวใจของน้องสาวคนนี้ตลอดไปรักลุงเล็กที่สุดพี่ชายที่แสนดีของน้อง"

สยามดาราขอแสดงความเสียใจและร่วมอาลัยด้วยนะคะ
#สยามดารา #ดวงดาวจารุจินดา
ตอบแล้ว! เชอรีน กับ2ปีที่ทนทั้งทุกข์และสุข เปิดหัวใจรักใหม่ พร้อมมีคู่ชีวิตอีกครั้ง
กลายเป็นประเด็นที่หลายคนจับตามอง หลังอดีตนักร้องดัง "เชอรีน-ณัฐจารี หรเวชกุล" น้องสาวคนสวยของซุปตาร์กิมจิ "นิชคุณ หรเวชกุล" รีสตอรี่เจ็บจี๊ดร้องเพลง "แฟนใหม่หน้าคุ้น" ทันสถานการณ์ดัง อดีตสามีปรากฏเป็นคลิปร้อนกับเพื่อนในวงการคดีเมาแล้วขับ งานนี้หลายคนเลยพุ่งเป้าจับตามองที่เธอเป็นพิเศษ ล่าสุดเปิดใจหมดเปลือกผ่านรายการดัง "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" เล่าถึงเรื่องราวความรักที่ต้องเผชิญมาตลอด พร้อมแง้มสเตตัสหัวใจครั้งใหม่ที่พร้อมเปิดใจแบบสุด

ถามถึงเรื่องคลิปไวรัลที่หลายคนพูดถึง ร้องเพลง แฟนใหม่หน้าคุ้น ทันกับเหตุการณ์ที่เป็นข่าวพอดี?
"คือคลิปที่ถ่ายคือเป็นเรื่องราวของเพื่อนค่ะ ที่เขาเพิ่งเจอมา แล้วเราก็รู้เรื่องราวของเพื่อน ก็เลยร้องเพลงนั้นด้วยความอินด้วยกัน แล้วเพื่อนมาลงช่วงนั้นพอดี ก็เลยเป็นประเด็นขึ้นมา เราก็รีสตอรี่ปกติไม่คิดว่าจะเป็น ประเด็น"

ได้อ่านคอมเมนต์มั้ย หลายคนก็อินกับเพลงที่เราร้อง?
"ปกติไม่ค่อยได้อ่านค่ะ คือก็มีคนมาคอมเมนต์ในช่องทางของหนูเนอะ เราก็เลื่อนผ่านๆเพราะไม่ชอบเสพคอมเมนต์อะไรแบบนี้อยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่ากระแสมันเป็นยังไงเพราะปกติไม่ค่อยตามข่าวตัวเอง เท่าไร"

ที่ผ่านมาเจอเรื่องหนักในชีวิตมาเยอะมาก?
"เป็นเรื่องที่คิดหนักมากกว่าค่ะ ในเรื่องของที่ว่าถ้าเราจะเดินออกมาจากความสัมพันธ์ตรงนั้น คือถ้าเป็นตัวเราเองคนเดียวเราก็จะไม่คิดอะไรหรอกอยากเดินก็เดินออกมาเลย พอเรามีน้องเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปต่อยังไง ตอนที่เริ่มเรื่องครั้งแรกตอนที่โดนครั้งแรก น้องเพิ่งจะได้ประมาณ6เดือนเอง ซึ่งเด็กมากยังแบเบาะอยู่เลย เราเพิ่งเริ่มต้นชีวิตคู่ เลยคิดว่าลองคุยลองเปลี่ยนลองค่อยคุยกันก่อนดีมั้ย ลองพยายามดูก่อนดีมั้ย ก็ลองอดทนดูซักพักนึงสุดท้ายก็ออกมา ดีกว่า"

ตอนนั้นทุกคนในบ้านว่ายังไงบ้าง กับสิ่งที่เรารับมือ?
"ทุกคนก็เป็นห่วง และถามไถ่ว่าสบายดีมั้ย แต่ทุกคนจะรู้ว่าถ้าไม่อยากเล่า ไม่อยากได้ความช่วยเหลือ หนูจะเงียบและไม่พูดถึงเรื่องนั้นเลย เพราะหนูรู้สึกว่าหนูขอจัดการเรื่องของหนูเอง คือมันไม่ใช่ปัญหาของเขาที่ต้องมาร่วมจัดการกับเรา เราต้องจัดการของเราเอง ถ้าอยากได้กำลังใจ หรืออยากได้ความช่วยเหลือจริงๆเราถึงจะเอ่ยปากขอ แต่ทุกคนจะถามตลอดว่าเป็นยังไงบ้าง ทุกคนก็เป็นห่วงแต่ว่าจะไม่ทำเยอะ"

แค่คำว่า "โอเคมั้ย" เราก็รู้สึกยังไง?
"เราก็รู้สึกโอเคค่ะ เป็นฟิลที่แบบว่าทุกคนมาให้กำลังใจเราและพูดคุยด้วย ก็มีฟิลแบบพี่ๆมาร่วมพูดคุยที่ห้องเรา โทรมาถามเราว่าเป็นไงบ้างโอเคมั้ย และสเต๊ปต่อไป คิดว่าจะเป็นยังไง หนูก็บอกทุกคนว่าโอเค แค่เดินออกมาจากตรงนั้นมันก็โอเคแล้ว คือโมเมนต์ที่เราเสียใจ เราทุกข์ใจ พอเราเดินออกมาแล้ว เราทิ้งทุกอย่าง เราตัดทุกอย่าง เราออกมาแล้วเราโอเคแล้ว"

ใช้เวลานานมั้ยในการตัดสินใจจะทิ้งทุกอย่าง แล้วเริ่มชีวิตใหม่?
"ใช้เวลาอยู่ 2 ปีค่ะ ตั้งแต่ครั้งแรกถึงครั้งสุดท้าย เป็นระยะเวลา2ปี"

ในช่วง2ปีนั้นที่อดทน ต้องเจอกับอะไรบ้าง?
"แล้วแต่ช่วงค่ะ ช่วงที่มีความสุขก็มี ช่วงที่แฮปปี้ก็มี ไม่ได้ทุกข์ตลอดเวลา ไม่ได้มีด้านร้ายตลอดเวลา ในเมื่อเราเลือกที่จะอยู่ในความสัมพันธ์นี้ เราก็ต้องมองในเรื่องของแง่มุมที่มีความสุข แง่มุมที่โอเคที่เรายังพออยู่ได้ เพราะเรารู้ว่าเราอยู่เพื่ออะไรและเพราะใคร" เคยคิดมั้ยว่าจะมีภาพเราในพาร์ทของการเป็นคุณแม่? "จริงๆไม่เคยคิดเลยค่ะ เป็นคนตั้งใจว่าจะไม่มีลูกตั้งแต่เด็กๆ ไม่อยากมีลูกเพราะว่าเรารู้สึกว่ามันไม่มีความรับผิดชอบเยอะมาก ซึ่งมันเยอะจริงๆนะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ออกมาดีหรือเปล่า อีกอย่างคือสังคมและโลกสมัยนี้ค่อนข้างน่ากลัว เหมือนถ้าเรามีลูกเราต้องมานั่งกังวลเวลาลูกไปโรงเรียน โลกกำลังวิกฤตมากขึ้นภาวะโลกร้อนมากขึ้น มันน่าเป็นห่วง"

แต่พอมาเป็นคุณแม่จริงๆแล้วความรู้สึกเป็นยังไง?
"ก็แฮปปี้มากค่ะ แต่ก็ยังเป็นห่วงเหมือนเดิมค่ะ (หัวเราะ) ก็พยายามเลี้ยงเขาให้เผชิญกับโลกนี้ได้"

ในเรื่องความรัก เรามองความรักครั้งใหม่ไว้ยังไงบ้าง?
"ก็ยังมองความรักเหมือนเดิม รักก็คือรัก ก็ถ้าเรามีความสุขก็คือรัก ไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง เพราะว่าก็อยากมีแฟนค่ะ อยากมีคู่ชีวิต"

ไม่กลัวความรักที่จะไปซ้ำรอยเดิมหรอ?
"ไม่ค่ะ จะซ้ำเดิมหรือไม่ซ้ำเดิม มันอยู่ที่เราเลือก ว่าเราจะให้มันจบแบบเดิม หรือจะเลือกให้ได้เจอคนแบบเดิมมั้ย เราก็ต้องมองอะไรที่มันกว้างขึ้น มันอยู่ที่เราโตขึ้นหรือผ่านประสบการณ์มากขึ้น เราจะคัดคนที่เข้ามายังไง เราต้องดูคนแบบไหน"

ตอนนี้ได้คัดคนใหม่ที่เข้ามาหรือยัง?
"(หัวเราะ) ก็มีคัดค่ะ คัดไว้แล้วค่ะ "

ได้เรียนรู้อะไรจากที่ผ่านมากับการเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว?
"มันทำให้รู้ถึงเรื่องการรักตัวเอง การเคารพตัวเอง แล้วก็ฟังเสียง ฟังความรู้สึกตัวเอง เพราะว่าถ้าเราไม่รักตัวเอง รักตัวเอง เราจะมาคาดหวังให้คนอื่นเคารพเรามันก็คงไม่ได้ คนอื่นเขาจะทำอะไรกับเราก็ได้ เพราะว่าเราก็ยอมให้เขาทำด้วย ถ้าเรารู้สึกว่าไม่โอเคกับเราเราก็ควรที่จะลุกขึ้นมาพูด ปกป้องตัวเอง เราจะได้ไม่ต้องเจอสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ"
คืบหน้าคดี ผู้ประกวด MUT แจ้งความกองปราบฯ ถูกโกงเงินรางวัล-สิทธิประโยชน์ คาดมูลค่าเสียหายกว่า 10 ล้าน
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 จากกรณีที่ อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พร้อมด้วย นายเก่ง สุเชษฐ์ ผู้ช่วยประธานฯ พาผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand (MUT) ระดับจังหวัดหลายราย ทั้งจากจังหวัดอุทัยธานี แพร่ และบุรีรัมย์ 5 ราย เข้าพบพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงและหลอกลวง โดยอ้างว่าถูกกองประกวดระดับจังหวัดฉ้อโกงเงินรางวัลและสิทธิประโยชน์ตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 10 ล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้เสียหายรายอื่น ๆ ทยอยเข้าแจ้งความเพิ่มเติมอีกในแต่ละ ภาค

ผู้เข้าประกวดที่เข้าพบ พงส.กก.1 บก.ป. ได้แก่ น.ส.ปลายฟ้า ไขทุมมา MUT อุทัยธานี, น.ส.ยลรดา วัจนะ รองอันดับ 1 MUT อุทัยธานี, น.ส.ณัฐนันท์ คันธมาลย์ รองอันดับ 2 MUT อุทัยธานี, น.ส.เอลินญาน์ รองอันดับ 2 MUT แพร่ และ น.ส.ณัฐมน ศิลาอาศน์ รองอันดับ 3 MUT แพร่

*เหยื่อถูกข่มขู่ในห้องพักโรงแรม ขู่ปล่อยคลิป หากไม่ยอมทำตาม

ในส่วนของผู้เสียหาย 2 รายแรกที่ได้ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนนานกว่า 4 ชั่วโมง คือ น.ส.ยลรดา วัจนะ และ น.ส.ปลายฟ้า ไขทุมมา ได้แจ้งความเพิ่มเติมในข้อหา "ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด" โดยกล่าวหาว่าถูก น.ส.มาดี หรือ "มี้กิ๊ฟ" กับพวกอีก 5 คน กระทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมระหว่างการเก็บตัวที่โรงแรม Palette The Travellers Hotel Bangkok เมื่อวันที่ 25-26 มิถุนายน 2568 ระหว่างเวลา 21.00-01.00 น. ที่ผ่านมา

ผู้เสียหายระบุว่าถูกบังคับให้เข้าไปสัมภาษณ์ในห้องพัก(เรียกว่าห้องมืด)ซึ่งเป็นห้องนอนของโรงแรมทีละคน ภายในห้องดังกล่าวมีผู้ต้องสงสัยอยู่ด้วย 5 คน โดยผู้เสียหายรู้สึกไม่ปลอดภัยและถูกคุกคาม พร้อมทั้งถูกบังคับให้ตอบคำถามและพูดตามสคริปต์ที่กำหนดไว้ เพื่อแลกกับการไม่ถูกเผยแพร่คลิปวิดีโอที่บันทึกไว้ในระหว่างการสัมภาษณ์ รวมถึงเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียค่าปรับตามที่ ข่มขู่

เบื้องต้น พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ได้รับเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าวไว้เพื่อดำเนินการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานก่อนออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนมารับทราบข้อหาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ทางกองประกวด Miss Universe Thailand (MUT) ได้ประกาศยกเลิกสัญญาการจัดการประกวด Miss Universe แพร่, อุทัยธานี และบุรีรัมย์ 2025 กับบริษัท เอเชีย มีเดียส์ จำกัด ผู้จัดการประกวดใน 3 จังหวัดดังกล่าวแล้ว เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรฐานที่กำหนดไว้ได้

ประเด็นที่บรรดาผู้เข้าประกวดที่มาแจ้งความกองปราบปรามเห็นว่าไม่เหมาะสมและเป็นการคุกคาม เช่น

การบังคับทำสื่อโฆษณาเกินจริง: ผู้จัดงานบังคับให้ผู้เข้าประกวดทุกคนถ่ายคลิปโฆษณาสินค้าสปอนเซอร์ โดยมีสคริปต์ที่เขียนเนื้อหาเกินจริงมาให้ หากผู้เข้าประกวดทำผิดพลาดหรือส่งช้า จะถูกต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรงต่อหน้า ผู้อื่น

การดูหมิ่นและแบ่งแยกผู้เข้าประกวด: ผู้จัดงานเคยสั่งห้ามผู้เข้าประกวดบางคนมานั่งใกล้ พร้อมกล่าวว่า “เด็กคนนี้ไม่น่ารัก”

การกระทำดังกล่าวสร้างบรรยากาศกดดันและทำให้ผู้เข้าประกวดบางคนรู้สึกด้อยค่า
การไม่ให้รางวัลตามเงื่อนไข: ผู้เข้าประกวดที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขเรื่องการหาสปอนเซอร์ครบตามที่กำหนด กลับไม่ได้รับรางวัลตามที่แจ้งไว้ อยู่ดี

การข่มขู่และกดดันในกระบวนการประกวด: มีการห้ามไม่ให้ผู้เข้าประกวดเลือกชุดจนกว่าคนอื่นจะเลือกเสร็จ และมีการใช้ถ้อยคำกดดัน เช่น “มึงไปแต่งหน้าไป” การกระทำดังกล่าวสร้างความหวาดกลัวและความกดดันทางจิตใจแก่ผู้เข้าประกวด

การกล่าวหาที่ไม่เหมาะสมต่อผู้เข้าประกวดที่ป่วย: ในวันแรก มีผู้เข้าประกวดคนหนึ่งเกิดอาเจียนเพราะตื่นเต้นและไม่ได้รับประทานอาหาร ผู้จัดงานกลับกล่าวหาว่า “น้องท้อง” และถามต่อหน้าผู้เข้าประกวดคนอื่น ๆ ว่า “จะปลดออกดีไหม”
“เบสท์” ค้าน “เอ๋ พลอยรัชษ์” ขอเป็นผู้ร่วมจัดการมรดก “เอ๋ ไพโรจน์” ศาลนัดไต่สวน 29 ต.ค.
สมุทรปราการ - ที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ วันที่ 1 ก.ย.68 นางสาวปณิชา สังวริบุตร หรือ “เบสท์” บุตรสาวของอดีตนักแสดงผู้ล่วงลับ ไพโรจน์ สังวริบุตร หรือ “เอ๋ ไพโรจน์” เข้าไต่สวนคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก หลังมีข้อพิพาทกับ นางพลอยรัชษ์ ชินรัตน์วาณิช หรือ “เอ๋ พลอยรัชษ์” อดีตภรรยาคนล่าสุดของบิดา

การไต่สวนครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ เบสท์ ยื่นเอกสารขอเป็นผู้จัดการมรดก และถูก เอ๋ พลอยรัชษ์ ยื่นเรื่องคัดค้าน โดยอ้างสิทธิ์ในทรัพย์สินบางส่วน โดยเฉพาะบ้านที่สมุทรปราการ ซึ่งอดีตภรรยาอ้างว่า เป็นทรัพย์สินที่สร้างร่วมกัน

ภายหลังการไต่สวนนานกว่า 2 ชั่วโมง เบสท์ ปณิชา ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ยังไม่ได้พูดคุยกับฝั่งคู่กรณีเป็นการส่วนตัว และยืนยันว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่น่าจะเป็นข้อพิพาทขึ้นมาได้ เนื่องจากอีกฝ่ายยังคงสามารถเข้าออกบ้านได้ตามปกติ เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงหลักฐานที่ เอ๋ พลอยรัชษ์ นำมาแสดงเพื่ออ้างว่าได้ทำธุรกิจร่วมกับคุณพ่อ เบสท์กล่าวว่า "จริงๆ ไม่มีอะไร" พร้อมทั้งยืนยันว่ายินดีจะยกทรัพย์สินส่วนที่อีกฝ่ายอ้างว่าได้ร่วมกัน หามาให้

เบสท์ยังคงคัดค้านการที่ เอ๋ พลอยรัชษ์ จะเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกร่วม โดยให้เหตุผลหลัก 2 ประการ ได้แก่ หนึ่ง ไม่มีเอกสารการจดทะเบียนสมรสที่ถูกต้อง และ สอง มีหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอสัมภาษณ์ของ เอ๋ ไพโรจน์ ที่เคยให้สัมภาษณ์สื่อว่าได้เลิกรากันไปแล้ว ทั้งนี้ ศาลจังหวัดสมุทรปราการได้นัดไต่สวนทั้งสองฝ่ายอีกครั้งในวันที่ 29 ตุลาคม 2568

ไทม์ไลน์ความขัดแย้ง
. ความขัดแย้งเรื่องทรัพย์สินมรดกเริ่มขึ้นภายหลังการเสียชีวิตของ เอ๋ ไพโรจน์ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2568 โดยเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 นางพลอยรัชษ์ ชินรัตน์วาณิช ได้เดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อขอความเป็นธรรม พร้อมกับนายอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ โดยกล่าวว่าถูกบุตรสาวของสามีกีดกันไม่ให้เข้าบ้าน และยังติดใจในสาเหตุการเสีย ชีวิต

นางพลอยรัชษ์อ้างว่า หลังจากสามีเสียชีวิตได้เพียง 15 วัน เบสท์ได้ส่งข้อความมาแจ้งว่าบ้านได้ถูกโอนไปให้ผู้อื่นแล้ว และเมื่อกลับมาก็พบว่าลูกบิดประตูถูกเปลี่ยน ทำให้เธอไม่สามารถเข้าบ้านได้ นอกจากนี้ยังสงสัยว่าทรัพย์สินมีค่าหลายรายการ ทั้งพระเครื่อง, ฮาร์ดดิสก์, คอมพิวเตอร์ และแหวนของสามีได้สูญหาย ไป

ทางด้าน เบสท์ ปณิชา ได้ออกมาชี้แจงโต้แย้งว่า นางพลอยรัชษ์ไม่ได้เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และได้นำรถยนต์ของคุณพ่อไปใช้แล้วไม่คืน ส่วนการเปลี่ยนลูกบิดประตูนั้นทำไปเพื่อป้องกันของหาย แต่ยืนยันว่าอีกฝ่ายยังคงเข้าออกบ้านได้ และเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวยังอยู่ครบ พร้อมทั้งย้ำว่า เอ๋ ไพโรจน์ เคยให้สัมภาษณ์ว่าเลิกรากับอีกฝ่ายไปแล้ว เบสท์ยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้เธอกำลังรอคำสั่งศาลเพื่อให้ตนเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย

#เอ๋ไพโรจน์ #สยามดารา
ชมรมตามรอยเจ้าตากยื่นหลักฐานเพิ่มเติมคดี ช่องส่องผี
วันที่ 2 ก.ย.68 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กทม.นายสุชาติ กนกรัตน์มณี “ประธานชมรมตามรอยเจ้าตาก” พร้อมด้วยสมาชิกชมรมฯ ได้เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีรายการ ช่องส่องผี พร้อมยื่นเอกสารและหลักฐานเพิ่มเติมในคดีที่เกี่ยวข้องกับกรณีการกล่าวอ้างที่ทำให้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสื่อมพระเกียรติ

นายสุชาติ กล่าวว่า ชมรมฯ ได้ติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2563 เนื่องจากทีมงานรายการ ช่องส่องผี ได้นำเสนอเนื้อหาที่พาดพิงถึง“สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”ในลักษณะที่ไม่เหมาะสมและไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์รองรับ ซึ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับประชาชนผู้เคารพศรัทธาในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ชมรมฯ จึงได้ยื่นข้อเรียกร้องให้ทางรายการ 1.เดินทางไปขอขมาต่อหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ณ วงเวียนใหญ่ 2.ลบคลิปวิดีโอรายการที่เกี่ยวข้องกับพระองค์ออกทั้งหมด 3.ยุติการกล่าวอ้างว่าสามารถสื่อสารกับดวงพระวิญญาณของพระองค์ได้ โดยตรง

นายสุชาติ กล่าวต่อ อย่างไรก็ตาม ทางรายการไม่ได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว ชมรมฯ จึงได้ยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พิจารณา แม้ ดีเอสไอจะทำการสอบสวนและพบว่าคดีมีมูล แต่เนื่องจากเงื่อนไขทางกฎหมายไม่เข้าข่ายคดีพิเศษ จึงได้โอนสำนวนคดีมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และปัจจุบันอยู่ในความรับผิดชอบของกองบังคับการปราบปราม

นายสุชาติ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่ทราบข่าวว่าสมาชิกของรายการ ช่องส่องผี ได้กล่าวว่า“ตนเองพ้นจากคดีความทั้งหมดแล้ว” โดยอาจหมายถึงการสิ้นสุดการพิจารณาคดีจาก ดีเอสไอ ซึ่งเป็นข้อมูลที่อาจทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด เพราะการโอนคดีจาก ดีเอสไอ ไม่ได้หมายความว่าคดีสิ้นสุดลง แต่เป็นการเปลี่ยนหน่วยงานที่รับผิดชอบการดำเนินคดีเท่านั้น การดำเนินการทางกฎหมายยังคงดำเนินต่อไป ชมรมตามรอยเจ้าตากจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว และยืนยันว่าจะติดตามคดีนี้อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม

ผู้สื่อข่าวรายการเพิ่มเติมว่านายสุชาติได้นำข้อมูลหลักฐานมามอบให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานพิจารณาดำเนินการตามกฏหมายกับผู้ดำเนินรายการช่องส่องผีทั้ง 3 ราย ด้วย
อยุธยาจัดยิ่งใหญ่อลังการ..รอบไฟนอลเวทีประกวด “ MISTER AYUTTHAYA 2025 ” “พีพี - พีระพันธ์ คำแล่น” คว้าตำแหน่งชนะเลิศอันดับ 1 ไปครอง!!
จัดเต็มความยิ่งใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในรอบตัดสินเวทีการประกวด MISTER AYUTTHAYA 2025 เวทีที่เฟ้นชายหนุ่มบุคลิกดี เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถ ความมั่นใจและการเป็นผู้นำ พร้อมเป็นตัวแทนส่งเสริมการท่องเที่ยวจากเมืองมรดกโลก สู่หัวเมือง 16 อำเภอที่สำคัญ และจะมีเพียง 1 เดียวเท่านั้น ที่จะเป็นผู้กล้าคนแรกแห่งกรุงศรีอยุธยา โดยงานครั้งนี้จัดขึ้น ณ The Hall Ayutthaya City Park จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา ..

บรรยากาศในค่ำคืนแห่งความยิ่งใหญ่ที่ทุกสายตาจับจ้อง ประเดิมเปิดเวทีครั้งนี้ด้วยโชว์รำอยุธยา เปิดตัวผู้ผ่านเข้ารอบทั้ง 20 คนในการประกวดรอบชุดไทย เรียกเสียงปรบมือต้อนรับอย่างเกรียวกราว จากนั้น คิม ธิติสรรค์ ขึ้นเวทีรับหน้าพิธีกรกล่าวต้อนรับบรรดาแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมให้กำลังใจบรรดาผู้เข้าประกวดในวันนี้ พร้อมกับกล่าวแนะนำคณะกรรมการผู้ทรงเกียรติจากหลากหลายวงการ ได้แก่ คุณพรฟ้า-ปุณิกา กุลสุนทรรัตน์ รองอันดับ 2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2020 , คุณต้อ-มารุต สาโรวาท ผู้กำกับการแสดงมือทองแห่งวงการบันเทิงไทย, คุณไก่-วรายุทธ มิลินทจินดา ผู้จัดละคร, คุณไนท์-ปิยะพงษ์ คำมีสว่าง Mister Supranational Thailand 2025, คุณหนุ่ม-ประเสริฐ เจิมจุติธรรม กูรูนางงาม, คุณธ๊อป-ณฐนน ณรธัญวิรุณ Mister Supranational Thailand 2023, ดร.สมพล รัชตพิมลชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการตลาด ศูนย์การค้า Ayutthaya City Park และคุณตี๋-ธเนศ ลักษณะวิลาส ผู้เชียวชาญด้านการประกวดนางงามและผู้ร่วมก่อตั้ง T-Pageant

ไม่รอช้าถึงเวลาแห่งความฮอตร้อนแรงที่สุดบนเวทีกับความมั่นใจของหนุ่มๆ ในรอบชุดว่ายน้ำ เรียกเสียงกรี๊ดฮือฮากันลั่นฮอลล์ จากนั้นก็เวลาที่ทุกท่านได้ตะลึงกับความสง่างามและบุคลิกอันโดดเด่นของผู้เข้าประกวดกับการปรากฏตัวในชุดทักซิโด้สุดเนี้ยบของทั้ง 20 คน เรียกว่าทำเอากรรมการแทบปาดเหงื่อเพราะแต่ละคนออร่าพุ่งกับแบบสุดๆ แล้วก็มาถึงช่วงประกาศผลรางวัลพิเศษ เพื่อเป็นกำลังใจให้หนุ่มหล่อพร้อมประกาศผลผู้ผ่านเข้ารอบ 10 คนสุดท้าย ซึ่งแต่ละคนจะได้จับไมค์แสดงวิสัยทัศน์ ความคิด ความมั่นใจและเสน่ห์เฉพาะตัวในการตอบคำถามเดียวกัน

เพื่อให้กรรมการคัดเลือกผู้ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้าย แต่ก่อนที่จะถึงช่วงเวลาอันสำคัญ ขอเปลี่ยนบรรยากาศให้ทุกคนได้ดื่มด่ำฟังบทเพลงอันไพเราะจากศิลปิน อาร์ม-กรกันต์ สุทธิโกเศศ ก่อนที่จะถึงเวลาที่ทั้ง 5 คนสุดท้าย ขึ้นเวทีปล่อยหมัดเด็ด พกความมั่นใจมาตอบคำถามวัดกันด้วยปฏิภาณ ไหวพริบ เพื่อพิสูจน์ว่าใครคือคนที่พร้อมกับตำแหน่งชนะเลิศในค่ำคืนนี้ แล้วก็มาถึงวินาทีสำคัญที่ทุกคนรอคอย

ผู้ที่ได้ครองตำแหน่ง MISTER AYUTTHAYA 2025 คนแรกของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ MAY.04 พีพี - พีระพันธ์ คำแล่น ขณะที่รองอันดับ 1 ได้แก่ MAY.13 มาตา – มาตาฮารี ลดากรเวทย์ รองอันดับ 2 ได้แก่ MAY.09 จอห์น กฤตยศ กาญจนดุล รองอันดับ 3 ได้แก่ MAY.19 ตานุ อนุชา สีพลเรือน รองอันดับ 4 ได้แก่ MAY.15 กีต้าร์ จตุพร พีรแสน ติดตามภาพบรรยากาศรอบตัดสินการประกวด Mister Ayutthaya 2025 ได้ทาง Facebook : Mister Ayutthaya

#MisterAyutthaya #misterayutthaya2025 #Ayutthaya #MIThailand #MisterInternationalThailand #องค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand (MUT)ลิขสิทธิ์ระดับจังหวัด 3 จังหวัด รวมตัวแจ้งความกองปราบ ฯ ถูกหลอกลวงเงินรางวัลและผลประโยชน์อื่น ๆ มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 10 ล้านบาท
กลุ่มผู้ประกวดนางงาม เผยโดนกลุ่มผู้จัดการประกวดหลากหลายทางเพศเรียกเข้าห้องดำ อัดคลิปลักษณะละเมิดความเป็นส่วนตัว ยิงคำถามลวงประวัติแบล็คกราวด์ บันทึกคลิปกดดันโดนบันทึกคลิปไม่เหมาะสม

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 ก.ย.68 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม และนายเก่ง สุเชษฐ์ ผู้ช่วยประธานฯ พาบรรดาผู้เข้าประกวดและได้รับรางวัลจากเวทีประกวด Miss Universe Thailand ลิขสิทธิ์ระดับจังหวัด 3 จังหวัด ได้แก่ แพร่ อุทัยธานี และบุรีรัมย์ จำนวน 5 ราย

Miss Universe Thailand ลิขสิทธิ์ระดับจังหวัด 3 จังหวัด ได้แก่ แพร่ อุทัยธานี และบุรีรัมย์ จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย น.ส.ปลายฟ้า อายุ 25 ปี ผู้ชนะเลิศมิสยูนิเวิร์สอุทัยธานี 2.น.ส.ยลรดา รองชนะเลิศอันดับ 1 อุทัยธานี 3.น.ส.ณัฐนันท์ คันธมาลย์ ตำแหน่งรองอันดับสอง 4.น.ส. เอลินญาน์ รองอันดับ 2 MUT แพร่ 5.น.ส.ณัฐมน ศิลาอาศน์ รองอันดับ 3 แพร่ เดินทางเข้าพบ พงส. กก.2 บก.ป. แจ้งความกรณีถูกกองประกวดฉ้อโกงและหลอกลวงเงินรางวัลรวมถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กล่าวอ้างในสัญญา มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 10 ล้านบาท และคาดว่าจะมีผู้เสียหายเพิ่มขึ้นอีกในแต่ละภาค

บรรดาผู้เสียหาย ช่วยกันเปิดเผยว่า นอกจากจะไม่ได้เงินรางวัลตามที่ตกลงแล้ว ยังถูกกองประกวดบิดพลิ้วสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เช่น การศัลยกรรมความงามที่ประเทศเกาหลี นอกจากนี้ ยังมีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลด้วยการบังคับให้ถ่ายคลิปที่ไม่เหมาะสม เพื่อแลกกับการยกเลิกข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม รวมถึงการโฆษณาเกินจริง และแก้ไขสัญญาโดยไม่แจ้งให้ทราบ นอกจากนี้พบว่าไม่มีความโปร่งใสในการทำสัญญา โดยไม่ได้รับสัญญาฉบับคู่ และถูกร้องขอให้ช่วยจ่ายเงินค่าสปอนเซอร์และค่ามงกุฎ ทั้งยังมีการนำบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเข้ามาแทรกแซงการประกวด โดยอ้างว่าจะดันเข้าสู่วงการบันเทิง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีงานใด ๆ เกิดขึ้นจริง ในระหว่างการประกวด มีการกล่าวอ้างถึง "นายตำรวจ" ที่มีตำแหน่งเป็นผู้กำกับ โดยอ้างว่าทำงานกับบุคคลระดับสูง ซึ่งผู้เสียหายเชื่อว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการข่มขู่และพฤติกรรมไม่ชอบมาพากลต่าง ๆ ทำให้รู้สึกหวาดกลัวและไม่ได้รับความเป็นธรรมตลอดกระบวนการจัดประกวด ด้วยเหตุนี้ เหล่านางงามจึงรวมตัวกันเข้าร้องเรียนต่อชมรมสันติประชาธรรม เพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด ขยายผลถึงขบวนการที่เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของสุภาพสตรีที่ถูกกระทำโดยไม่เป็นธรรม

อี้แทนคุณ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าวของกองประกวดในส่วนจังหวัดนี้ อาจเข้าข่ายกระทำความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง การหลอกลวงผู้เข้าประกวดด้วยการอ้างว่าจะได้รับเงินรางวัล สิทธิประโยชน์ต่างๆ รวมถึงการศัลยกรรมความงามที่เกาหลี แต่กลับไม่เป็นไปตามสัญญา ทำให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียเงินค่าสปอนเซอร์ ค่ามงกุฎ และเงินอื่นๆ เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ , ความผิดตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 การโฆษณาเกินจริงหรือโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จ รวมถึงการแก้ไขสัญญาโดยไม่แจ้งให้ทราบ ถือเป็นการกระทำที่เอาเปรียบผู้บริโภคหรือผู้เข้าประกวด ซึ่งอาจเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 47 และ 48 , ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ พฤติกรรมการข่มขู่ต่างๆ นานา ที่ทำให้นางงามรู้สึกหวาดกลัว เพื่อบังคับให้ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น ถ่ายคลิปที่ไม่เหมาะสม เพื่อแลกกับการยกเลิกข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม หรือเพื่อบังคับให้ทำตามที่ต้องการ อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 , ความผิดเกี่ยวกับเอกสารการไม่ส่งมอบสัญญาคู่ฉบับ หรืออ้างว่าลืมสำเนาให้กับผู้เข้าประกวด อาจเข้าข่ายความผิดที่เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงหรือใช้เอกสารสิทธิปลอม หากมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมูลในสัญญาโดยไม่ได้รับความยินยอม นอกจากนี้ การที่ผู้จัดการประกวดอ้างถึง "นายตำรวจ" ที่มีตำแหน่งสูง และมีการกระทำที่เข้าข่ายข่มขู่ อาจทำให้ต้องพิจารณาว่านายตำรวจคนดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดดังกล่าวด้วยหรือไม่ เช่น การร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงหรือกรรโชกทรัพย์ หรือเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนที่จะรวบรวมพยานหลักฐานและการสืบสวนสอบสวนพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป นส.ปลายฟ้า ไขทุมมา เปิดเผยว่า เริ่มต้นเมื่อ 5 สิงหาคม ตนได้ไปขอ มงกุฎMUT อุทัยธานี กับ กองประกวด MUT อุทัยธานี เพื่อไปถ่ายงาน แต่กับไม่ได้ ซ้ำเรียกไป ข่มขู่ ว่า ถ้าเกิดทำอะไรให้กองประกวด เสียหาย จะสั่งปลดทันที และยังไม่ จ่ายรางวัล ตามข้อตกลง ในสัญญา และได้มีการส่งมอบสัญญาคู่ฉบับ​ โดยอ้างว่า​ลืมสำเนาให้กับผู้เข้าประกวด​ และยังมีการขอให้ผู้เข้าประกวดช่วยจ่ายค่าสปอนเซอร์​ ค่ามงกุฎ​ และอื่นๆ​

รวมทั้งมีการนำบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติ​ เข้ามาแทรกระหว่างการประกวด​ โดยอ้างว่า​ต้องการให้เป็นนักแสดงเข้าสู่การวงการบันเทิง​ โดยผ่านเวทีประกวด และมีการให้อัดคลิปทำรีวิวเสมือนจริงแต่ไม่ได้งานใดใดเกิดขึ้น​ บางท่านได้มงกุฎแล้วพอไปทวงถามถึงเงินรางวัลก็ถูกปฏิเสธ​ โดยตลอดระยะเวลาที่เหล่านางงามดำเนินการประกวดจะมีการอ้างถึง​นายตำรวจ​ ที่มีตำแหน่งเป็นผู้กำกับ​ อ้างว่าทำงานกับบุคคล​ระดับสูง​ โดยผู้เสียหายสงสัยว่า มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น​ เพราะมีพฤติกรรมหลายอย่างที่เข้าข่ายการข่มขู่ต่างๆนานา ทำให้นางงามได้มีความหวาดกลัวเป็นอย่างมากรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมทั้งกระบวนการจัดประกวด​ และอาจรวมถึงผลการประกวดด้วยหรือไม่​ จึงรวมตัวกันมาร้องเรียนทางชมรมสันติประชาธรรมเพื่อขอให้ช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง​เชิงลึก​และขยายผลถึงขบวนการที่เกี่ยวข้อง​ ช่วยปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรี​ของสุภาพสตรี​ ติดตามขอความเป็นธรรมและดำเนินคดีตามกฎหมาย​ โดยรวมมูลค่าความเสียหายกว่า​ 10 ล้านบาท​ อี้แทนคุณ กล่าวปิดท้าย ทั้งหมดนี้ อยากให้ ผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรม เพราะผู้เสียหาย ถูกข่มขู่ ซ้ำยังไม่ได้รางวัลต่างตามในสัญญา ทั้งมีการคุกคามต่างๆ แต่ย้ำ ไม่ได้เกี่ยวกับกองประกวด MUT เป็นเพียงแค่ระดับจังหวัด จึงมาขอคำปรึกษาจากพนักงานสอบสวนเพื่อหา ทางออก และยังมีผู้เสียหายอีกหลายรายที่ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม

เบื้องต้นพนักงานสอบสวนรับแจ้งความสอบปากคำนางงามผู้เสียหายทั้ง 5 รายเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ทางกองประกวด Miss Universe Thailand (MUT) ได้ประกาศยกเลิกสัญญาการประกวดมิสยูนิเวิร์สแพร่ อุทัยธานี และบุรีรัมย์ 2025 เนื่องจากผู้จัดการประกวด (บริษัท เอเชีย มีเดียส์ จำกัด) ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขและมาตรฐานที่กำหนดได้ โดยผู้ได้รับตำแหน่ง เดิม อิงฟ้า ชิโนทัย ศรีสุข ได้รับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สแพร่ 2025, ปลายฟ้า ไขทุมมา เป็นมิสยูนิเวิร์สอุทัยธานี 2025, และกนกวรรณ สุวรรณศรี เป็นมิสยูนิเวิร์สบุรีรัมย์ 2025 โดยให้เหตุผลว่าการยกเลิกสัญญาเกิดขึ้นเนื่องจากบริษัท เอเชีย มีเดียส์ จำกัด ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามข้อกำหนดและมาตรฐานของกองประกวด MUT
ส่งผลกระทบให้บรรดาแฟนๆ นางงามต่างผิดหวังกับการยกเลิกสัญญาครั้งนี้ ทางกองประกวด MUT จึงได้ประกาศยกเลิกสัญญาและยุติบทบาทผู้จัดการประกวดใน 3 จังหวัดดังกล่าว


เหล่าดารา ศิลปิน นักร้อง นักแสดง และนักกีฬาเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรอย่างคับคั่ง
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2568 ณ อาคาร Bangkok Thonburi Hall มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี บุคคลที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติ สาธารณะ เหล่าดารา ศิลปิน นักร้อง นักแสดง นักกีฬา และสื่อมวลชนเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรอย่างคับคั่ง อาทิ นายศุภชัย ศรีวิจิตร (เอ) และนายพงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง (อ๊อฟ) ได้รับพระราชทานปริญญาศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ คณะนิเทศศาสตร์ เพราะถือเป็นบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและ สาธารณะ

อีกทั้งยังมีเหล่าดารา ศิลปิน นักร้อง นักแสดง และสื่อมวลชนที่เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ได้แก่ น.ส.ดวงพร แน่งน้อย ปริญญาโทศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา ,น.ส.ทัศนียา รัตน์วงศ์ ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐ ประศาสนศาสตร์, นายสถาพร ชุ่มจิตร นายณัฐพล นิลดอนหวาย น.ส.กัญกนิษฐ์ มั่งมี และ น.ส.สุธิรจน์ ศรีเพ็ชร ปริญญาโทนิเทศศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชานิเทศศาสตร์, คุณปัทมา ปานทอง ปริญญาตรีนิเทศศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการออกแบบสื่อและการผลิตสื่อ ,น.ส.ปิ่นทิพย์ อรชร ปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต สาขาวิชานิติศาสตร์ และคุณเพ็ชรทาย วงษ์ คำเหลา (หม่ำ จ๊กม๊ก) ปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์

นอกจากนี้ บุคลากรด้านการกีฬา และนักกีฬาที่มีชื่อเสียงเข้ารับพระราชทานปริญญา บัตรในปีนี้ด้วย เช่น นางกมลา ทองกร (คุณแม่ปุ๊ก) ปริญญาโทรัฐประศาสนศาสตร มหาบัณฑิต นายกุลวุฒิ วิทิตศานต์ (น้องวิว) นักกีฬาแบดมินตันชายเดี่ยวมือวางอันดับ 1 ของ โลก นายนฤเศรษฐ์ เหล่าเทิดพงษ์ (องศา) นายวรภพ ชื่นค้า (บีม) นายสุรสิทธิ์ อริยะบารนีกุล (จ๊อบ) และนายภรัณยู ขาวสำอาง (ภีม) ปริญญาตรีคณะรัฐศาสตร์

หม่ำ จ๊กมก วัย 60 ปี เปิดใจหลังสำเร็จการศึกษาว่า รู้สึกดีใจและภูมิใจอย่างมาก เพราะใช้เวลาหลายปีในการเรียน โดยเริ่มต้นเรียนตั้งแต่ปี 2552 แต่ต้องหยุดไปเพราะภาระงาน ก่อนจะกลับมาเรียนอีกครั้งในปี 2565 ตอนเริ่มเรียนใหม่ๆ ลูก ๆ ยังไม่รู้ และภรรยาก็เพิ่งทราบในภายหลัง เพราะเจ้าตัวตั้งใจจะเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์ เพราะเห็นลูกเรียนแล้วก็อยากเรียนบ้างจะได้ไม่ อายลูก

“ส่วนใหญ่มาเรียนทุกวันเสาร์-อาทิตย์เลือกเรียนคณะรัฐศาสตร์ เพราะชอบและสนใจเรื่องการปกครองท้องถิ่น เชื่อว่าไม่มีใครแก่เกินเรียน ผมเป็นคนชอบเรียน ชอบอ่านหนังสือ แม้จะมีอาการนิ้วล็อกบ้างเวลาจับปากกา จะบอกว่ายากก็ยากนะครับ แต่ก็ค่อย ๆ ศึกษาไป”หม่ำ จ๊กมก ว่า

สำหรับเป้าหมายในอนาคตก็อยากต่อปริญญาโทด้านกฎหมาย และอยากลองดูถ้าไม่ไหวก็ค่อยว่ากันอีกที ส่วนเรื่องการเมืองเจ้าตัวพูดติดตลกว่าก็ไม่แน่นะอาจจะเป็น อบจ.ก็ได้ ถ้ามีคนทาบทามก็คงต้องพิจารณาดูความถนัดของตัวเองก่อน
#สยามดารา
สืบสุทธิสาร รวบโจรลักรองเท้า "โบว์ แวนด้า" ในบ้านพักย่านลาดพร้าว
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 พ.ต.อ. พรเทพ เฉลิมเกียรติ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลสุทธิสาร และพ.ต.ท. นิติธร ยศโชตวณิช รองผู้กำกับการสืบสวน สน.สุทธิสาร ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเร่งติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุลักทรัพย์ในพื้นที่

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา นางสาวกัลป์ชวิศา อิทธินิธิกานต์กุล ดารานักแสดงชื่อดัง (โบว์ แวนด้า) ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท. เกรียงไกร หน่อธรรม รองสารวัตร (สอบสวน) สน.สุทธิสาร ว่าเมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. คนร้ายได้บุกเข้ามาในบ้านพักเลขที่ 739/24 ซอยลาดพร้าว 48 แยก 12 แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กทม. ก่อนจะขโมยรองเท้า 5 คู่ ที่วางไว้ในลานจอดรถไป ซึ่งทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปมีมูลค่ารวมกว่า 16,800 บาท จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า คนร้ายเป็นชาย 1 คน ขับขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ Yamaha รุ่น Mio สีน้ำเงิน-ขาว หมายเลขทะเบียน 4ขค 5029 กรุงเทพมหานคร เข้ามาจอดใกล้บ้านผู้เสียหาย ก่อนจะเปิดประตูรั้วเข้าไปหยิบรองเท้าแล้วขับหลบหนีไป

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สามารถจับกุมตัว นายสมทรง สุขนิมิตร (คนร้ายที่ก่อเหตุ) พร้อมของกลางเป็นรองเท้าหลายรายการได้แล้ว โดยจับกุมได้บริเวณริมถนนงามวงศ์วาน ช่วงซอยงามวงศ์วาน 21 ขณะกำลังจะออกไปก่อเหตุซ้ำ จากการสอบถามเบื้องต้น นายสมทรงให้การรับสารภาพ ว่าเป็นบุคคลก่อเหตุ จริง ตามภาพจากกล้องวงจรปิด เนื่องจากตนเอง พึ่งพ้นโทษจากเรือนจำมา 1 เดือน ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับเข้าทำงาน จึงได้ลงมือก่อเหตุเพราะตนต้องหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ไม่มีทรัพย์สินอื่นทีได้ขโมยไปมีเพียงแค่รองเท้า ซึ่งรองเท้าที่ขโมยมานั้นได้นำไปขายตามตลาดนัดต่างๆ โดยจะขายได้คู่ละประมาณไม่เกิน 500 บาท นอกจากนี้ ยังพบว่า จยย.ที่นำมาก่อเหตุ ได้มีการแจ้งหายไว้ที่สน. ทุ่งสองห้อง เบื้องต้นได้ประสาน เจ้าของจยย.มาตรวจสอบ

ต่อมา นางสาวกัลป์ชวิศา อิทธินิธิกานต์กุล (โบว์ แวนด้า) ดารานักแสดงชื่อดัง เดินทางเข้ามาที่ สน.สุทธิสาร เพื่อมาตรวจสอบของกลางที่คนร้ายได้ขโมยไป พร้อม เปิดเผยว่า เมื่อวันเกิดเหตุน้องสาวได้มาบอกกับตนว่ารองเท้าหายไป 5 คู่ ตนจึงคิดว่าต้องโดนขโมยไปแน่เลย เพราะตั้งอยุ่แต่อยุ่บ้านนี้มาไม่เคยมีเหตุแบบนี้ จึงได้ไปดูกล้องวงจรปิด พบเห็นตนร้ายได้เข้ามาก่อเหตุประมาณ 02.30 น.เนื่องจากวันนั้นบ้านไม่ได้ล๊อคประตู คนร้ายได้เข้ามาขับรถวนดู ก่อนเข้ามาขโมยรองเท้าเนื่องจากบ้านของตนได้วางรองเท้าไว้หน้าบ้านเยอะ คนร้ายจึงได้เข้ามาก่อเหตุ จึงอยากฝากเตือนประชาชนทุกคนให้ล๊อคบ้าน เพราะสิ่งของทุกอย่างในบ้านมันมีค่า ถ้าวันนั้นน้องสาวล๊อคบ้านก็คงจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบวันนี้

เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหา โดยเบื้องต้น เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหา "ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะลักทรัพย์หรือรับของโจร " ก่อนจะส่งตัวพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป
#โบว์แวนด้า #สยามดารา
เดนิส เจลีลชา เปิดปมในใจโดนกดดัน คอมเมนต์แรงจากโซเชียล!
จากเด็กโฆษณาสู่นักแสดงหนัง 800 ล้าน! เดนิส เจลีลชา เผยความจริงเบื้องหลังชีวิตนักแสดง ที่ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด ความท้าทายและแรงกดดันที่ต้องเผชิญ เล่าประสบการณ์การลดน้ำหนักที่ผิดวิธี เรียนรู้ที่จะดูแลสุขภาพกายและใจอย่างยั่งยืน แชร์ Mindset ใหม่ที่ทำให้รักตัวเองมากขึ้น นอกจากนี้ยังเผยถึงผลกระทบจากคำคอมเมนต์ในโซเชียล แม้จะต้องทำงานหนักแต่ก็ยังมีความสุขและภูมิใจในเส้นทางที่เลือก ในรายการ Prime Cast

ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไง ทำอะไรอยู่บ้าง ?
เดนิส : ช่วงนี้ก็มีเรียนซะส่วนใหญ่ เพราะว่าตอนนี้อยู่ปี 2 ม.รังสิตค่ะ แล้วก็มีทำงานด้วย เพราะว่ามี ภ.ธี่หยด 3

แบ่งเวลายากไหมเรียนกับทำงาน ?
เดนิส : แรกๆ ก็นิดหนึ่ง เราอาจจะแบบยังปรับตัวไม่ได้กับความเป็นมหาลัยไง แต่ว่าพอเราเจอเพื่อนดี เจอแบบอาจารย์ดี เขาก็ ช่วยเยอะ

เข้าวงการตั้งแต่อายุเท่าไหร่ เริ่มถ่าย ธี่หยด เป็นยังไงบ้าง ?
เดนิส : จริงๆ งานแรกของหนูเลยเป็นโฆษณาค่ะ ตอนประมาณ 10 ขวบ เป็นเด็กโฆษณามาก่อน แล้วก็เข้าช่อง 3 ตอนประมาณอายุ 14 ค่ะ เล่น ธี่หยดก็อายุ 15-16 ประมาณนี้

เล่นหนังผีเรื่องแรกตอนอายุ 15 กลัวไหม ?
เดนิส : จริงๆ ส่วนตัวพื้นฐาน เป็นคนไม่กลัวผีเลย ไม่กลัวความมืด เพราะว่าแม่กลัวมาก ตัวเองก็เลยไม่กลัว เพราะจริงๆ เรารู้อยู่แล้วว่าช่อง 3 ทำละครใช่ไหมคะ แต่เราไม่เคยรู้ว่าช่อง 3 ทำหนัง จนจู่ๆ เขาก็บอกว่าช่องกำลังจะทำหนังเรื่องหนึ่ง ก็เลยขอไปแคส ตอนนั้นตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต เพราะว่าอยากเล่นหนังมาก เป็นความฝันเลย บอกตัวเองเลยว่าแบบ บทนี้ต้องได้ ยังไงก็ต้องได้ เพราะว่าเหมือนโอกาสมันมาแล้ว เราก็ต้องรีบคว้าไว้ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นถ่ายละคร 7 วันเลย ไม่มีคิวให้หนังแน่นอน แต่ใจมันอยากไง อยากจะไปแคสก่อน พอได้ ดีใจมาก

โชคดีมากที่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไร มีแพชชั่นด้านนี้ตั้งแต่เด็ก กดดันตัวเองไหมตอนนั้น ?
เดนิส : ใช่ค่ะ จริงๆ กดดันมาก คือแบบเหมือนด้วยความที่มันเป็นเป้าหมายเดียวของเราเลย ว่ามันเป็นอาชีพเดียวที่เรารู้สึกว่าจะทำ มันดูยิ่งใหญ่มากก็เลยกดดันตัวเองมากเหมือนกัน ยิ่งช่วงถ่ายธี่หยดแรกๆ มันยากมาก เพราะว่าเราเล่นละครมาก่อนมันไม่เหมือนกัน ก็ใช้ความพยายามเยอะมากๆ เพราะว่ามันเป็นความฝันของเราด้วย ส่วนตัวรู้สึกว่าเป็นกดดันที่ดี รู้สึกว่าเวลามีความกดดันตัวเอง เราจะทำสิ่งนั้นออกมาได้ดี ดูแบบตั้งใจ แต่มันก็ไม่ทุกเรื่องนะแค่ในเรื่องการแสดง บางครั้ง

พี่ณเดชน์ ทำให้เรากดดันมากขึ้น หรือว่าเขาช่วยเรา ?
เดนิส : คือด้วยความที่คนอื่นเขาอาจจะมีความแบบว่าตื่นเต้นมากที่เจอพี่แบรี่อะไรอย่างงี้ แต่ว่าด้วยความที่หนูไม่ค่อยดูละครเท่าไหร่ เราแค่รู้สึกว่าเกรงใจเขามากกว่า เพราะว่าเขาทำงานมานานแล้ว กลัวว่าเราเล่นไม่ได้เขาจะเสียเวลาไหม เราไม่ได้สักที แต่ว่าพี่แบรี่น่ารักมากๆ แล้วเขาก็ช่วยเยอะมากเหมือนกัน มีซีนหนึ่งที่เราเล่นไม่ได้สักที เขาก็จะเดินมาบอกว่าเดนิสมันเป็นแบบนี้นะเล่าให้เราฟัง ก็เหมือนสบายใจขึ้นด้วยกับการทำงานกับ เขา

แล้วเรื่องละลายพฤติกรรมด้วยการตดคืออะไร ?
เดนิส : (หัวเราะ) ก็คือเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่า พี่แบรี่ชอบตดมาก วันแรกที่ไปถ่ายที่หยด อยู่ๆ เขาก็เดินมาเงียบๆ แล้วสักพักเขาก็แบบ เฮ้ย! ทำเหมือนเกิดอะไรขึ้น เราก็งงเกิดอะไรขึ้น สักพัก ปู๊ด! มาเลย หลังจากนั้นก็ อ๋อ! เป็นคนแบบนี้

ทำงานตั้งแต่เด็กมันสอนให้เรามีวินัยมากขึ้นไหม ?
เดนิส : มากๆ เพราะว่าเราจะชอบโดนผู้ใหญ่พูดสอนว่า นักแสดงที่ดีคือต้องตรงต่อเวลานะ ห้ามให้คนอื่นรอ เราต้องไปก่อนเขา เราก็จะได้ยินคำนี้มาตลอด มันทำให้เรารู้สึกว่าถ้าไปสายจะรู้สึกผิดมาก ก็จะกลายเป็นคนมีวินัย เป็นคนตรงเวลามาก

แล้วมีเรื่องอะไรอีกบ้าง ที่เขากดดันเราตอนเด็กๆ ?
เดนิส : น่าจะเป็นเรื่องดูแลตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง ที่เขาก็จะบอกมาว่า ต้องลดน้ำหนักนะ เป็นเรื่องที่หลายๆ คนน่าจะอาจจะเคยเจอมา สิวขึ้นต้องไปรักษาสิวนะ นู่นนี่นั่นอะไรอย่างงี้ค่ะ แล้วก็ไหนจะเรื่องการแสดง จริงๆ เราก็มีหลายอย่างที่ทำให้เรากลายเป็นคนตั้งใจกับทุกอย่างไปหมดเลย

ดูแลตัวเองยังไงบ้าง ?
เดนิส : จริงๆ ตอนเด็ก ตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองต้องทำไง เพราะด้วยความที่เราโตมาที่บ้านไม่เคยพูดเรื่องแบบนี้ ไม่เคยพูดว่าเราอ้วน เราไม่ดี เราไม่สวยเลย พอเรามาเจอสังคมใหม่ ก็จะเป็นฟีล Culture Shock ช็อกไปสักพักหนึ่งว่าแล้วไงต่อ เราต้องทำยังไงถึงจะต้องลดน้ำหนักได้ วันนั้นเป็นวันฟิตติ้งเรื่องหนึ่ง เขาก็ พูดมาว่าอ้วนไปนิดหนึ่งเนาะ ลดให้พี่หน่อยนะสัก 5 โล เหมือนช่วงนั้นเรายังเด็กเราก็จะมีสิวผดมีอะไรค่อนข้างเยอะ แบบเป็นวัยฮอร์โมนด้วย เขาก็เหมือนแบบว่า เออทำยังไงสิวถึงจะหาย ล้างหน้าสะอาดหรือเปล่า ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้ยินใครพูดกับเราแบบนี้มาก่อน ก็เลยแบบช็อกเลย กลับบ้านร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง พอหลังจากนั้นเราก็หาวิธีว่าทำยังไงถึงจะผอม ทำยังไงถึงจะสวย เริ่มเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่ๆคนอื่น ก็เลยเริ่มเข้าสู่การดูแลตัวเองแบบไม่ถูก

พอมีคนทักเก็บมาคิด ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่ไหม ?
เดนิส : มีคนชอบก็ต้องมีคนไม่ชอบ มีคนชมเราก็ต้องมีคนบอกว่าเรายังไม่ดีตรงไหน ก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ตอนเด็กเราไม่เข้าใจหรอก

เคยลดน้ำหนักผิดวิธี ?
เดนิส : ใช่ค่ะ เคยทำมาหลายอย่างมาก อดข้าว ไม่กินข้าว กินให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ กิน 2-3 คำอิ่มแล้ว หรือไม่ช่วงนั้น มีโลว์คาร์บที่แบบฮิตๆ คีโต ตัดคาร์บออกไปเลยก็มี ลองมาหมดแล้ว ตอนนั้นจากน้ำหนัก 55-56 ลงไปประมาณ 48-49 รู้สึกว่าช่วงนั้นผอมที่สุดตั้งแต่เคยผอมมาแล้ว เราได้หุ่นที่อยากได้ แต่ชีวิตเราไม่ Healthy เลย ช่วงนั้นไปทำงาน พี่ผู้กำกับเขาก็จะบอกว่า วันนี้เป็นอะไรทำไมดูไม่มี Energy เลย ด้วยตัวละครมันต้องมี Energy ช่วงที่เริ่มผอมลงๆ พี่นักแสดงด้วยกันเขาก็จะบอกว่าช่วงนี้ดูหน้าเหนื่อยๆ ไม่สดใสเลย

จุดที่ทำให้เราคิดว่าต้องหยุดอดอาหาร กลับมาเริ่มกินคือเกิดอะไรขึ้น ?
เดนิส : มันมีจุดหนึ่งที่เราคุมอาหารไม่พอ เราก็เข้าฟิตเนสด้วย พอเราทำเกินลิมิตตัวเองเยอะมากๆ พอหนูเข้าฟิตเนสปุ๊บ ออกกำลังกายไปสักพักก็หน้ามืด อ้วกกลางฟิตเนสเลย เพราะว่าร่างกายมันไม่ไหวแล้ว เพราะว่าก็เข้าโรงพยาบาลบ่อยปวดท้อง หมอบอกว่าเครียดลงกระเพาะหลายอย่างมาก จนเริ่มรู้สึกกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราอายุเท่าไหร่เอง ทำไมต้องทำขนาดนี้ มันอาจจะมีวิธีที่ดีกว่า นั้น

เกิดเหตุการณ์นั้นก็เลยกลับมาเริ่มกินแบบปกติมากขึ้น แล้วน้ำหนักเด้งไหม ?
เดนิส : ใช่ค่ะ แรกๆ เด้งเยอะเลยกลับมาเท่าเดิมเลย เหมือนเรายังไม่เจอวิธีที่ถูกต้อง ยังไม่รู้ว่าหุ่นที่ดีคืออะไร จนวันหนึ่ง เราก็เริ่มฟัง Podcast เยอะๆ เริ่มฟังคนโน้นคนนี้พูด พี่ๆ ในวงการฟังตัวอย่างว่าเขาทำอะไรบ้างถึงได้ได้รู้ว่าจริงๆ มันมีวิธีที่ Healthy กับชีวิต เราก็เริ่มปรับไป เพราะว่าต้องฟังตัวเองเยอะๆ ฟังเสียงร่างกายตัวเอง ตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าหุ่นที่ดี คือหุ่นที่ดีต่อสุขภาพ ไม่ผอมเกินไป ปรับไปเรื่อยๆ วันนี้อยากกินก็กิน แต่ว่าพรุ่งนี้เราก็กลับมาคุมเหมือนเดิม

ทุกวันนี้ Mindset เรื่องการดูแลหุ่นเป็นยังไงบ้าง ?
เดนิส: ก็ดีขึ้นเยอะ สมมติแฮมเบอร์เกอร์อันหนึ่ง เรากลับมองว่ามันมีอะไรบ้าง อันนี้มีโปรตีนนะ ถ้าเรากินเนื้อจะได้โปรตีน หรือว่าอันนี้คาร์บ อันนี้ไขมันดี รู้มากขึ้นว่าควรกินอะไรบ้าง บางทีเรากินเยอะไปก็ไม่ได้รู้สึกผิด เพราะรู้ว่าร่างกายต้องการสิ่งนั้นน่ะ ตอนนี้รู้สึกดีกับตัวเองขึ้นมาก เราเลิกกลัวอาหาร เราสามารถกินได้เหมือนคนทั่วๆ ไป เพื่อนชวนไปกินข้าวข้างนอกเราก็ยัง Enjoy กับเขาได้อยู่ รู้สึกว่าเทรนเนอร์ก็เป็นส่วนสำคัญเหมือนกันที่แบบช่วยให้เรารู้ว่า ว่าวิธีการดูแลตัวเองมันแบบเป็นยังไงบ้าง ทั้งการออกกำลังกายด้วย ทั้งเรื่องกินด้วยเขาก็มีบอกเรา ได้ความรู้จากเขาด้วย ตอนนี้รู้สึกว่าดูแลสุขภาพตัวเองก็พอค่ะ ไม่ได้มีเป้าหมายว่าตัวเองต้องหุ่นแบบคนนี้นะ ขอแค่สม่ำเสมอทำทุกวัน ถ้าอาทิตย์นี้ไปออกกำลังกายได้ ก็จะไปให้ได้สม่ำเสมอ ไม่ต้องออกทุกวันก็ได้ เอาที่แฮปปี้

ดูแลผิวยังไงบ้าง ?
เดนิส : แต่ก่อนอย่างที่บอกว่ามีสิวเยอะมาก แล้วเราก็ได้รู้จักการเข้าคลินิกขึ้นมาจากพี่หลายๆ คน เราก็เลยรู้ว่ามันมีสิ่งที่ช่วยเราได้ นอกจากการทาสกินแคร์ เหมือนตอนนั้นทาตัวที่แพงแค่ไหน 2-3,000 บาท ทายังไงหน้ามันก็ไม่ดีขึ้นเลย จนเราต้องหาหมอที่เขารู้จริงๆ ว่าเราเป็นอะไร การพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมันก็เป็นข้อดีนะทุกคน เราได้รู้ความจริง มันดีขึ้นค่ะ เพราะตอนนั้นกินยาด้วยเพื่อให้มันหายปรับฮอร์โมน แล้วทุกวันนี้ตั้งแต่ไม่มีสิวมา สิ่งที่ทำปกติ กินน้ำเยอะๆ นอนเยอะๆ แล้วก็ใช้สกินแคร์ที่เรารู้สึกว่าเข้ากับเรา เรียนรู้เยอะเหมือนกัน มีช่วงหนึ่งบ้าสกินแคร์มาก

คนชอบบอกว่าชีวิตนักแสดงมันง่าย เดี๋ยวนี้บอกเขาสิว่าง่ายหรือเปล่า ?
เดนิส : ทุกคนคะ บอกเลยว่าตอนที่หนูจะมาเป็นนักแสดง เพราะคิดว่ามันสวยงาม อยู่กับแสงสี เราก็อยากจะทำ พอมาทำเท่านั้นแหละ ต้องบอกว่านักแสดงสบายกี่โมง

ตั้งแต่เข้าวงการมาจนตอนนี้ เจอคอมเมนต์โซเชียลเยอะไหม ?
เดนิส : ด้วยความที่ตอนที่เราเล่นละครมาก่อนหนัง อาจจะยังไม่ ได้เจอคอมเมนต์เยอะมาก เพราะว่าเราอาจจะยังไม่ได้เป็นที่รู้จักมากขนาดนั้น แต่ว่าเพราะว่า ธี่หยด นี่แหล่ะค่ะ เราถึงได้รู้ว่ากระแสโซเชียลมีผลต่อเรา มีผลต่อสภาพจิตใจเหลือเกิน เพิ่งรู้ตอนนั้นเลย เคยเห็นแต่พี่คนอื่นพูดแต่เราไม่เคยเจอ พอเจอด้วยตัวเองถึงได้รู้ว่า มันมีคนคิดกับเราแบบนี้ เหมือตอนเราเล่นหนังก็จะมีคนบอกว่าเล่นไม่ดีเลย เล่นเหมือนเล่นละคร กลับไปเล่นละครไหม เป็นนางเอกได้ไงไม่สวย คอมเมนต์มากมายที่คนในชีวิตจริงคงไม่เดินมาพูดกับเราแบบนี้ พอเราเห็นแรกๆ ก็ช็อกแล้วก็เสียใจ นอยว่าทำไมเขาถึงคิดกับเราแบบนี้ พอเราเริ่มเจอ เริ่มรู้สึกว่า Toxic กับตัวเรา ก็เลยเลือกที่จะแทบไม่อ่านคอมเมนต์เลย เลือกที่จะไม่รับรู้ดีกว่า ไม่ดูทั้งคำชมทั้งคำติไปเลย ก็รู้สึกโอเคกับตัวเอง รู้สึกว่าเป็นวิธีที่หนูว่ามันเวิร์คกับเรา

Burn out บ้างไหม ?
เดนิส : ก็มีบ้าง จริงๆ หนูดีขึ้นเยอะมากแล้วนะ แต่ก่อนกดดันตัวเองยิ่งกว่านี้ สมมติแค่มานั่งสัมภาษณ์คุยกันแบบนี้ หนูจะกดดันแล้วว่าจะคุยกับพี่ยังไงดี หรือว่าพี่จะชอบหนูไหม ดีที่ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ถามว่า Burn out ไหม คือมีบ้างที่รู้สึกหมดไฟแล้วไม่อยากทำเหนื่อยจังเลย แต่ว่าสุดท้ายก็เดี๋ยวพอหลับปุ๊บตื่นเข้ามาวันใหม่หายแล้ว ปล่อยให้ตัวเองได้ร้องไห้ไปเลย ตอนนี้อยากร้องแค่ไหนร้อง พอหลับตื่นขึ้นมาวันใหม่ก็เริ่มใหม่ รีเซ็ต

เสียดายชีวิตวัยรุ่นบ้างไหม ?
เดนิส : เป็นคำที่คนถามเยอะมาก แต่ว่าจะพูดตลอดว่าไม่เคยเสียดายชีวิตวัยรุ่นเลย เพราะว่าหนูก็ใช้ชีวิตอยู่ แต่แค่ใช้ไม่เหมือนคนอื่นเฉยๆ เป็นชีวิตในแบบที่หนูเลือกเอง แล้วเราก็ชอบ แล้วก็สนุกกับมัน จริงๆ ทำตัวเหมือนคนทั่วไป เดินห้าง อะไรทุกอย่าง ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่นอยู่

เห็นว่าเป็นคนกลัวความตาย ?
เดนิส : ใช่ ก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำว่ากลัวได้ไหม แต่ว่าเหมือนทำทุกอย่างเต็มที่มาก เพราะว่ากลัวพรุ่งนี้จะไม่ได้ตื่นมาทำ เป็นแบบนั้น ถ้ารู้สึกว่าสิ่งนี้ทำแล้วมันโอเค อย่างเช่นเรื่อง Simple แค่แบบว่าไปทำอะไรเสี่ยงๆ เล่นเครื่องเล่นสักอย่างที่มันน่ากลัวมากแล้วทุกคนจะอย่าเล่นเลยอันตราย เราจะรู้สึกว่าไม่ได้ ถ้าสมมติว่าพรุ่งนี้หนูไม่ตื่นมาล่ะ อาจจะไม่ได้เล่นก็ได้นะ มันก็เหมือนเราใช้กับหลายๆ เรื่องเหมือนกันว่าเราจะทำอะไร จะเต็มที่มากแบบเกินร้อยทุกเรื่อง เพราะว่าคิดว่าอาจจะไม่ได้ทำมันอีก

สามารถติดตาม "PrimeCast" ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=pEvMnRUQcGQ
“บี้ ธรรศภาคย์” เปิดใจ 10 ปีรักฝ่าดราม่า จากคำครหาสู่ครอบครัวสุดอบอุ่น!
ฮอตทั้งงานและชีวิตครอบครัว! นักแสดงหนุ่ม บี้–ธรรศภาคย์ ชี ออกมาเปิดใจครั้งสำคัญถึงเรื่องราวชีวิตรักที่หลายคนจับตามอง ร่วมถึงการเลี้ยงดูลูกๆกับภรรยาสุดที่รัก กุ๊บกิ๊บ–สุมณทิพย์ ชี ที่วันนี้กลายเป็นแรงบันดาลใจเรื่องการใช้ชีวิตคู่ของใครหลายคน เล่าย้อนถึงวันที่ความรักที่เคยถูกสังคมเข้าใจผิด ต้องฝ่าฟันคำครหามากมาย ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจสร้างครอบครัวอย่างจริงจัง พร้อมปรับจูนความสัมพันธ์ให้แข็งแรงและมั่นคงขึ้นจนถึงทุกวันนี้ครบ 10 ปีแล้ว โดยล่าสุดปล่อยซิงเกิลใหม่ “กลิ่นฝน” เพลงรักที่สะท้อนความทรงจำส่วนตัว ยิ่งพิเศษขึ้นไปอีกเมื่อคุณภรรยาสาวเป็นคนแต่งเนื้อเพลงนี้ให้ด้วย

สวัสดีครับ
บี้ ธรรศภาคย์ : สบายดีไหมครับ เมื่อกี้บอกทีมงานว่าที่นี่มีจุดเทียนด้วย เหมือนเข้าสปาเลย อีกนิดหนึ่งมีเพลง บ้านเราจะมีแต่จุดเทียนตอนไฟดับจะไม่มีอโรม่าหอมอะไร อย่างงี้

แล้วถ้าไม่มีลูกล่ะมีไหมอยากรู้ เพราะตอนที่คบกันมีเทียนโรแมนติกไหม ?
บี้ ธรรศภาคย์ : น้อยครับ จุดเทียนนี้ไม่มีเลย

แต่อาหารเต็มโต๊ะตามสไตล์กิ๊บ ?
บี้ ธรรศภาคย์ : ใช่ ชอบทำกับข้าว ชีทำข้าวเก่งมาก เดี๋ยวนี้คือเขาเป็นคนที่ทำอาหารให้เรา ให้ลูกกินตลอดครับ เวลาอยากกินอาหารคลีน ก็ต้องบอกเขาว่าวันนี้อยากกินอะไร เขาทำกับข้าวตั้งแต่เราเจอกันแรกๆ เลยนะครับ ตั้งแต่ 9 ปีที่แล้วก็รู้ว่าเค้าเป็นแบบว่า แม่บ้าน แม่เรือน ทำกับข้าวได้นี่แหละมัดใจผมได้ เพราะว่าแม่ผมทำกับข้าวเก่ง ผมชอบกินข้าวบ้านพี่วู้ดดี้ ต้องกินข้าวบ้านครับ

ทำไมถึงต้องกินข้าวบ้าน ?
บี้ ธรรศภาคย์ : เป็นอะไรที่แบบว่า อย่างเมื่อกี้แต่งหน้าไป แล้วก็นั่งดูอาหารคลีนไปเรื่อยๆ แล้วสักพัก ก็เหมือนแว๊บไปทำอย่างอื่นแล้วก็ลืมสั่งอาหารเลย ช่วงนี้ก็มีทาน IF อยู่บ้าง ก็เลยยังไม่ได้กินอะไร แต่ว่าจะเดี๋ยวเสร็จแล้วบอกกิ๊ฟว่าเดี๋ยวจะกลับไปกินข้าวที่บ้านนะ แวะกลับไปที่บ้านครึ่งชั่วโมง กินข้าวสักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี แล้วก็ค่อยไปถ่ายรายการอื่น ติดเป็นคนที่ติดข้าวบ้านมาก

เป็นตั้งแต่เด็กเลยไหมที่ติดกินข้าวบ้าน ?
บี้ ธรรศภาคย์ : แต่จริงๆ ตั้งแต่เด็ก Culture ของที่บ้าน มันต้องทานข้าวบ้านอยู่แล้ว มื้อเย็นเลิกเรียนกลับมาก็จะทานข้าวที่บ้านกันแบบคนจีน นั่งกินกันป๊า อากง อาม่า ครอบครัว นั่งกินข้าวด้วยกันอยู่แล้ว อาจจะเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าโตแล้ว ทำงานแล้วก็รู้สึกว่าการที่กลับไปคืออยู่บ้านผมจะไม่ใส่เสื้อผ้าอะไรเลย อาจจะใส่บ็อกเซอร์ ใส่กางเกงขาสั้นตัวเดียว แล้วก็ยกขา แล้วก็กินข้าวอะไรอย่างนี้ ก็เลยเป็นอะไรที่ผมรู้สึกว่าแบบกลับไปทานข้าวที่บ้านเป็นอะไรที่แบบผ่อนคลายจริงๆ ทานข้าวนอกบ้านแบบจะอิ่มยากนิดหนึ่ง ต้องทานข้าวที่บ้าน ครับ

เวลากลับไปที่บ้านเมนูที่ผูกพันที่สุดที่กิ๊บทำให้ทานคืออะไร ?
บี้ ธรรศภาคย์ : ทานบ่อยที่สุดคือ ข้าวแกงกะหรี่ เพราะว่ามันเป็นสูตรของแม่บี้ แม่บี้บอกว่า….เวลาหม่าม้าอยู่ใต้ บี้เขาชอบกินข้าวแกงกะหรี่สูตรนี้มากแล้วกิ๊บทำให้เขากินด้วยนะเวลาเขาอยากกิน เป็นอะไรที่แบบว่าแม่เขาจะมอบเมนูสูตรอาหารของเขาให้กับกิ๊บ (หัวเราะ) ก็เป็นอะไรที่พี่บี้แบบว่า หม่าม้ารักเนอะ เพราะว่าตอนเด็กทานข้าวที่บ้าน ตลอด

ในชีวิตนี้นะ 2 ม. สำคัญที่สุด ม.1 แม่ ม.2 เมีย แล้วถ้า 2 ม. อยู่ด้วยกันได้คุณเบาใจได้เลย
บี้ ธรรศภาคย์ : อือ จริงนะ ดีมากเลย คือตอนนี้ที่บ้านเราก็ค่อนข้างที่จะเป็นครอบครัวใหญ่ บี้ก็เอาปะป๊าหม่าม้ามาอยู่ด้วยเพราะว่า ป๊าม้าพูดจีนตลอดไง แล้วหลานก็อยู่ เป่าเปา เป่าเป้ย์ ก็อยากให้เค้าซึมซับภาษาจีน เพราะบางทีเราเองก็ลืมพูดภาษาจีนกับลูก แต่ก็มีป๊าม้ามาช่วย แล้วเราก็ได้อยู่กับป๊าม้าด้วย เขาก็อายุเยอะแล้วจะ 70 กันแล้ว ก็อยาก Spend time กับเขาเยอะๆ ด้วย

มีแต้มบุญที่ดี มีทั้งลูกที่อยู่ได้ดูแลเห็นการเติบโตของเขา เป่าเปาวันนี้ก็สวยวันสวยคืนชัดเจนขึ้นในนิสัยเป็นมีความเป็นแม่มาก ตัวเล็กก็มีความอ่อนโยนของทั้งคู่ทั้งพ่อแม่ที่ผสมกัน แล้วส่วนพ่อแม่ยูก็เข้ามาในจังหวะที่อยากดูแลเทคแคร์เขา เลยเห็นว่าองค์กร Family ของยูมันแน่นมาก
บี้ ธรรศภาคย์ : จริงๆ ด้วยจังหวะชีวิต แล้วก็ตัวกิ๊บเองเขาก็มีเพื่อนที่ดีด้วย ทุกอย่างมันลงตัวไปหมดเลย บางที บี้ กิ๊บ อาจจะต้องไปเมืองนอก ก็มีพ่อแม่ผม แล้วก็มีเพื่อนเขา แล้วก็มีบ้านฝั่งกิ๊บที่ช่วยกันดูแลลูกของเรา รู้สึกว่าเด็กๆ เค้าอบอุ่น อิ่มกับความสุขอยู่ตลอดเป็นอะไรที่เติมเต็มช่วงที่ป๊าม้าไม่อยู่ ให้เยอะเลย

มีเรื่องหนึ่งที่วันนี้พิเศษมากจะ 10 ปีแล้วนะที่มันไม่เคยเกิดขึ้นคือคุณได้นั่งตรงนี้คนเดียว จะได้มีโอกาสเป็นคนเดียวที่ตอบ แล้วมีเรื่องอะไรที่รู้สึกว่าวันนี้เราคงจะได้คุยกัน ?
บี้ ธรรศภาคย์ : ครับ มัน 10 ปีแล้วที่กับครั้งแรกที่ได้เจอพี่วู้ดดี้ กับรายการตื่นมาคุย เป็นรายการที่ทำให้บี้กับกิ๊บ First Impression กัน แล้วก็มันผ่านไป 10 ปีแล้ว รู้สึกว่ามันเร็วมาก มันก็มีหลายอย่างที่พี่วู้ดดี้เอ็นดูบี้ตั้งแต่ตอนนั้น แล้วก็ความรักระหว่างบี้กับกิ๊บมันก็ 10 ปีแล้วครับ เพราะว่าเป่าเปาก็ 9 ขวบละ เป่าเป้ก็ 5 ขวบแล้ว เมื่อกี้ระหว่างทางที่ขับรถมาก็รู้สึกว่ามัน 10 ปีแล้วนี่นา เวลามันผ่านไปเร็วมากเลย แล้วพี่วู้ดดี้ก็เป็นเหมือนผู้ใหญ่ของเรา 2 คนเลย ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่พี่วู้ดดี้ก็น่ารักกับบ้านเรา แล้วก็เป็นผู้ใหญ่ในวันที่เราแต่งงานด้วย ก็รู้สึกว่าเป็นบุคคลที่เรียกว่ายืนยันกับคุณ 2 คน ผมจะให้คุณ 2 คนแต่งงานกัน ให้คุณ 2 คนรักกันอะไรอย่างนี้ เป็นอะไรที่แบบว่าเร็วมาก เวลาผ่านไปเร็วนะพี่วู้ดดี้

ขอบคุณที่เล่านะเพราะมันเป็นการย้อนกลับไปให้หลายคนที่ฟังอยู่อาจจะไม่ทราบว่า Connection มันมีตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกคุณเจอกันในรายการ
บี้ ธรรศภาคย์ : ใช่ๆ

ถือว่ามาเจอเพื่อเฉลิมฉลองสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตว่าทั้งคู่มาถึงจุดนี้แล้ว ยังจำวันนั้นที่ยังไม่แน่ใจว่าคุณ 2 คนจะไปต่อกันยังไงได้ไหม ? ที่ตัดสินใจว่าจะเดินหน้าหรือไม่เดินหน้า
บี้ ธรรศภาคย์ : พี่วู้ดดี้รู้ใช่ไหม จำได้

แล้วกิ๊บก็บอกว่า….”หนูเลือกคนนี้ด้วยเซนส์ว่าเขาคือคนที่ใช่ในชีวิต He Is My Man”
บี้ ธรรศภาคย์ : เขาบอกพี่วู้ดดี้เหรอ (ยิ้ม) ตั้งแต่รายการของพี่ที่ทำให้เรา 2 คนเจอกันด้วย แล้วก็ระหว่างนั้นเราก็คบกัน มันก็มีทั้งเรื่องที่ไม่เข้ากัน แล้วก็ปรับจูนเข้าหากันอยู่ตลอด จนน่าจะเป็นที่พี่เล่าเมื่อกี้ แต่มันเป็นช่วงที่เรา 2 คนน่าจะห่างกัน หรือว่าเกือบจะเลิกกันแล้ว แล้วก็เหมือนมันมีปัญหาหลายๆ อย่างที่ทำให้เรา 2 คนเหมือนจะไม่เข้ากันเลย แบบต่างคนต่างมีความคิดที่มันแตกต่างมาก จน 2 คนก็คือแบบห่างกันสักพักหนึ่งไหม แต่ว่าเราก็ยังคุยกันอยู่ตลอดนะ เราก็ยังคุยอยู่ แชทกันตลอด แต่มีจังหวะหนึ่งที่แบบว่าเค้าก็ปวดท้องอยู่ตลอด แล้วก็เหมือนตอนนั้นเค้าก็เหมือนมีช็อกโกแลตซีสต์อะไรสักอย่าง แล้วก็เราก็เป็นห่วงเค้านะ เราก็แบบไปโรงพยาบาลเถอะ ไปตรวจเถอะ แล้วก็เดี๋ยวๆ พี่ไปเป็นเพื่อนก็ได้ ไม่เป็นไรนี่เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดี แล้ววันนั้นผมไม่ได้ไปกับเขาเพราะว่าผมเหมือนมีงาน Event พอเสร็จงานแล้วผมก็โทรหาเค้าว่าคุณหมออัปเดตเป็นไงบ้างแล้ว แล้วเค้าพูดมาคำหนึ่งว่า You guess แล้วถามมาอย่างงี้ท้องเหรอ เค้าบอกใช่ แล้วกิ๊บบอกว่าแต่บี้ไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้นะ พอเค้าพูดอย่างงี้แล้ว เดี๋ยวก่อนนะตอนนี้มันไม่ใช่ว่ามันอาจจะไม่ได้เกี่ยวกับที่เรา 2 คน ที่มันเลิกกันห่างกัน มันอาจจะต้องคุยดีเทลถึงว่าเรากำลังจะมีลูกด้วยกัน เรื่องที่ผ่านมามันอาจจะต้องเดี๋ยวค่อยว่ากัน เรื่องปรับเข้าหากันตอนนี้อาจจะไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา 2 คนแล้ว เรื่องที่ดีมากๆ ที่เกิดกำลังจะเกิดขึ้นคือกำลังจะมีเป่าเปาที่อยู่ในท้อง แล้วบี้ก็บอกเขาว่า ไม่ได้นะกิ๊บ เอาใหม่ๆ เรา 2 คนน่าจะต้องเอาใหม่ล่ะ บี้อยากแต่งงานกิ๊บ บี้อยากดูแลกิ๊บ บี้อยากดูแลเด็กคนนี้ที่อยู่ในท้อง บี้ขอดูแลได้ไหม เดี๋ยวบี้มีข้อเสียอะไรบี้จะพยายาม เรา 2 คนก็คงต้องพยายามปรับเข้าหากันให้ได้ที่สุด เพื่อให้เด็กคนนี้ด้วย

แล้ววันนั้นเราก็มาเจอกันแล้วก็นั่งคุยกันเรื่องนี้ จำได้ว่าเราก็คุยจนร้องไห้กันแล้วก็กอดกัน พี่วู้ดดี้รู้ไหมว่าหลังจากวันนั้นที่เราเหมือนเคลียร์แล้ว แล้วก็เราเห็นเด็กคนนี้อยู่ในท้องของกิ๊บ ทุกอย่างมันดีขึ้นหมดเลย เหมือนด้วยความที่เราเกิดมาต่างถิ่นกัน มันทำให้เรารู้สึกว่า โอเคปัญหาต่างๆ ของความรักเรา 2 คน เราวางไว้ก่อน เดี๋ยวเราจะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน จะก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ก็จนทำให้เรารักกันถึงทุกวันนี้ 10 ปีตั้งแต่วันนั้น

พอตอนนั้นเปิดตัว คนก็ไม่ได้รับในตัวเรา 2 คน เพราะด้วย Culture ของเมืองไทย มีลูกก่อนแต่งงานมันก็อาจจะไม่งดงามในวันนั้น แต่สำหรับเรา ณ ตอนนั้นทุกอย่างมันดีหมดเลย มันเป็นเรื่องดีระหว่างเรา 2 คน แล้วผมก็ภูมิใจว่ามีลูกตอนอายุ 24 ลูกตอนอายุ 20 ไอ้จะตอนอายุ 44 แล้วก็ได้ภรรยาที่ดีมาก กิ๊บเค้าดีมาก ผมไม่รู้จะเอาอะไรไปมาบรรยายตัวเขา แต่ว่าคือ นอกเหนือจากพ่อแม่ ถ้าไม่มีกิ๊บก็น่าจะไม่มีบี้ในวันนี้ จริงๆ

อยากฟังจากมุมมองของคุณที่เห็นใน 10 ปีที่ผ่านมา
บี้ ธรรศภาคย์ : กิ๊บเขาเหมือนแม่ เหมือนแม่บี้อีกคนหนึ่ง แบบว่าเราเองก็เป็นคนที่ซน มีความคิดของตัวเองสูง เพราะฉะนั้นมีเค้าคอยคอมเมนต์เรา เพราะคอมเมนต์จากเขามันทำให้ผมเติบโตจริงๆ ความซัพพอร์ตของเขาทุกอย่าง ผู้ชายคนนี้อยากทำอะไรที่เป็นฝันของตัวเอง เขาไม่เคย Say No เลย แล้วก็ขอบคุณเขาที่เป็นคุณแม่ที่เลี้ยงลูกได้ดีมาก ดีมากจริงๆ จนทุกวันนี้คือลูกก็เชื่อฟังกิ๊บมากกว่า แต่มันมีเหตุผลของมันเพราะว่าเราเองก็มีช่วงที่อยู่ที่เมืองจีนนานเป็นปี เราเข้าใจว่าความที่เรามีเวลาอยู่น้อยกับลูก แต่ว่าทุกวันที่ผมอยู่ก็พยายามเติมเต็มให้กับลูกอยู่เสมอ ไม่ให้น้อยกว่าแม่ ผมไม่รู้จะเอาอะไรมาบรรยายกิ๊บเป็นผู้หญิงที่ดีมากสำหรับผม

คิดว่าแต้มบุญคุณ 2 คนจากกี่ภพชาติที่ผ่านมา ?
บี้ ธรรศภาคย์ : กิ๊บบอกว่าชาติหน้าไม่ต้องเจอกันแล้วนะ พอแล้ว บอกเฮ้ย! ขอสลับเป็นผู้หญิงบ้างสิ ขอเหนื่อยแทนเธอบ้าง บี้จะบอกเขา อยากให้บี้เป็นกิ๊บบ้าง

เล่าให้ฟังหน่อยสิว่า เกิดอะไรขึ้นถึงได้ตัดสินใจเดินหน้ากับโปรเจกต์อัลบั้มนี้ ?
บี้ ธรรศภาคย์ : เพราะว่าจริงๆ พอหลังประกวด มันอาจจะเป็นช่วงจังหวะชีวิตเรายังเด็กอยู่เพิ่งจบการประกวดมา 19-20 เราก็ไม่ได้มีไอเดียว่าเรื่องแต่งเพลง หลังจากที่ผมจบการประกวดมา เพลงแรกที่แต่งออกมาน่าจะเป็นงานแต่งของบี้กับกิ๊บ ตอนนั้นก็เป็นภาษาไทยง่ายๆ เพราะว่าเป็นคนที่ภาษาไทยไม่แข็งแรง แต่พอจบการประกวดมาเราไม่ได้มีส่วนร่วมกับเพลงซักเท่าไหร่ครับ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้ทำ บี้ถ่ายละครที่จีนมา 8 ปีแล้ว ช่วงนี้บี้ก็ไปๆ มาๆ อยู่ไทยบ้าง อยู่จีนบ้าง ไม่ได้อยู่ยาวที่โน้น ปีนี้ก็เลยอยากทำอะไรบ้างสักอัลบั้มหนึ่ง เป็นอะไรที่บี้แต่งเนื้อเพลงหมด ทำเมโลดี้เองหมด แล้วก็เล่าชีวิตตลอดระยะเวลาที่อยู่ในวงการนี้ 16 ปี เล่าผ่านเพลงอะไรอย่างงี้ด้วยครับ

เลยตัดสินใจแต่งเพลง แล้วก็มีภรรยาแต่งให้ด้วย ?
บี้ ธรรศภาคย์ : กิ๊บเค้าแต่งเพลง "กลิ่นฝน" ให้เพราะว่าเล่าให้เค้าฟังตลอดชอบกลิ่นฝนมาก เวลาฝนตกบี้จะโทรหากิ๊บอยู่ตลอด ฝนตกหรือเปล่า บี้จะรู้ว่าคิดถึงเหรอ อันนี้เป็นคีย์เวิร์ดของเราประจำ 2 คนอยู่แล้ว กิ๊บก็บอกว่างั้นเอาเพลงนี้มาแต่งเถอะ เดี๋ยวกิ๊บจะเขียนเนื้อให้ เขาก็เป็นคนเขียนเนื้อเพลงทั้งเพลงนี้ขึ้นมาให้ครับ กิ๊บแต่ง 1 เพลงครับ อัลบั้มนี้ผมวางเอาไว้ 5-6 เพลง
สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 18.00 น.
คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=SiR_6EPkXuI&t=8s
บทบาทพ่อ "พอร์ช" เลิกเหล้า! ปาดน้ำตาส่งลูกเข้าเรียนวันแรก เผยสเตตัสแม่ของลูก ใช้ชีวิตส่วนตัวอยู่เมืองนอก
เป็นทุกอย่างให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน สำหรับอดีตพรเอกวิกหลายสี "พอร์ช ศรันย์" ที่ทำหน้าที่คุณพ่อ เลี้ยงลูกชายวัยน่ารัก "น้องโฮมส์" ด้วยตัวเองตั้งแต่ลูกเกิดได้เพียง10วัน จนทุกวันนี้ลุกขึ้นเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ เลิกปาร์ตี้เด็ดขาดเพื่อลูกชายคนนี้ ล่าสุดเปลือยใจจัดเต็มผ่านรายการดัง "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" เล่าถึงบทบาทความเป็นพ่อ รวมไปถึงเล่าวินาทีสำคัญที่ต้องส่งลูกชายไปโรงเรียน ถึงขั้นเสียน้ำตาที่ต้องห่างกัน

ตอนนี้เห็นว่าน้องไปโรงเรียนแล้ว?
"ตอนนี้น้องไปโรงเรียนแล้วครับ เข้าเนอสเซอรี่แถวบ้าน เอาใกล้บ้านเพราะรู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะได้มูฟเร็ว คิดแค่นั้นเลย"

วันแรกที่ไปส่งที่โรงเรียนพ่อ หรือ ลูกที่ร้องไห้?
"วันนั้นที่ไปส่งเค้าให้ผมเข้าไปด้วย เข้าไปส่งในห้องเรียนได้เลย เหมือนไปฝึกกับเค้าให้อยู่กับเค้าแปบนึง พอเราจะออกเค้าก็มองหน้าเราและร้องไห้ ตอนนั้นผมก็ขนลุกเลย ตัวร้อนผ่าวๆว่าเอาไงดีวะ จนเค้าไล่เราให้ออกไป ผมก็ไปยืนแล้วแล้วก็ชะเง้อดู ตัวเค้าก็เห็นเรานะ ส่วนเรานั้นน้ำตาจะไหล (หัวเราะ) พ่อแม่ก็เยอะหลายคน ผมก็ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนั้น เราก็ทำตัวไม่ถูก (ทำท่าปาดน้ำตาคลอ) คือหน้าที่ผมคือไปส่งไปรับ ช่วงแรกคือเรียนซัมเมอร์ ตอนนี้ก็เพิ่งเปิดเทอม"

เคยคิดหรือว่ามองตัวเองในบทบาทคุณพ่อไว้ยังไง?
"เคยคิดว่าอยากจะมีครอบครัว เราคิดว่าเราอยากมีครอบครัวตอนอายุ32 เราอยากมีครอบครัวและไม่อยากมีภาระที่เป็นหนี้เยอะ มันเป็นภาพที่คิดไว้ตั้งตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่ได้คิดถึงภาพที่เราเป็นพ่อและต้องเลี้ยงลูกเอง"

แล้ววินาทีที่รู้ว่าตัวเองมีลูก มีความคิดแพลนไว้ยังไง?
"ตอนนั้นมันชาตัวไปหมด คิดว่าเราต้องเลี้ยงเค้ายังไงดี ให้เค้าออกมาเป็นคนที่ดี ความคิดทุกอย่างมันมาเอง ตอนนั้นเครียดมาก จะเลี้ยงเองมั้ยหรือว่าจะจ้างพี่เลี้ยง จนคิดว่าเลี้ยงเองดีกว่า แต่ก็คิดว่าจะทำได้มั้ย เพราะประสบการณ์ไม่มี ประสบการณ์ติดลบ แล้วเราก็ไม่ได้ชอบเด็กขนาดนั้น ไม่สนิทกับเด็กมากจะมีความกลัวนิดนึง อย่างถ้าเพื่อนมีลูกเล็กมา เราก็จะไม่กล้าจับไม่กล้า อุ้ม"

ตั้งแต่มีลูกอะไรที่เราเปลี่ยนไปบ้าง?
"อารมณ์ใจร้อน เมื่อก่อนเป็นคนใจร้อนในทุกอย่างในทุกการใช้ชีวิต คืออยากได้อะไรต้องได้เลย แต่กลายเป็นมีลูก ลูกฝึกเรามากกว่ารู้จักการรอ และเรื่องแอลกอฮอล์เราก็เลิกไปเลยเพราะลูก เรื่องความใจร้อนหายไปเยอะ กลายเป็นใจเย็นเวลาลูกงอแง ผมนิ่งมากเลย" เลิกปาร์ตี้เด็ดขาดเลยใช่มั้ย? "หยุดเลยครับ เพราะว่านอนเร็ว มีแค่ช่วงแรกอาทิตย์แรกที่ยังงงอยู่ ยังปรับตัวไม่ได้ ขอกินนิดนึง พอเพื่อนมาบ้างกินเต็มข้อเลย กินถึงตีสี่ ปรากฏว่าหกโมงลูกตื่น ที่เราเลิกกินเพราะเรารู้สึกผิดกับตัวเอง เพราะจำได้เลยว่าวันที่เราแฮ้งค์ๆแล้วลูกมาชวนเล่น ลูกชวนทำกิจกรรมแล้วเราไม่ไหว ผมหันไปเห็นภาพเค้าเล่นรถคนเดียวแล้วมันรู้สึกได้ครับ ว่าเค้ามีแค่เรา เค้ามีแค่เราแล้วเราดันเมินเค้า วันนั้นผมรู้สึกว่าแย่มาก ผมเลิกเลย แต่ว่าไม่ได้ตัดขาดเพื่อนนะ เพื่อนจะมามาได้ แต่นอนห้าทุ่มไม่เกินนี้ เคลียร์นะ ห้าทุ่มกลับบ้าน เพื่อนอยากกินก็กิน แต่ผมไม่กิน"

ขออนุญาตถาม เตรียมการไว้อย่างไร ถ้าวันนึงลูกถามถึงแม่ ว่าแม่ไปไหน?
"จริงๆแล้วคุยกันตลอดอยู่แล้วครับ คุยกันปกติ กับแม่เค้าน้องเค้าก็มีคุยทุกวันครับ วีดีโอคอลคุยกันทุกวัน ความจริงแล้วแม่เค้าอยู่เมืองนอก เค้ามีเหตุจำเป็นที่ต้องไปทำธุระส่วนตัวที่เมืองนอก น้องเค้าก็คุยกับแม่ทุกวัน ผมเลี้ยงลูกคนเดียวมาตั้งแต่10วัน ที่เลี้ยงเองคนเดียว แต่ว่าแม่เค้าก็มีคุยอยู่ทุกวัน จริงๆแล้วในการใช้ชีวิตผมอยากให้เค้ามีทุกอย่าง ไม่อยากให้เค้าขาดอะไรแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นอธิบายให้เค้าฟังหมดทุกอย่างว่ามามี้ทำงานอยู่ไกล ตามช่วงวัยค่อยๆอธิบายให้เค้าฟัง"
“บอล เชิญยิ้ม”ยอมรับเคยเสพยา หลงผิด พลาดจนชีวิตเกือบหมดอนาคต
เรียกได้ว่าหลังจากฟัง แจ๊ส ชวนชื่น & บอล เชิญยิ้ม ผ่านรายการช่อง Youtube iJazzKhunJang เทปล่าสุดที่ได้พี่ชายคนสนิทตลกดังชื่อดัง บอล เชิญยิ้ม-ชัชชัย จำเนียรกุล มาร่วมเป็นแขกรับเชิญ พร้อมเปิดไทม์แมชชีนย้อนวัยเด็กของ บอล เชิญยิ้ม พากลับไปจุดเริ่มต้นสมัยเป็นเด็กวัด ที่วัดเชิงหวาย งานนี้ถึงกับสารภาพกลางรายการเลยว่า เคยเสพยาจนทำให้ชีวิตเกือบจะพัง เคยหลงผิดติดยาบ้านาน 4 ปี จนร่างกายไม่ไหวจึงรู้สึกตัวและคิดได้ พร้อมกับตั้งใจหักดิบยาเสพติดจนสามารถเอาชนะได้ในที่สุด พร้อมบอกเล่าข้อคิด “คงไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยผิดพลาด แต่ประเด็นสำคัญคือ เมื่อรู้ว่าพลาดแล้วจะแก้ไขให้ถูกต้อง หรือไม่”

นอกจากนี้ในคลิปนี้ยังพร้อมให้สาระไม่ไกลตัว “เคยหลงผิดกับยา... แล้วกลับมาถูกได้ยังไง?” นำเสนอการป้องกันยาเสพติด ทั้งในครอบครัวและชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน ทุกคนจะสามารถช่วยกันป้องกันอย่างไรได้บ้าง? พร้อมทั้งผู้อำนวยการส่วนประสานการป้องกันยาเสพติดฯ จาก สำนักงาน ป.ป.ส. มาร่วมให้ความรู้ถึงการป้องกันอย่างถูกหลักและได้ผลสูงสุด สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ สายด่วน 1386

ติดตามชมเต็มๆ ได้ทาง Youtube : “แจ๊ส สปุ๊กนิค ปาปิยอง กุ๊กกุ๊ก”

หรือ คลิกลิงก์ https://www.youtube.com/watch?v=vZivHrJiP-g
"อรอุ๋ง อดีต BNK48" เผยสัมพันธ์ "หมอบี" บอกรักเคารพอีกฝ่ายและภรรยาเหมือนพ่อแม่
หลังจาก อรอุ๋ง พัศชนันท์ เจียจิรโชติ อดีตไอดอลเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 รุ่น 1 ถูกจับตาเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่าง "หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ

ล่าสุด 27 ส.ค.68 "อรอุ๋ง BNK" ได้เคลื่อนไหวท่ามกลางดราม่าโพสต์ข้อความว่า "จากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น มีหลายคนพูดถึงอรในทำนองว่า อรมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับพี่บี อรอยากบอกตรงนี้ด้วยหัวใจว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลยค่ะ อรรักและเคารพพี่บีและภรรยาของพี่บี เหมือนพ่อกับแม่ที่คอยให้กำลังใจ และดูแลอรเสมอมา"

"ข่าวบิดเบือนที่แพร่ไปทำให้อรเสียใจ และได้รับผลกระทบมากทั้งชื่อเสียง และจิตใจของอรเอง รวมถึงคนรอบข้างที่อรรัก วันนี้อรอยากบอกตรง ๆ ว่า อรอยากให้ทุกคนที่รัก และเชื่อมั่นในตัวอร ได้เข้าใจและอยู่ข้าง ๆ อรในวันที่อรกำลังลำบาก"

"อรขอความกรุณาจากทุกคน ช่วยหยุดการส่งต่อ หรือ พูดถึงในทางที่ไม่จริงเหล่านี้ด้วยนะคะ และเพื่อปกป้องตัวเอง อรจำเป็นต้องให้ทนายดำเนินการทางกฎหมายต่อไป ขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้อรในช่วงเวลานี้จริง ๆ ค่ะ"

#อรอุ๋ง #สยามดารา
จากมิสแกรนด์มุกดาหาร สู่ PD มิสแกรนด์ชัยภูมิ แคท ชลธิชา พร้อมเปิดประตูชัยภูมิสู่ MGT 2026
จากมิสแกรนด์มุกดาหาร 2023 แคท ชลธิชา กุลสุวรรณ พร้อมเติบโต และก้าวเข้าสู่การเป็น PD โดยจับมือกับ เคน วสันต์ ดิลกวัฒนตระกูล ร่วมถือลิขสิทธิ์ PD มิสแกรนด์ชัยภูมิ 2026 ลั่น!!! พร้อมเปิดประตูชัยภูมิ บนเวทีการประกวดสุดยิ่งใหญ่อย่าง มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2026         หลังจากมงลงปี 2024 เธอรับหน้าที่เป็น มาสเตอร์แคท หนึ่งในคณะกรรมการ ในการประกวดมิสแกรนด์มุกดาหาร 2024 ของ PD เก่ง ธชย และได้ส่งมอบมงต่อให้ ข้าวโพด ณัฏฐา อินต๊ะซาว มิสแกรนด์มุกดาหาร2024 ผลงานในปีที่ผ่านมา ตั้งโอ๋ มิสแกรนด์ชัยภูมิ 2025 ตัวแทนจากจ.ชัยภูมิ ที่อยู่ในความดูแลของแคท (ที่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็น PD) ก็คว้ารางวัล แกรนด์ วอยซ์ อวอร์ด ลูกทุ่งมหาชน และได้เซ็นสัญญาเป็นศิลปิน ในสังกัดของ MGI เป็นที่เรียบร้อย

 ในการประกวดปีนี้ PD ป้ายแดง อดีตมิสแกรนด์มุกดาหาร 2023 แคท ชลธิชา กุลสุวรรณ ลั่น!!! พร้อมเปิดประตูจ.ชัยภูมิ บนเวทีใหญ่ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2026 ให้ตัวแทนจากจ.ชัยภูมิ เป็นที่รู้จัก ในฐานะที่แคท เป็นคนชัยภูมิเมืองผู้กล้า สายเลือดลูกพ่อพระยาแล เธอจะนำประสบการณ์ และความรู้ความสามารถ เฟ้นหาสาวงามเพื่อเป็นตัวแทนจังหวัดชัยภูมิ ไปสร้างชื่อบนเวทีระดับประเทศให้ได้ โดยเธอกล่าวว่า         ปีนี้เราจะไปให้ไกลกว่าเดิม แคทมั่นใจ ทีมงานเราพร้อม และเต็มที่มาก สำหรับการทำงานครั้งนี้ แคทอยากให้เห็นถึงความตั้งใจ แม้จะเป็นจังหวัดที่ไม่ได้อยู่ในสายตาของใครหลาย ๆ คน แต่แคทและทีมงานมั่นใจว่า ปีนี้เราจะทำให้มิสแกรนด์ชัยภูมิ ไปให้ไกลที่สุด เพื่อเป็นการเปิดประตูให้คนรู้จักชัยภูมิ บนเวทีใหญ่ระดับประเทศอย่างแน่นอน

น้อง ๆ นางงาม ผู้มี่มีความฝัน ความหวัง ความสามารถ อยากมาเป็นส่วนหนึ่งกับทางทีมมิสแกรนด์ชัยภูมิ 2026 สามารถติดตามรายละเอียดไว้ได้เลยนะคะ นอกจากนี้เราพร้อมเปิดรับผู้สนับสนุน ทุกท่าน มาร่วมเดินทางไปกับเราเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดชัยภูมิ และเรามีเป้าหมายในการช่วยสร้างความสำเร็จของแบรนด์ท้องถิ่น ความนิยม เกียรติยศ ที่สร้างรายได้ ให้แก่ผู้สนับสนุนทุกท่านอย่างมั่นคงอีกด้วยค่ะ ฝากพีดีป้ายแดงทั้ง 2 ท่าน และทีมงาน มิสแกรนด์ชัยภูมิ 2026 ไว้ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

สามารถติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ที่ เพจเฟซบุ๊ก มิสแกรนด์ชัยภูมิ - Miss Grand Chaiyaphum https://www.facebook.com/share/1F8p3MokhK/

#มิสแกรนด์ชัยภูมิ2026 #MissGrandChaiyaphum2026 #ชัยภูมิเมืองผู้กล้า #ลูกพ่อพระยาแล
แจ็ค แฟนฉัน ร่ำไห้! เคยกลัวตายเพราะแพนิค สู่การปรับตัวเป็นพ่อและสามีที่ดี
เผยตัวตนที่ไม่เคยมีใครรู้! แจ็ค แฟนฉัน ในรายการ WOODY FM ถึงชีวิตรัก การเป็นพ่อและสามี ต้องปรับตัวหลังเผชิญกับปัญหาหนัก ร่ำไห้! เคยกลัวตายเพราะความเครียดจากโรคแพนิค เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ สู่เปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อครอบครัว

จริงๆแล้ว แจ็ค ถ้าอยู่บ้านไม่ได้อยู่กับภรรยาและลูกจะเป็นยังไง ?
แจ็ค แฟนฉัน : ผมจะนิ่งๆแล้วจะไม่ค่อยคุยกับใคร ถ้าแบบเลือกได้อยากอยู่เฉยๆเลย เพราะว่าข้างนอกผมหนักมาแล้ว ผมพยายามจะไม่เห็นแก่ตัว ตั้งแต่มีครอบครัวนะ เพราะแต่ก่อนผมจะมีความเห็นแก่ตัวในที่นี้คือแบบเหนื่อยข้างนอกมาละขอพักก่อน เพราะเดี๋ยวต้องไปเหนื่อยข้างนอกอีก เพราะเลือกแล้วว่าเกิดมาครั้งนี้เป็นผู้ให้นะ มากกว่าผู้รับ ผู้รับมันมีไหม มันมี ไม่ใช่ว่าเราจะตอแหลคนว่าแหมอย่างแกไม่ได้หรอกอะไรอย่างงี้ ผมก็เลยรู้สึกว่าผมก็ได้ด้วย แต่ผมเป็นผู้ให้มากมากกว่า เพราะรู้สึกว่ามีความสุข ถ้าผมตายไป ตอนแรกเป็นคนกลัวตายมาก ถ้าผมจะตายจริงๆ ก่อนผมจะต้องตาย ผมจะบอกว่า คุ้มแล้ว (เสียงสั่นจะร้องไห้) หมายถึงว่าแบบจะตายแล้วเหรอ อะไรอย่างนี้ คุ้มแล้ว พ่อแม่เราแบบทุกอย่าง ขอเลือกตายคือขอนอนแบบเหมือนยายเราอะไรอย่างนี้ แบบที่เห็นยายเรามา คือยายเป็นผู้ให้ที่แบบว่าเขาเป็นแบบอย่างผมเลย (ร้องไห้) ยายผมคือที่สุดเลย แต่ผมยังไม่อยากตายอะไรอย่างนี้ ผมแค่รู้สึกว่ากลัวตายมาก ผมกลัวตาย ผมเคยเป็นแพนิคแบบพี่วันหนึ่ง ผมจำได้เลย ก็เลยรู้สึกว่าไอ้คนที่มันมีความเครียดสูง ผมเลยเข้าใจคนที่เป็นโรคแบบแพนิค หรือแบบคนที่เป็นโรคซึม เศร้า

เคยเป็นด้วยเหรอ ?
แจ็ค แฟนฉัน : เป็นวันเดียว แล้วผมก็แบบเราจะเป็นไม่ได้ ผมด่าแพนิคเลย ผมด่ามันเลย เพราะว่าคนไม่เครียดกับงานไม่เข้าใจหรอก ผมโกรธเลย ผมต้องขับรถไปหาเพื่อนผมเดี๋ยวนั้นเลย ก็เลยเข้าใจ ผมตั้งใจฟังพี่ แล้วผมก็แบบแค่รู้สึกว่าการตาย ทุกคนกลัวหมด เพราะรู้สึกว่าคือดับไปเลย แต่ทีนี้ผมเคยอยากทำรายการหนึ่ง แบบที่ผมเชื่อมั่นว่าปีหน้าผมต้องทำให้ได้เลย คือผมเชื่อว่าผมมีประสบการณ์จากอายุ 35 แล้ว เชื่อว่ารายการของผมที่จะทำต่อไปได้ประโยชน์ต่อสังคม ไม่ได้แค่ตลก มันเยอะไป หมดเลย

ความเครียดในการมีลูกในการมีครอบครัวในการหาตังค์ อีกหลายคนในประเทศก็เจอสภาวะแบบนี้คุณอยู่กับมันยังไงได้บ้าง เพื่อให้มีพลังกายต่อไปในแต่ละวัน ?
แจ็ค แฟนฉัน : ผมมองในยุคแต่ละ GEN นะ แต่ GEN ผมเชื่อว่าหลายๆคน ผมย้ำหลายๆคนทั่วโลกนะ ประสบปัญหาเยอะที่สุด ถ้าไม่ย้อนตั้งแต่ยุคต้มยำกุ้งก็จะเป็นนักธุรกิจ แต่ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่มันเจอกับหลายๆโรค หลายๆอย่าง หลายๆปัจจัย มันทำให้คนมีความเครียดสูง ผมก็เลยรู้สึกว่าไอ้สิ่งที่ผมจะบอกกับคุณผู้ชมได้ในฐานะที่เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง คือผมแค่รู้สึกว่าอยู่ให้พอดี ประคองและอย่าประมาท อะไรที่รู้ว่าจะเสี่ยงแม้แค่นิดเดียวอย่าไปทำ เพราะว่าถ้ามันเกิดผลกระทบที่ตามมา ความรับผิดชอบของเราและครอบครัวไม่ไหวจริงๆ ก็เลยอยากให้ในยุคนี้ทำอะไรตั้งสติ ทุกคนเคยผ่านเรื่องแย่ๆมาหมด ทุกคนเคยผ่านเรื่องเลวร้ายมาหมด คุณต้องคิดเสมอว่าการทำงานหรือเราไปรบข้างนอก มันมีบาดแผลหมดจากเจ้านายเอย จากทีมงานเอย ไอ้บาดแผลตรงนี้ มันจะทำให้คุณจำและเก็บไว้ว่าในอนาคตเรามีบทเรียนตรงนี้แล้ว บาดแผลพวกนี้มันคือบทเรียนที่คุณไปเจอมาแล้ว แล้วคุณอย่าไปเครียดเยอะ เพราะถ้าคุณเครียดเยอะสมองของคุณมันพังไม่ได้ สมองของคุณมันต้องไปต่อ มันต้องไปต่อแบบที่อื่น เพราะฉะนั้นความโกรธไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย ความโกรธมันได้แค่แป๊บเดียวได้แค่สะใจ แต่เมื่อไหร่ที่ดูถูกเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วใช้เขาไม่เป็น อันนี้มันมองให้เห็นเลยว่าศักยภาพของคนมันมีอีกเยอะ ที่คนเก่งๆหรือใครที่จะต้องไปเจออะไรมาอีกเยอะ เพราะฉะนั้นเก็บตรงนี้ไว้ก่อน ปัญหา ณ ปัจจุบันตอนนี้โลกมันมีปัญหากันหมด เพราะฉะนั้นค่อยๆใช้ชีวิต อะไรประหยัดได้ประหยัดอย่าไปเสี่ยง ผมเคยนั่งวิเคราะห์ครับว่าวัตถุทุกอย่างทุกคนอยากมีหมด เพราะคนส่วนใหญ่บ้าวัตถุ ทำไมต้องค่านิยมสำคัญเพราะแค่มีของอะไรหลักแสนหลักล้าน มือไม้อ่อนทันทีเลย เพราะฉะนั้นผมเพิ่งมาค้นพบว่าถ้าเราไม่บ้าวัตถุเยอะ แต่ใจของเราเก่งหรือร่างกายของเรา ไม่ต้องทำตัวแพง ไปไหนก็จะมีแต่คนรัก ผมก็เลยเลือกทิ้งวัตถุนั้นออกไป ผมพยายามจะให้คนรัก ผม

แจ็คเองก็เคยติดวัตถุหนักมาก ?
แจ็ค แฟนฉัน : มากๆครับ

ถึงเลิกตัดสินใจวาง ?
แจ็ค แฟนฉัน : ขบวนการของวัตถุ ผมเชื่อว่าหลายๆคนที่ยังไม่เคยมีก็อยากจะมี เราห้ามความคิดเขาไม่ได้ ไม่ผิด ทุกคนอยากมีหมด ทุกคนอยากมีบ้านหลังใหญ่ ทุกคนอยากมีรถซูเปอร์คาร์ ทุกคนอยากมีนาฬิกาแบรนด์เนม ทั้งหมดทั้งตัว ผมเคยเป็นหนึ่งในนั้นที่โคตรอยากมี แล้วรู้สึกว่าเลือกไม่มีเพราะว่าตัวผมเองมานั่งคิดว่าถ้ามี ผมเครียด ผมกังวล ยังไม่ถึงขั้นที่แบบเราจะทำอะไรก็ได้แล้ว รู้สึกว่าวัตถุพวกนี้มันเลือกเฉพาะที่มีประโยชน์ดีกว่าแล้วมันต่อยอด เพราะผมมานั่งคิด สมมุติผมมีนาฬิกาแพงๆใช่ไหม หรือมีรถแพงๆ ผมเลือกมีประมาณหนึ่ง ที่เพื่อเซฟชีวิตผม คงไม่สุดไปกว่านี้เพราะรู้สึกว่าถ้าผมเอาของแพงแล้วผมใช้ประมาณหนึ่ง ไม่ใช่ว่าผมไม่แพงเลยนะ ผมก็ยังมีอยู่นะ ผมเอาส่วนนี้ไปให้ผู้อื่นดีกว่า ไปให้ที่เขาไม่มี เพราะว่าการให้ตรงนี้มันอาจจะช่วยคนอื่นที่เขาหล่อเลี้ยง ผมไม่ได้ให้แบบปัจจุบันนะ เพราะปัจจุบันคนก็กลัวการบริจาค และในยุคปัจจุบันนี้คนมันกลัว คนมันเครียด เรื่องเอาไปให้ตรงนี้แล้วยังไง เอาเงินไปทางไหน ก็เลยรู้สึกว่าของวัตถุพวกนี้มันทำให้ผมกลัว เพราะถ้าผมมีเยอะ ผมจะมีความไม่น่ารัก ผมก็เลยทิ้งไอ้วัตถุนั้นออกไป แล้วผมเอาไอ้วัตถุที่ผมอยากมีไปให้ คนอื่น

ที่บอกว่าไม่น่ารักเป็นยังไงบ้างในอดีต ?
แจ็ค แฟนฉัน : สมมุติว่าถ้าผมมีเยอะ บางทีคนอาจจะมองว่าแจ็คตอแหล เพราะยังไม่มีไงก็เลยมาพูด ผมมีครับ แต่ผมเลือกที่จะไม่โชว์ เพราะผมรู้สึกว่าความไม่น่ารัก คือมันไม่ถูกใจคนหลายๆคน มันไม่ถูกกาลเทศะ เพราะในมุมของผม แค่มองว่าพวกวัตถุตรงนี้มันทำให้เราไม่น่ารัก คือเราจะมีความแบบหลงกับมัน แล้วก็ไปอยู่ในกลุ่มที่แบบเราไม่ใช่ เราไม่ใช้กลุ่มนี้ เราพยายามอย่าไป คือมันจะทำให้ผมเป๋ ชีวิตผมจะเป๋อะไรประมาณนั้น คืออย่างเช่นมันจะเป็นอัตโนมัติเลยว่าพอมีอันนี้ปุ๊บ ต้องมีอันอื่นต่อ แล้วเราก็เช็คจากภาพรวมทั้งหมด ทำไมบ้านเราถึงมีคดีฟอกเงินเยอะรู้ไหม ก็เพราะว่าวัตถุนั้นแหละ ถ้าไม่ไปทำตรงนั้น อยู่แบบพอเพียงหรืออยู่แบบประคองชีวิต ผมว่ามันก็จะไม่มีเหตุการณ์ตรงนี้มาเยอะ ลองตัดออกบ้าง

คากิ น่ารักมากเขาเปลี่ยนชีวิตคุณเลย ?
แจ็ค แฟนฉัน : เปลี่ยนมากครับ เปลี่ยนในที่นี้คือ ผมซัพพอร์ตภรรยาและลูกมากๆ เพราะผมเลือกที่จะเป็นผู้นำ แล้วผมก็มีปมตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว แต่ผมไม่โทษใคร เราพยายามจะทำให้มันดีที่สุด เชื่อว่าทุกครอบครัวมีปัญหาหมด แต่เราพยายามจะเลี้ยงครอบครัวให้ไปได้ไกลที่สุด ณ วันนี้คุยกันอาจจะไม่มีปัญหา วันข้างหน้าเราไม่รู้แต่เลือกที่จะโพรเทคความรู้สึกของความเป็นแม่ คนที่เป็นแม่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะว่าถ้าแม่มีความสุข ลูกก็จะมีความสุข เพราะฉะนั้นต้องทำให้แม่มีความสุขก่อนลูกถึงจะมีความสุข ความเป็นผู้หญิงมันละเอียดอ่อน เค้าแบกทุกอย่าง เราอย่าไปเห็นแก่ตัว เราเป็นผู้ชายนะ เพราะฉะนั้นถ้าเลือกที่จะมีครอบครัวหรือใครสักคนหนึ่งมาเติมเต็มแล้ว (น้ำตาซึม) ต้องมีสติให้มากๆ ต้องวางแผนชีวิตให้ดีๆ อย่าไปคิดแค่ว่าช่างมันๆ ไม่ได้ช่วยอะไรให้สังคมมันดีขึ้น เอาแบบง่ายๆเลย เพราะว่าเด็กที่ออกมา หรือเด็กที่มาเจอโลกเขาก็อยากที่จะมีชีวิตที่มีความสุข มีมันสมองที่ดี อย่างน้อยไม่บังคับลูก อยากเป็นเพศไหน ลูกอยากทำอาชีพอะไร มันคือความสุขของลูก เพราะว่าเรามองว่าเมียเราเลือกแล้วที่จะให้เกียรติเรา ต้องให้เกียรติเมียเรามากขึ้นกว่าเดิม

เป็นทั้งพ่อดีเด่นและผัวดีเด่นแล้วตอนนี้ ?
แจ็ค แฟนฉัน : คนอาจจะไม่ค่อยชอบนะว่าแบบคนอาจจะบอกปลอม

แล้วแคร์ไหมวันนี้ ?
แจ็ค แฟนฉัน : ก็ถ้าคนพูดก็อาจจะแคร์นิดๆ

พี่ว่าคุณเป็นมนุษย์ที่ครบองค์นะ ครบองค์เลย ตลกก็มี สั่งได้ด้วย ตลกมุกมาได้หมด แต่ในเวลาเดียวกันก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจัง ไม่ได้บอกว่าเครียด หมายถึงว่ารู้ว่าต้องการอะไรกับชีวิต ?
แจ็ค แฟนฉัน : ถ้าผมโตผมยังมาเล่นมุกหยาบคาย คนมาดูผมในช่องคุณวู้ดดี้ ที่ไม่ชอบผมในเรื่องของการหยาบคาย นี่คือตัวตนผม แต่จริงๆแล้วเวลาผมไปเล่นตลกไปออกช่องอื่น ถ้าผมไม่เล่นตลกเขาไม่จ้างผม ไม่ตลกในที่นี้คือไม่หยาบคาย คนจะมองว่าถ้าหยาบคายแล้วจะตลก จริงๆผมก็อึดอัด เพราะคือถ้าไม่เล่นไม่ได้ ผมก็จะไม่มีเงินเลี้ยงครอบครัวแค่นั้นเอง

สามารถติดตาม Woody FM ได้ที่ช่องทาง Podcast : WOODY FM , Facebook: Woody, Youtube: Woody ทุกวันพุธ เวลา 18.00 น.
คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=jZJLuv20ZTw
อ่ำ-จอย เอาผิดมือมืดปล่อยเฟคนิวส์ให้ร้าย แอลลี่ลูกสาวตั้งครรภ์
เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ที่บก.ปอท. นายอัมรินทร์ นิติพน นักร้อง นักแสดงชื่อดัง พร้อมด้วย น.ส.อัจฉรียา อังคสุวรรณศิริ น.ส.อชิรญา นิติพน หรือ แอลลี่ และทีมทนายความ เดินทางเข้าพบพ.ต.อ.สุพจน์ พุ่มแหยม ผกก.2 บก.ปอท และพนักงานสอบสวนบก.ปอท. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีและทำการสืบสวนสอบสวนเอาผิดผู้ใช้บัญชี TikTok ซึ่งมีหลายบัญชีที่โพสต์คลิปและข้อความในลักษณะเฟคนิวส์ กล่าวหาในทำนองว่า น.ส.แอลลี่ ได้ตั้งครรภ์ อีกทั้งทางครอบครัวให้การสนับสนุน อย่างไรก็ตามทางพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำพร้อมกับรับเรื่องราวไว้เพื่อดำเนินการตรวจสอบหาผู้กระทำความผิดตามกฏหมายต่อไป #แอลลี่ #สยามดารา
“เทย์เลอร์ สวิฟต์” ประกาศหมั้น “ทราวิส เคลซี” แฟนเพลงทั่วโลกแห่ยินดี!!
เรียกว่าทำให้แฟนเพลงและแฟนกีฬา NFL ฮือฮาอีกครั้งเมื่อล่าสุด 26 ส.ค.2025 "เทย์เลอร์ สวิฟต์"( Taylor Swift )นักร้องสาวชื่อดังระดับโลก และ "ทราวิส เคลซี" นักอเมริกันฟุตบอลชื่อดัง ประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการแล้วและวางแผนจะแต่งงานกัน หลังจากคบหาดูใจกันมา 2 ปี

โดย เทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้ประกาศผ่านอินสตาแกรมว่า เธอได้หมั้นหมายกับ ทราวิส เคลซี แฟนหนุ่มนักอเมริกันฟุตบอลแล้ว โดยระบุว่า “ครูสอนภาษาอังกฤษกับครูพละของพวกคุณกำลังจะแต่งงานกัน” พร้อมเปิดภาพวินาทีที่เคลซีคุกเข่าขอแต่งงานในสวนดอกไม้

Cr. ig : @taylorswift
#taylorswift #เทย์เลอร์สวิฟต์ #สยามดารา
ไขข้อสงสัย! กินเนื้อเสี่ยงมะเร็งจริงไหม กินเนื้อช่วยรักษาอาการซึมเศร้าและไบโพลาร์? แล้วกินแบบไหนอยู่ได้ยืนยาว
On The Way With Chom สัปดาห์นี้พบกับ “หมอหนึ่ง Healthy Hero หรือ นพ. ธวัชพงศ์ สวัสดิ์กิจไพโรจน์” ที่มาเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการบริโภคเนื้อสัตว์ กินเนื้อช่วยรักษาอาการซึมเศร้าและไบโพลาร์จริงไหม? ไขทุกข้อสงสัยเกี่ยวกับ Animal-Based Diet ที่สายสุขภาพอยากรู้ พลิกความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับการกินเนื้อแล้วเสี่ยงมะเร็ง? คนกินเนื้อ VS คนกินผัก ใครฉลาดกว่า?

วันนี้จะมาคุยเรื่อง Animal Base Diet ต้องถามก่อนว่าส่วนตัวคุณหมอเป็นไดเอตสายไหน ?
หมอหนึ่ง : จริงๆ ผมเน้นการกินเนื้อสัตว์แต่ว่ายังกินพืชอยู่บ้าง โดยเฉพาะพวกที่เป็นผักกับผลไม้ แต่ว่าจำกัดในปริมาณที่เหมาะสม

คุณหมอทานโปรตีนวันละกี่กรัม ?
หมอหนึ่ง : กิน 1-1.6 เท่าของน้ำหนักตัว ผมน้ำหนัก 70 นะครับ เพราะฉะนั้นก็จะกินประมาณ 70 ถึงประมาณ 110 กรัมต่อวัน เพราะว่าออกกำลังกาย ต้องสร้างกล้ามเนื้อ ต้องใช้โปรตีนเยอะขึ้น

มาพูดถึง Animal Base เป็นยังไง คุณหมอถึงได้มาสนใจในเรื่องนี้เป็นพิเศษ ?
หมอหนึ่ง : ส่วนตัวผมนอกเหนือเรื่องสุขภาพ สนใจเกี่ยวกับเรื่องของการลดน้ำหนัก เพราะฉะนั้นในเรื่อง Animal Base กับ Plant Base ที่เขาถกเถียงกันมา ส่วนใหญ่ก็คือจะเริ่มมาจากการลดน้ำหนักว่าในช่วงก่อนหน้านี้ จะมีวิธีการลดน้ำหนักหลายแบบ วิธีการกินเพื่อสุขภาพหลายแบบ ถ้าแบ่งจริงๆ แล้วก็จะมีสายที่เขากินเนื้อสัตว์แบบจริงจังๆ เลย เป็นสายแบบเถื่อนๆ เลยก็คือกินแบบ คาร์นิโวร์ ไดเอท (Carnivore Die) แปลว่าสัตว์กินเนื้อ เพราะฉะนั้นสายหนึ่งก็จะกินเนื้อสัตว์เยอะๆ โดยที่ไม่กินพืชเลย แล้วพอเขากินแล้วสุขภาพดีขึ้น ก็จะเชื่อว่าการกินแบบนี้ถูกต้อง แล้วเขาก็จะกินไปตลอด คนกินคีโตที่กินของมันๆ เยอะๆ แล้วผอมลงสุขภาพดี เขาก็จะเชื่อว่าการกินคีโตดี ส่วนในช่วงประมาณ 5-10 ปีที่ผ่านมา ก็จะเริ่มมีสายที่กินแบบแพลนท์เบส แล้วเขากินแล้วสุขภาพดี เขาจะบอกว่าวิธีการกินของเขาดี คราวนี้ก็เลยเกิดการดีเบตกันว่า แบบไหนของใครดีกว่ากัน แน่

คุณหมอก็เลยหันมาสนใจเรื่องนี้ ?
หมอหนึ่ง : ถูกต้องครับ

อยากให้คุณหมออธิบายถึงคำว่า Animal Base มันมีแบบว่าฮาร์ดคอร์ไปเลย หรือว่าต้องมีสัดส่วนเท่านี้ถึงจะเรียกว่า Animal Base มันมีกี่สาย ?
หมอหนึ่ง : ถ้าให้แบ่งแบบเข้าใจง่ายๆ เลยแล้วกันนะครับ จะมีอยู่ 3 สาย จะแบ่งตามสัดส่วนที่เรายอมรับได้ว่าจะกินคาร์โบไฮเดรตมากน้อยแค่ไหน เพราะว่าถ้าพูดถึง Animal Base สารอาหารที่เราจะได้จาก Animal หรือได้จากสัตว์จริงๆ ถ้ากินแต่สัตว์อย่างเดียวก็จะได้เป็นโปรตีนกับไขมัน เพราะว่าในสัตว์จะไม่ค่อยมีส่วนที่เป็นแป้งเท่าไหร่ อันที่ 1 ก็จะเป็นเมื่อกี้ที่ผมบอกไปก็คือเป็น คาร์นิวอร์ไดเอต เพราะว่า คาร์นิวอร์ แปลว่าสัตว์กินเนื้อ เพราะฉะนั้นถ้ากินคาร์นิวอร์ไดเอต คือเรากินเหมือนเสือเลย จะกินแต่โปรตีน กินแต่ไขมันจากเนื้อสัตว์ แต่ว่าจะไม่กินพวกที่เป็นพืชเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นถามว่ากินผักไหมไม่กิน ผลไม้กินไหมไม่กิน

ลำไส้จะเป็นยังไง ?
หมอหนึ่ง : จุลินทรีย์ในลำไส้ของแต่ละคนที่เขากินแต่ละแบบ มันจะปรับตัวไปตามสิ่งที่เขากินครับ อันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจนะครับ ระบบนิเวศในลำไส้เขาก็จะเป็นอีกแบบไปเลย สุดโต่งเลย แบบที่ 2 คือ คีโตเจนิก ไดเอต สายนี้จริงๆ ที่มาแต่ก่อนมันเกิดมาจากการที่เขาพยายามจะทำยังไงก็ได้ให้รักษาเด็กที่เป็นลมชัก เขาค้นพบว่า การที่เรากินคีโตเจนิก ไดเอต มันช่วยรักษาเด็กที่เป็นลมชักได้ ให้อธิบายก็คือ คีโต มาจากคำว่า คีโตน เป็นสารชนิดหนึ่งที่เกิดจากการสลายไขมันในร่างกายออกมาแล้วเป็นพลังงาน เจนิกแปลว่าการสร้าง เพราะฉะนั้นคีโตเจนิก ไดเอตเลยเป็นการกินที่เน้นการสร้างสารที่เป็น คีโตน

แล้วคนที่เขาเป็นลมชักคือแปลว่าไม่มีคีโตนออกมา ?
หมอหนึ่ง : ไม่ใช่ครับ คือเขาเกิดจากการสังเกตว่าถ้าคนที่เป็นลมชัก ได้ทำ Fasting การทำ Fasting จะเกิดสารที่เป็นคีโตนออกมาด้วยนะครับ แล้วจะอาการลมชักจะดีขึ้น แต่เราไม่สามารถที่จะอดอาหารแล้วทำ Fasting ยาวๆ เพื่อให้ลมชักดีขึ้นได้ตลอด เพราะฉะนั้นเขาก็เลยจะมีวิธีอื่นไหมที่สามารถสร้างคีโตนได้ด้วย เพราะฉะนั้นวิธีอีกวิธีหนึ่งก็คือ ถ้าเราไม่ทำ IF เราตัดที่เป็นน้ำตาล ตัดที่เป็นแป้งออก ร่างกายก็สลับระบบพลังงานไปใช้ไขมัน ทำให้เกิดสารที่เป็นคีโตนตัวนี้เกิดขึ้นมา สมองก็ใช้พลังงานจากคีโตนได้ แล้วเขาพบว่า อาการลมชักดีขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นสัดส่วนของคนที่กินคีโตจริงๆ ก็คือจะเน้นไขมันเป็นหลัก แล้วก็ตัดน้ำตาลออก ตัดแป้งออก แต่ว่าความเข้าใจผิดอย่างหนึ่งของคนที่เขากินคีโตสมัยก่อนๆ เลยก็คือ เห็นเขากินหมู 3 ชั้น ฉันคิดว่ามันคือการกินหมู 3 ชั้นแน่เลย คือคีโต ไม่ใช่ จริงๆ คีโตคือตัดแป้งตัดน้ำตาล แต่ถ้าจะเฮลตี้จริงๆ เราจะยอมรับให้กินคาร์โบไฮเดรตได้ในปริมาณที่ไม่เกินประมาณ 20 กรัมต่อวัน ไม่เกินข้าว 1 ทัพพี ผักได้แต่ว่าต้องเป็นผักที่ไม่ใช่ผักหัว เช่น ข้าวโพด เผือก มัน ฟักทอง พวกนี้มันจะมีแป้งนะครับ เพราะฉะนั้นก็ยังได้ใยอาหารด้วย เราจะเรียกว่าเป็น Healthy คีโต คือข้าวปกติเรากินมื้อหนึ่ง 2 ทัพพี วันหนึ่งกิน 6 ทัพพี แต่อันนี้แบบรวมทั้งวัน 1 ทัพพีไม่เกิน

แล้วมีอีกไหม ?
หมอหนึ่ง : แบบที่ 3 อันนี้จะเป็นแบบที่ค่อนข้างยืดหยุ่นหน่อย คนไทยน่าจะทำง่าย ก็คือเป็น โลว์คาร์บ ไฮโปรตีน แสดงว่าแบบแรกที่เป็นคาร์นิวอร์ ไดเอตไม่กินเลย แบบที่ 2 คือยังยอมกินจากพวกที่เป็นใยอาหารบ้าง แบบที่ 3 คำว่าโลว์คาร์บในที่นี้ เราอาจจะกินสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้นมานิดหนึ่งอาจจะประมาณ 20-100 กรัมต่อวัน แล้วไฮโปรตีนก็อาจจะได้จากพวกเนื้อสัตว์ นม ไข่ เป็นส่วนใหญ่ แต่เราอาจจะไม่สามารถไฮโปรตีนจากพวกที่เป็นธัญพืชได้ เพราะว่าจริงๆ ในธัญพืชก็ยังมีส่วนที่เป็นคาร์โบไฮเดรตอยู่ ถ้าเรากินแต่คาร์โบไฮเดรตเยอะๆ ก็จะไม่ใช่โลว์คาร์บ ไฮโปรตีน

จะมีกลุ่มที่เชื่อว่าการกินเนื้อสัตว์เยอะมันเป็นปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของโรคมะเร็ง ตรงนี้มันจริงไหม ?
หมอหนึ่ง : จริงๆ นอกจากการที่เขาดีเบตเรื่องมะเร็งนะ ยังดีเบตเรื่องโรคหัวใจว่ากินเนื้อสัตว์เยอะเป็นโรคหัวใจ กินเนื้อสัตว์เยอะเป็นโรคมะเร็ง ขออธิบายทีละอันแล้วกันนะครับ ถ้ากินเนื้อสัตว์เยอะแล้วเป็นโรคมะเร็ง ในโรคมะเร็งเมื่อ 10 ปีที่แล้วเขามีการรวบรวมงานวิจัย แล้วก็มีการสรุป Classify ออกมาว่าอะไรบ้างที่เป็นอาหารที่ก่อมะเร็งแน่ๆ กรุ๊ปที่ 1 เลยที่เป็นสารก่อมะเร็งแน่ๆ ก็คือพวกที่เป็น อาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน นะครับ พวกนี้มีการเอาเนื้อสัตว์มาแล้วก็ทำให้เขาสามารถอยู่ได้นานขึ้น โดยการใส่สารที่ชื่อว่าไนเตรตเข้าไป ช่วยทำให้กันบูดก็ได้ ทำให้เป็นสารที่เนื้อแดงขึ้นก็ได้นะครับ เพราะฉะนั้นตรงเนี้ยเป็นอันที่ 1 แต่อันที่ดีเบตอยู่ในปัจจุบันจริงๆ คืออันที่ 2 กรุ๊ป 2A คือตัวที่เป็นเนื้อแดง ถ้าคุณกินเนื้อแดง เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว คุณมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งนะ แต่ในที่เขาสรุปกันมา เขียนว่าต้องเป็นเนื้อแดงที่ผ่านการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เพราะฉะนั้นถามว่าจริงๆ แล้วเนื้อสัตว์เป็นตัวที่ทำให้เป็นโรคมะเร็งหรือเปล่า คำถามคือ ถ้าสมมุติผมถามว่า กินแอลกอฮอล์แล้วใส่น้ำแข็งแล้วเป็นตับแข็ง จะโทษน้ำแข็งไหม ถ้าเรากินน้ำอัดลมใส่น้ำแข็งแล้วเป็นเบาหวาน แสดงว่าน้ำแข็งไม่ดีหรือเปล่า อาจจะไม่ใช่จริงๆ ตัวเนื้อสัตว์อาจจะไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาอาจจะเกิดจากการที่คุณเอาเนื้อสัตว์ไปผ่านความร้อนสูงหรือเปล่า

อย่างงี้เราต้องกินเนื้อดิบเหรอ ?
หมอหนึ่ง : เนื้อดิบจริงๆ ก็มีทั้งข้อดีข้อเสียนะครับ ถ้าเป็นข้อดีเลยคือ สารอาหารไม่ถูกชะล้างออกไป เพราะว่าอะไร เพราะว่าไม่ผ่านความร้อน แต่ข้อเสียก็มี ไข่ดิบเคยมีคนกินก็จะอาจจะได้เชื้อโรคท้องเสียเป็นซัลโมเนลลา แต่ถ้าสมมุติว่ากินหมูดิบแล้วหูดับ หรือที่น่ากลัวที่สุด คือกินเนื้อวัวดิบในนั้นจะมีพวก พยาธิตัวตืด ถ้าขึ้นสมองก็บางคนก็มาด้วยอาการชัก หรือบางคนปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไปเอ็กซเรย์ เห็นพยาธิเต็มกล้ามเนื้อก็มีครับ อย่างที่เขาบอกว่าเวลาเราไปกินปิ้งย่างแล้วมีส่วนที่เป็นดำๆ ที่เกิดจากความร้อน ตรงนั้นแหละครับ ไอ้ตัวนั้นแหละคือตัวที่เกิดก่อให้เกิดมะเร็ง

แล้วถ้าเราตัดตรงดำๆ ออก ?
หมอหนึ่ง : ก็ยังพอกินได้ แต่ก็ถ้าถามว่ากินแบบไหนดีที่สุด ด้วยความที่งานวิจัยเขาก็ทำอย่างงี้ต่อไปเรื่อยๆ ดีที่สุดก็คือกินข้อที่ 1 กินอาหารให้หลากหลาย กินเนื้อแดงบ้าง กินเนื้อขาวบ้าง แล้วก็อันที่ 1 ที่เขาจัดไว้เป็นกรุ๊ปแรกเลยก็คือ อาหารแปรรูป อันนี้ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยงดีกว่า เพราะยังไงเราก็รู้แน่ๆ ว่าเขาใส่สารเคมี แล้วก็มะเร็งที่สัมพันธ์จริงๆ นะครับกับอาหารกลุ่มนี้ ไม่ใช่ทุกมะเร็ง แต่มะเร็งที่เขาบอกว่าสัมพันธ์มากที่สุดเลยคือ มะเร็งลำไส้ เพราะฉะนั้นมะเร็งลำไส้ก็จะเกิดจากการที่การขับถ่ายผิดปกติ ทำยังไงให้ท้องเราไม่ผูกอาจจะกินใยอาหารเพิ่มได้ไหม เราไม่กินคาร์บ แต่เราอาจจะกินผักได้ไหม เพื่อให้อาจได้คาร์บน้อยๆ แต่ว่ายังมีใยอาหารอยู่ ทำให้ลำไส้เรายังขับถ่ายได้ดี จุลินทรีย์ในลำไส้เรายังแข็งแรง

วิธีที่เหมาะในการปรุงอาหารให้สุก ควรจะเป็นยังไง ?
หมอหนึ่ง : ใช้ความร้อนไม่สูง แล้วก็ผ่านความร้อนน้อยๆ การทอดใช้ความร้อนสูง อาจจะเป็นการ ต้ม การนึ่ง แบบนี้เรารับได้

แล้วปิ้งย่าง ?
หมอหนึ่ง : ปิ้งย่าง ถ้าส่วนตัวจริงๆ ผมก็ยังทานนะ เพราะว่าอาหารจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องสุขภาพอย่างเดียว มันเป็นเรื่องความสุขด้วย แต่เราแค่ไม่ได้ทานแบบนี้ทุกวัน คือถ้าเป็นยุคแต่ก่อนเราจะเริ่มมาจากการที่กินพืชผัก แล้วก็เริ่มมาล่าสัตว์นะครับ แล้วก็เริ่มมาปรุงโดยการใช้ไฟ แต่ยุคปัจจุบันมันไม่ใช่แค่นั้น มันเป็นยุคของ Ultra Processed Food คือมีการผ่านกระบวนการเยอะแยะไปหมด ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นปัญหามากกว่าการใช้ไฟด้วยซ้ำ

เขาบอกว่ากินเนื้อสัตว์เยอะเสี่ยงโรคหัวใจเพราะอะไร ?
หมอหนึ่ง : สิ่งที่เขากลัวจริงๆ จากการกินเนื้อสัตว์แล้วสิ่งที่พืชไม่มี มันคือสิ่งที่เรียกว่า คอเลสเตอรอล ซึ่งคุณหมอทุกคนหลายๆ คนเดี๋ยวนี้ก็เริ่มตื่นตัวเรื่องคอเลสเตอรอลนะครับ ถ้าเป็นงานวิจัยที่เป็นต้นตำรับเลยประมาณปี 1948 -1950 ก็คือประมาณ 70 80 ปีแล้ว ตอนนั้นทำไมคนเป็นโรคหัวใจเยอะ แล้วมันเกิดจากอะไร เจาะเลือดไปพบว่าคนที่เป็นโรคหัวใจคอเลสเตอรอลสูง แล้วในผนังหลอดเลือดก็มีคอเลสเตอรอลอยู่ด้วย เขาเลยเริ่มอนุมานก่อนว่าคอเลสเตอรอลเป็นสาเหตุหรือเปล่า ซึ่งจริงๆ มันอาจจะเป็นสาเหตุหรือไม่เป็นสาเหตุก็ไม่รู้ แต่มันมีความสัมพันธ์กันเลยคิดแบบนั้น แต่ช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมานะครับ เขาบอกว่าเราคุมอาหารที่คอเลสเตอรอลสูง แต่ทำไมคนที่เป็นโรคหัวใจไม่ลดลงเลย งานวิจัยก็เลยเริ่มตรวจตัวอื่นเพิ่มว่ามันมีตัวอื่นอีกไหมที่น่าจะมีความสัมพันธ์ ซึ่งในไทยก็ทำนะครับมีการเก็บข้อมูลคนประมาณ 3,000 คน แล้วก็ติดตามไปเรื่อยๆ ว่าคอเลสเตอรอลสูง HDL เป็นยังไง ไตรกลีเซอไรด์เป็นยังไง ว่ามันมีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจไหม แล้วเขาพบว่า Total คอเลสเตอรอลกับ LDL ที่สูงแทบจะไม่ได้สัมพันธ์กับการเป็นมะเร็ง ไม่ได้สัมพันธ์กับการเป็นโรคหัวใจ แต่ตัวที่สัมพันธ์มากกว่าคือ ไตรกลีเซอไรด์ที่สูงและ HDL ที่ต่ำ ซึ่งพอเป็นแบบนี้คนก็เลยคิดว่าแล้วทำยังไงแบบ HDL เราถึงจะสูง มันมาคู่กันนะครับ เวลาคนเรา HDL ต่ำ ไตรกลีเซอไรด์มันมักจะมักจะสูง ซึ่งตัวไตรกลีเซอไรด์มันคือไขมันที่เป็นพลังงานสะสม พูดง่ายๆ ก็คือคนอ้วน มักจะมีไตรกลีเซอไรด์สูงแล้วก็ HDL ต่ำ เพราะฉะนั้นทำไงให้ HDL เราสูงขึ้นก็ต้องลดความอ้วน HDL ก็จะสูงขึ้นโดยธรรมชาติ โดยที่เราอาจจะยังไม่ต้องกินอาหารเสริมก็ได้

Animal Base เหมาะกับใคร ?
หมอหนึ่ง : จริงๆ ต้องบอกว่าเหมาะกับทุกคน ยกเว้นคนที่มีโรคประจำตัวบางโรคที่ไม่เหมาะกับการกิน Animal Base จริงๆ เช่น คนที่เป็นโรคไต ต้องอธิบายว่าบางคนมักจะเข้าใจผิดว่ากินโปรตีนเยอะแล้วเดี๋ยวเป็นโรคไต จริงๆ การกินโปรตีนเยอะไม่ได้ทำให้เป็นโรคไตถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสม แต่คนที่เป็นโรคไตแล้วต้องจำกัดการกินโปรตีนด้วยเหตุผลที่ว่าไตของคนเราทำหน้าที่หลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นคือการกำจัดของเสียและการควบคุมสมดุลของการเป็นกรดเป็นเบสในร่างกาย เขาพบว่าการที่เรากินอาหารที่มาจากเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ จะทำให้ภาวะในเซลล์มีแนวโน้มที่จะเป็นกรด เพราะฉะนั้นคนที่เป็นโรคไตแล้ว การที่เขาควบคุมสมดุลความเป็นกรดในร่างกายเขาจะทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นกรดก็จะค้างอยู่ในร่างกายทำให้สุขภาพเขาเสีย แต่ถ้าเราเป็นคนปกติแบบนี้ ไม่ได้มีโรคประจำตัว การที่เรากินเนื้อสัตว์เซลล์ของเราเป็นกรดมากขึ้น ร่างกายจัดการได้ไหม จัดการได้เพราะฉะนั้นคนทั่วไปกินเนื้อสัตว์ไม่ได้มีปัญหาเลย แต่คนที่เป็นโรคไตอาจจะต้องขยับไปกินที่เป็น Plant Base มากขึ้น

โปรตีนจากพืชช่วยซ่อมแซม หรือว่าช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อ ได้เทียบเท่ากับโปรตีนจากสัตว์ไหม ?
หมอหนึ่ง : เราต้องรู้ก่อนว่ามันจะทดแทนกันได้ไหม คือมันมีความต่างกันยังไงก่อน ถ้าเป็นโปรตีนจากที่เป็น Animal Base เราจะเรียกว่าเป็น Complete โปรตีน Complete คือสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น Complete โปรตีนคือพอเขาย่อยเป็นส่วนที่เล็กที่สุดที่ร่างกายเราต้องการที่เรียกว่ากรดอะมิโนแล้ว มันจะได้เป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วน คำว่าจำเป็นหมายความว่าอะไร จำเป็นหมายความว่า ร่างกายเราสร้างไม่ได้ ต้องได้จากการกินเท่านั้น ถ้าเรากินจาก Animal Base เราจะได้กรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน แต่ถ้าเรากินจาก Plant Base จะเป็น Incomplete โปรตีน หมายความว่าเป็นโปรตีนที่ไม่ได้มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน แต่ถามว่าทดแทนได้ไหม ทดแทนได้แต่คุณจะกินยากขึ้นหน่อยหนึ่ง เช่น ถ้าคุณอยากกินถั่ว คุณอาจจะได้ตัวที่เป็นกรดอะมิโนจำเป็นไม่ครบ คุณต้องกินถั่วบวกข้าว ทดแทนได้แต่ต้องกินหลายอย่างเพื่อให้ได้กรดอะมิโนครบถ้วน

Animal Base Diet เราควรจะต้องกินยังไง ถึงจะเป็นสูตรที่ดีที่สุด ?
หมอหนึ่ง : ขึ้นอยู่กับว่าเรากินอาหารแบบ Animal Base นั้นเพื่อวัตถุประสงค์อะไร แล้วสภาวะร่างกายของเราตอนนั้นต้องการแบบไหน สมมุติว่าตอนนี้เราต้องการกินเพื่อที่จะลดน้ำหนัก ต้องการกินเพื่อที่จะรักษาเบาหวาน สัดส่วนของ Animal Base อาจจะจำเป็นต้องสูงกว่าเพื่อที่จะลดคาร์บที่มาจากตัว Plant Base แต่ถ้าสมมุติว่าตอนนี้เราเป็นคนที่มีสุขภาพดี แล้วรู้สึกว่าเราได้รูปร่างที่เราพอใจ ได้สุขภาพที่เราพอใจแล้ว เริ่มระบบเผาผลาญดีแล้ว เราสามารถกลับไปกินคาร์บเพิ่มขึ้นได้ ก็สามารถสวิตช์จากการกิน Animal Base ไปกิน Plant Base มากขึ้น เช่น อยากได้โปรตีนใน 1 วัน 100 อาจจะเอาโปรตีนจากเนื้อสัตว์ครึ่งหนึ่ง แล้วโปรตีนจากเต้าหู้อีกได้ไหม ได้อีกครึ่งหนึ่งก็สามารถทำได้ เอาจากถั่วอีกสักหน่อยหนึ่งได้ไหมก็สามารถทำได้ แต่เราต้องรู้ก่อนว่าจริงๆ แล้วในอาหารที่เรากิน มันมีสัดส่วนของคาร์โบไฮเดรตด้วยไหม ตอนนั้นเราต้องการคาร์โบไฮเดรตหรือเปล่า

เอาจริงๆ กินผักก็ไม่ได้จะปลอดภัยจากสารพิษในทุกวันนี้ ?
หมอหนึ่ง : ใช่ครับ ถ้าบริโภคมากๆ ก็มีผล จริงๆ ก็ทำให้ร่างกายเกิด การอักเสบในระยะยาว ได้ด้วยนะ มันเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าเราไม่ใช่ผู้ผลิตเป็นผู้บริโภค เพราะฉะนั้นดีที่สุดก็คือ อย่ากินอาหารจำเจ คนที่กินอาหารจำเจก็มีโอกาสที่จะได้สารพิษจากของเดิมๆ ซ้ำๆ แล้วสะสมในปริมาณมาก เพราะฉะนั้นการที่เราสลับไปกินอันนั้นบ้าง อันนี้บ้างจากแหล่งนั้นบ้าง แหล่งนี้บ้าง แล้วก็เลือกให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ว่านี่คือออร์แกนิกที่สุดที่ฉันหาได้แล้วนะ

ซูเปอร์ฟู้ดของ Animal Base คือ ?
หมอหนึ่ง : อาหารที่ดีเยี่ยมควรมาจากอาหารธรรมชาติ ต้องเป็นอาหารที่สารอาหารเยอะแต่แคลอรี่น้อย ก็คือสารอาหารอัดแน่นเลยโดยที่เราได้แคลอรี่ไม่เยอะ แล้วควรจะมีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยซ่อมแซมการอักเสบในร่างกายได้ ซึ่งถ้าเอาที่หาง่ายที่สุดเลยนะครับ ไข่ ราคาไม่แพง แล้วก็เป็นโปรตีนที่ดีที่สุดด้วย แล้วก็ Bone Broth น้ำซุปกระดูก

เคยมีทำวิจัยไหมว่าเด็กที่แบบถูกเลี้ยงมาแบบ Animal Base หรือว่า วีแกน หรือไม่ว่าจะเป็นไดเอตประเภทไหนก็ตามเติบโตมาแล้วฉลาดเท่ากันไหม ?
หมอหนึ่ง : ถ้าเป็นงานวิจัยที่เปรียบเทียบโดยตรงว่า Animal Base ดีกว่า Plant Base จริงไหม Plant Base ดีกว่า Animal Base จริงไหมยังไม่มี แต่ก็มีอันที่สามารถเทียบเคียงได้มีสารบางตัวที่ดีกับการพัฒนาสมองของเด็ก ซึ่งในนมเวลาเขาโฆษณา เขาจะบอกว่ามีสารตัวนี้อยู่เยอะนะ ให้กินแบบนี้สิ ตัวนั้นคือ DHA ซึ่งอธิบายก่อนว่ามันคือ โอเมก้า 3 ที่ส่วนใหญ่เราจะพบในสัตว์โดยเฉพาะปลา ถ้าเราเอาเด็กทารกที่เพิ่งคลอดแล้วกินนมแม่ปกติ กับนมแม่ที่แม่เขาอาจจะได้เสริม DHA เยอะหน่อย แล้วก็ติดตามไปในระยะเวลาสัก 2-3 ปี พบว่าเด็กที่กินนมแม่ที่ได้เสริม DHA มีพัฒนาการ เราอาจจะวัด IQ ยากนะครับ แต่พัฒนาการที่เทียบกันกับเด็ก 2 คน เราจะบอกได้ว่าพัฒนาการของเด็กที่มี DHA ได้จากแม่พัฒนาการเขาดีกว่า แสดงว่าถ้าเรากินอาหารที่เป็น Animal Base แล้วมี DHA ในนั้นสูงน่าจะฉลาดกว่าหรือเปล่านะ แต่เป็นแค่คำอนุมาน เราไม่สามารถบอกได้เพราะไม่มีการทำงานวิจัยเทียบระหว่าง Animal Base กับ Plant Base จริงๆ แต่อันนี้เราพูดในแง่ของโอเมก้า 3

แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยนะเรื่องพันธุกรรมอีก ?
หมอหนึ่ง : ถูกต้องครับ มีทั้ง Genetic มีทั้ง Epigenetic ก็คือการเลี้ยงดู ถ้าเราแฝด 2 คนไปเลี้ยงคนละที่ต่อให้มี Genetic ของความฉลาดเท่ากัน แต่ว่าตัวขึ้นก็อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้

เขาบอกว่าเนื้อสัตว์สามารถรักษาแบบภาวะซึมเศร้า ไบโพลาร์ได้ ?
หมอหนึ่ง : เคยมีการรายงานว่าคนที่กินคีโตเจนิก ไดเอต มีความสามารถในการที่ทำให้ตัวเอง ไม่ได้หมายว่าหายเลยนะครับ อาการดีขึ้นได้ ถามว่ามันทำอย่างนั้นได้ยังไง คือบางทีเราอ่านงานวิจัยหรือแรงงาน เราไม่ใช่แค่เชื่ออย่างเดียวก็ต้องมานั่งคิดก่อน เพราะว่าเขาบอกว่าการที่คนเราเป็นโรคทางใจ ไม่ว่าจะเป็นซึมเศร้า เป็นไบโพลาร์ พวกนี้สัมพันธ์กับ Chronic Inflammation ของสมอง ก็คือมีการอักเสบ ที่เป็นเรื้อรัง เพราะฉะนั้นถ้ามีสารอะไรชนิดหนึ่งที่สามารถลดการอักเสบได้ น่าจะทำให้อาการดีขึ้นได้ ซึ่งสารตัวนั้นที่เราพูดถึงก็คือ EPA เคยได้ยินว่ามี DHA และ EPA พวกนี้เป็นกลุ่มโอเมก้า 3 จะมีทั้งหมด 3 ตัวที่เราพูดกันหลักๆ ก็คือมี ALA EPA แล้วก็ DHA ตัว ALA ส่วนใหญ่เราจะได้จากพวก Plant Base ส่วน EPA และ DHA จะได้จาก Animal Base แต่ตัว ALA ร่างกายเราเปลี่ยน EPA กับ DHA ได้ปริมาณที่น้อยมาก เพราะฉะนั้นเขาเลยบอกว่าแสดงว่าตัว EPA หรือเปล่าที่ทำให้การอักเสบในสมองเรามันลดลง เพราะสมัยนี้เราตรวจการอักเสบในร่างกายได้ ตัวที่เขาตรวจก็คือตัว EPA นี้แหละครับว่าเรามี EPA เยอะหรือน้อย แต่การที่เรากินอาหารที่มาจาก Animal Base เยอะๆ แล้วพึ่งพา Animal Base อย่างเดียวโดยที่ไม่ได้ไฟเบอร์จากพวกพืชผักบ้างเลย กลุ่มนี้โอกาสในการเกิดการอักเสบในร่างกายก็จะมี แล้วทำให้โอกาสที่กระดูกของเรามีโอกาสสูญเสียแคลเซียมได้

เมื่อกี้คุณหมอพูดถึงเรื่องของค่าอักเสบในร่างกาย จะโทษจากการกินเนื้อสัตว์อย่างเดียวก็ไม่ได้ ?
หมอหนึ่ง : ไม่ได้ครับ ถ้าเอาจริงๆ แล้ว 2 ฝั่ง ทั้ง Animal Base กับ Plant Base จริงๆ ลดการอักเสบได้ทั้งคู่ เพราะคนๆ หนึ่งที่ร่างกายอักเสบเยอะอยู่แล้ว พอกิน Animal Base ปั๊บ เขาตัดสิ่งที่เป็นน้ำตาลทิ้ง พอตัดน้ำตาลทิ้ง ร่างกายอักเสบลดลง ส่วนคนที่เขาเป็น Plant Base ที่เป็น Plant Base แบบสุขภาพดีจริงๆ Plant Base แบบนั้น เขาจะไม่กินน้ำตาลเหมือนกัน แล้วก็ไม่กินพวกคาร์บที่แปรรูปมา เพราะฉะนั้นร่างกายของเราลดการอักเสบลงจากการที่เราไม่ได้น้ำตาล ไม่ได้แป้งแปรรูป เพราะฉะนั้นดีที่สุดก็คือพอเราได้จุดที่พอใจ ยังไงก็ต้องกลับไปกินแป้งจาก Plant Base บ้าง แต่ให้เลือกแป้งที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการมา อย่างน้อยขอให้แป้งนั้นมีใยอาหาร สุขภาพเราจะดีใน ระยะยาว

สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.

คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=RbYoAwwOacI&t=1538s
“มารี-หนุ่มคนสนิท” หนีสื่อขึ้นรถหลังพิจารณาคดีเสร็จที่ศาลแขวงพระนครเหนือ คนขับเปลี่ยนรถยนต์มารับ รีบขับออกจากศาล ขณะที่ “มารี” ยังไม่ได้ก้าวขาขึ้นรถ ขณะนี้รอผลคำพิพากษาจากศาล
ภายหลังจากพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ได้นัดหมายให้ น.ส.มารี เบรินเนอร์ อายุ 33 ปี ดาราสาว ที่ปฏิเสธการเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ขณะขับขี่รถหรูเข้ามาที่ด่านตรวจของสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง และ นายอัศม์กรณ์ เพื่อนชายคนสนิท มีพฤติกรรมขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ และมีคลิปปรากฏ ซึ่งให้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน ที่สน.วังทองหลาง และได้นัดหมายสั่งฟ้องทั้ง 2 คน ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ โดยหลังจากที่พนักงานสอบสวนได้มาถึงที่ศาล พร้อมกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พนักงานสอบสวนได้นำสำนวนคดีไปส่งฟ้องที่อัยการแขวงพระนครเหนือ โดยให้ทั้ง 2 คน นั่งรออยู่ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ หลังจากนั้นเมื่ออัยการและพนักงานสอบสวนมาที่ศาลแล้ว ทั้งหมดก็ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนภายในห้องพิจารณาคดี หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้น ทั้ง 2 คน ได้เดินทางออกมาจากอาคารศาล ทางผู้สื่อข่าวได้พยายามเข้าไปสอบถามกับทั้งสองคนโดยเรียกชื่อ “นายบอส” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหา ซึ่งนายบอส ได้หันกลับมาแต่ก็ไม่ได้พูดกับผู้สื่อข่าว ก่อนที่ทั้ง 2 คน จะพยายามรีบเดินขึ้นรถยนต์ ที่มาจอดรอรับอยู่ด้วยความรวดเร็ว โดยขณะนั้น น.ส.มารี ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นรถ แต่คนขับรถก็ได้ขับรถออกไปก่อน ทำให้มีเสียงร้องตกใจของ น.ส.มารี เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าศาล

สำหรับรถยนต์ที่มารับที่ศาล ผู้สื่อข่าวสังเกตว่ามีการเปลี่ยนคันซึ่งต่างจากรถยนต์ที่ไปส่งที่สน.วังทองหลาง ซึ่งก่อนหน้านี้ ที่สน.วังทองหลาง มีรถยนต์ระบบไฟฟ้า ป้ายแดง สีขาว ขับมาส่ง แต่เมื่อขากลับจากที่ศาล เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ยาริส สีขาว มารับ ที่ศาลแทน

อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการพิจารณาคดี ขณะนี้เสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างรอทางเจ้าหน้าที่ของศาลแขวงพระนครเหนือ สรุปผลคำพิพากษาส่งให้สื่อมวลชนอีกครั้งในช่วงบ่าย
“มารี-หนุ่มคนสนิท” หนีสื่อขึ้นรถหลังพิจารณาคดีเสร็จที่ศาลแขวงพระนครเหนือ คนขับเปลี่ยนรถยนต์มารับ รีบขับออกจากศาล ขณะที่ “มารี” ยังไม่ได้ก้าวขาขึ้นรถ ขณะนี้รอผลคำพิพากษาจากศาล
ภายหลังจากพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ได้นัดหมายให้ น.ส.มารี เบรินเนอร์ อายุ 33 ปี ดาราสาว ที่ปฏิเสธการเป่าวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ขณะขับขี่รถหรูเข้ามาที่ด่านตรวจของสถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง และ นายอัศม์กรณ์ เพื่อนชายคนสนิท มีพฤติกรรมขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ และมีคลิปปรากฏ ซึ่งให้เข้ามาพบพนักงานสอบสวน ที่สน.วังทองหลาง และได้นัดหมายสั่งฟ้องทั้ง 2 คน ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ โดยหลังจากที่พนักงานสอบสวนได้มาถึงที่ศาล พร้อมกับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พนักงานสอบสวนได้นำสำนวนคดีไปส่งฟ้องที่อัยการแขวงพระนครเหนือ โดยให้ทั้ง 2 คน นั่งรออยู่ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ หลังจากนั้นเมื่ออัยการและพนักงานสอบสวนมาที่ศาลแล้ว ทั้งหมดก็ได้เข้าสู่กระบวนการไต่สวนภายในห้องพิจารณาคดี หลังจากกระบวนการเสร็จสิ้น ทั้ง 2 คน ได้เดินทางออกมาจากอาคารศาล ทางผู้สื่อข่าวได้พยายามเข้าไปสอบถามกับทั้งสองคนโดยเรียกชื่อ “นายบอส” ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหา ซึ่งนายบอส ได้หันกลับมาแต่ก็ไม่ได้พูดกับผู้สื่อข่าว ก่อนที่ทั้ง 2 คน จะพยายามรีบเดินขึ้นรถยนต์ ที่มาจอดรอรับอยู่ด้วยความรวดเร็ว โดยขณะนั้น น.ส.มารี ยังไม่ทันได้ก้าวขึ้นรถ แต่คนขับรถก็ได้ขับรถออกไปก่อน ทำให้มีเสียงร้องตกใจของ น.ส.มารี เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าศาล

สำหรับรถยนต์ที่มารับที่ศาล ผู้สื่อข่าวสังเกตว่ามีการเปลี่ยนคันซึ่งต่างจากรถยนต์ที่ไปส่งที่สน.วังทองหลาง ซึ่งก่อนหน้านี้ ที่สน.วังทองหลาง มีรถยนต์ระบบไฟฟ้า ป้ายแดง สีขาว ขับมาส่ง แต่เมื่อขากลับจากที่ศาล เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า ยาริส สีขาว มารับ ที่ศาลแทน

อย่างไรก็ตาม สำหรับผลการพิจารณาคดี ขณะนี้เสร็จสิ้นแล้ว และอยู่ระหว่างรอทางเจ้าหน้าที่ของศาลแขวงพระนครเหนือ สรุปผลคำพิพากษาส่งให้สื่อมวลชนอีกครั้งในช่วงบ่าย
"มารี เบรินเนอร์" ดาราสาวชื่อดัง และ หนุ่มคนสนิท ขับรถหรูเข้าด่านไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล์ ล่าสุดได้ประกันตัวแล้ว!
เมื่อเวลาประมาณ 03.20 น. วันที่ 24 ส.ค. พ.ต.ท.จุฑาพงศ์ ชาญดิลกโชติ สว.(สอบสวน) สน.วังทองหลาง รับแจ้งเหตุขับรถเมาสุรา และดูหมิ่น ,ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน , ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ บริเวณจุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม หน้าโชว์รูมรถมอเตอร์เวย์ แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบว่า ผู้ก่อเหตุคือน.ส.มารี เบรินเนอร์ อายุ 33 ปี ดาราสาว และนายอัศม์กรณ์ สิงห์สีกรกุล นักธุรกิจชื่อดัง ส่วนผู้เสียหายคือผู้เสียหาย จ.ส.ต.อุดมศักดิ์ พรหมชาติ ผบ.หมู่.จร.สน.วัง ทองหลาง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ บริเวณถ.ประดิษฐ์มนูธรรม หน้าโชว์รูมรถมอเตอร์เวย์ แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ ที่เกิดเหตุ ต่อมาเวลาประมาณ 03.10 น. ของวันเดียวกัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์อยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ได้มีรถยนต์ ยี่ห้อปอร์เช่ สีเขียว คันหมายเลขทะเบียน สส 5 กทม. โดยมีน.ส.มารี เบรินเนอร์ เป็นผู้ขับขี่ และมีนายอัศม์กรณ์ สิงห์สีกรกุล โดยสารมาด้านข้างด้านหน้า และ มีหญิง ไม่ทราบชื่อสกุลจริง จำนวน 2 คน โดยสารมาด้านหลัง ผ่านมายังจุดตรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงสัญญาณให้หยุดรถเพื่อทำการตรวจวัดปริมาณ แอลกอฮอล์ แต่น.ส.มารี ไม่ยอมลงจากรถ จากนั้นนายอัศม์กรณ์ได้ลงมาจากรถและแจ้งว่า รู้จักกับผู้บังคับบัญชา และแสดงอาการไม่พอใจและได้ต่อว่าด่าทอเจ้าที่ตำรวจ และได้ชี้หน้าและพูด กับผู้เสียหาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายครั้งในทำนองว่า “ ไอ้เหี้ย มึงคือใครไอ้เหี้ย เxx ไม่มี ไอ้สัxx ทุกคนมีมารยาทหมดยกเว้นไอ้เหx.... มึงสน. อะไร... เรื่องของมึงกวนส้นตีน... ไอ้เหXยังไงตัวตัวกับกูปะ ตรงนี้แมนแมนเลย” เป็นต้น จากนั้นระยะเวลาผ่านไปนานพอสมควร น.ส.มารี ได้ลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ น.ส.มารี หลายครั้ง แต่น.ส.มารี ไม่ยินยอมให้ทำการตรวจวัด ถามว่าถ่ายภาพไปทำไมอยากให้เป็นข่าวหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามชี้แจงทำความเ ข้าใจ

ขณะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ น.ส.มารี ทราบว่า การกระทำของผู้ต้องหาเป็นการกระทำความผิดฐาน ขับรถในขณะเมาสุรา แจ้งสิทธิตามกฎหมาย และควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายก่อนประกันตัวออกไปในวงเงินประกัน 20,000 บาท และเจ้าหน้าที่นัดหมายส่งฟ้องศาลแขวงรัชดา วันจันทร์ที่ 25 ส.ค. นี้

ส่วนหนุ่มนักธุรกิจ เจ้าหน้าที่ลงบันทึกประจำวัน แจ้งข้อหาไว้ว่ามีพฤติกรรมดูหมิ่นและขัดขวางเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ ก่อนปล่อยตัวชั่วคราวไป และให้ พ.ต.ท.จุฑาพงษ์ ชาญดิลกโชติ สอบสวนหัวหน้าตำรวจที่ตั้งด่านตรวจและลูกน้องในที่เกิดเหตุ เพื่อทราบถึงพฤติกรรมของหนุ่มนักธุรกิจ เพื่อประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
"มารี เบรินเนอร์" ดาราสาวชื่อดัง และ หนุ่มคนสนิท ขับรถหรูเข้าด่านไม่ยอมเป่าวัดแอลกอฮอล์ ล่าสุดได้ประกันตัวแล้ว!
เมื่อเวลาประมาณ 03.20 น. วันที่ 24 ส.ค. พ.ต.ท.จุฑาพงศ์ ชาญดิลกโชติ สว.(สอบสวน) สน.วังทองหลาง รับแจ้งเหตุขับรถเมาสุรา และดูหมิ่น ,ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน , ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ บริเวณจุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ถ.ประดิษฐ์มนูธรรม หน้าโชว์รูมรถมอเตอร์เวย์ แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพมหานคร จากการตรวจสอบว่า ผู้ก่อเหตุคือน.ส.มารี เบรินเนอร์ อายุ 33 ปี ดาราสาว และนายอัศม์กรณ์ สิงห์สีกรกุล นักธุรกิจชื่อดัง ส่วนผู้เสียหายคือผู้เสียหาย จ.ส.ต.อุดมศักดิ์ พรหมชาติ ผบ.หมู่.จร.สน.วัง ทองหลาง

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ บริเวณถ.ประดิษฐ์มนูธรรม หน้าโชว์รูมรถมอเตอร์เวย์ แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ ที่เกิดเหตุ ต่อมาเวลาประมาณ 03.10 น. ของวันเดียวกัน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์อยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ได้มีรถยนต์ ยี่ห้อปอร์เช่ สีเขียว คันหมายเลขทะเบียน สส 5 กทม. โดยมีน.ส.มารี เบรินเนอร์ เป็นผู้ขับขี่ และมีนายอัศม์กรณ์ สิงห์สีกรกุล โดยสารมาด้านข้างด้านหน้า และ มีหญิง ไม่ทราบชื่อสกุลจริง จำนวน 2 คน โดยสารมาด้านหลัง ผ่านมายังจุดตรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แสดงสัญญาณให้หยุดรถเพื่อทำการตรวจวัดปริมาณ แอลกอฮอล์ แต่น.ส.มารี ไม่ยอมลงจากรถ จากนั้นนายอัศม์กรณ์ได้ลงมาจากรถและแจ้งว่า รู้จักกับผู้บังคับบัญชา และแสดงอาการไม่พอใจและได้ต่อว่าด่าทอเจ้าที่ตำรวจ และได้ชี้หน้าและพูด กับผู้เสียหาย และเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายครั้งในทำนองว่า “ ไอ้เหี้ย มึงคือใครไอ้เหี้ย เxx ไม่มี ไอ้สัxx ทุกคนมีมารยาทหมดยกเว้นไอ้เหx.... มึงสน. อะไร... เรื่องของมึงกวนส้นตีน... ไอ้เหXยังไงตัวตัวกับกูปะ ตรงนี้แมนแมนเลย” เป็นต้น จากนั้นระยะเวลาผ่านไปนานพอสมควร น.ส.มารี ได้ลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอทำการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ น.ส.มารี หลายครั้ง แต่น.ส.มารี ไม่ยินยอมให้ทำการตรวจวัด ถามว่าถ่ายภาพไปทำไมอยากให้เป็นข่าวหรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พยายามชี้แจงทำความเ ข้าใจ

ขณะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ น.ส.มารี ทราบว่า การกระทำของผู้ต้องหาเป็นการกระทำความผิดฐาน ขับรถในขณะเมาสุรา แจ้งสิทธิตามกฎหมาย และควบคุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายก่อนประกันตัวออกไปในวงเงินประกัน 20,000 บาท และเจ้าหน้าที่นัดหมายส่งฟ้องศาลแขวงรัชดา วันจันทร์ที่ 25 ส.ค. นี้

ส่วนหนุ่มนักธุรกิจ เจ้าหน้าที่ลงบันทึกประจำวัน แจ้งข้อหาไว้ว่ามีพฤติกรรมดูหมิ่นและขัดขวางเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ ก่อนปล่อยตัวชั่วคราวไป และให้ พ.ต.ท.จุฑาพงษ์ ชาญดิลกโชติ สอบสวนหัวหน้าตำรวจที่ตั้งด่านตรวจและลูกน้องในที่เกิดเหตุ เพื่อทราบถึงพฤติกรรมของหนุ่มนักธุรกิจ เพื่อประกอบการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ปิดตำนานนางรอง !! “วีนา”นางงามใจแกร่งคว้ามงมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2025
แฟนนางงามไม่ต้องลุ้นอีกต่อไป เมื่อนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) จัดการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2025 รอบตัดสิน ที่เอ็มจีไอฮอล์ บราโว่ บีเคเค โดยได้ "นาตาลี เกลโบว่า" มิสยูนิเวิร์ส 2005 และ แมทธิว ดีน มารับหน้าที่พิธีกร

ซึ่งการโชว์ตัวแต่ละรอบทั้งรอบแนะนำตัว รอบชุดว่ายน้ำชุดราตรี เป็นไปอย่างเข้มข้น สาวงามแต่ละนางงัดสเตปไม้ตายออกมาโชว์ให้แฟนๆ นางงามได้กริ๊ดสนั่นฮอลล์ ก่อนที่จะประกาศผู้เข้ารอบจนกระทั่งเหลือ 5 คนสุดท้าย ได้แก่ มิสยูนิเวิร์ส สระบุรี, ปทุมธานี, กรุงเทพมหานคร, ภูเก็ต และ นครศรีธรรมราช

ก่อนที่ทั้ง 5 สาวท็อปไฟว์จะเข้าสู่รอบตอบคำถาม โชว์ความสมาร์ทของสมอง จากนั้นพิธีกรได้ประกาศรายชื่อผู้เข้ารอบสามคนสุดท้ายคือ MUTกรุงเทพมหานคร “แพรววณิชยฐ์ เรืองทอง”,MUTภูเก็ต เดล-นฤมล พิมพ์ภักดี และ MUT สระบุรี “วีนา ปวีนา ซิงห์”

แล้วพิธีกรก็ได้ประกาศว่า เดล-นฤมล พิมพ์ภักดี คว้าตำแหน่ง รองอันดับ 2 และแพรววณิชยฐ์ เรืองทอง ครองตำแหน่ง รองอันดับ 1 ไปครอง
ก่อนจะปิดฉากความตื่นเด่นในปีนี่ลงเมื่อ พิธีกรได้ประกาศว่า “วีนา ปวีนา ซิงห์” คือสาวงามทรงคุณค่าที่คว้ามง มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2025

วีนา-ปวีนา ซิงห์ ถือเป็นนางงามหัวใจแกร่งผู้ไม่เคยยอมแพ้ เพราะครั้งนี้เธอเข้าประกวดมิสยูนิเวิร์ส เป็นครั้งที่ 4 ในชีวิตจนปิดตำนานนางรองลงได้อย่างสวยงาม โดย วีนา-ปวีนา เป็นสาวตาคม ลูกครึ่งไทย-อินเดีย เธอเคยคว้าตำแหน่ง รองชนะเลิศอันดับ 2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2018 ,รองชนะเลิศอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ ปี 2020,และ รองชนะเลิศอันดับ 2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ปี 2023

ซึ่งวีนา - ปวีนา ศึกษาในคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาวิชาภาษารัสเซีย ก่อนจะเดินทางสายประกวดนางงามมาตลอด
#MissUniverseThailand2025
เกือบบ้านแตก! แจ็ค แฟนฉัน บ้างานติดวัตถุนิยม ตอบแล้วตั้งชื่อลูก คากิ พร้อมรับมือคำบูลี่
โดนดราม่ามาตลอดด้วยรูปลักษณ์ ตลกอารมณ์ดี ตั้งแต่วัยเด็ก "แจ็ค แฟนฉัน" บทบาทความเป็นพ่อในชีวิตจริงจะเป็นยังไง ล่าสุดเดินสายมาโปรโมท "Food Truck รัก(ลัก) หมูเด้ง" ที่ตัวเองนั่งแท่นผู้กำกับ ขอเปิดใจอัปเดตชีวิตพ่อลูกอ่อน กับพิธีกร "หนูแหม่ม สุริวิภา" ในรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ที่เปรยว่าเกือบบ้านแตก มีปัญหากับศรีภรรยา "ใบหม่อน กิตติยา" โชคช่วยที่ยังจัดการบาลานซ์ชีวิตครอบครัว ปรับตัวได้ทัน

หลายคนอยากรู้บทบาทความเป็นพ่อของแจ็ค?
"ปกติถ้าผมไม่ได้อยู่ในจอทีวี ผมก็เป็นคนปกติทั่วไป แต่ก็จะมีคนกวนๆ เงียบๆบ้างตามภาษา ตามอายุ พอมันโตขึ้นมันก็ไม่ได้เหมือนตอนแฟนฉัน ตอนแฟนฉันนั้นเรายังเป็นเด็ก พอโตขึ้นก็ต้องวางตัวใหม่ วางตัวให้คนอื่นดู วางตัวให้คนเชื่อถือ และผมก็เชื่อว่าอันนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ยากมากๆ กว่าเราจะผ่านมาได้มันต้องใช้เวลา แล้วก็ให้กำลังใจเนี้ยเป็นสิ่งสำคัญเลย มันอาจจะดูเหมือนว่าทำไม่ได้แต่พอตัวเลขจะเข้า 40 แล้วมันจะเป็นของ มันเอง

เราวางไว้ว่าตัวเองจะเป็นคุณพ่อแบบไหน?
"ผมเป็นคุณพ่อไม่ดี คุณพ่อที่ไม่ดีไม่ใช่คำเลวร้ายนะ คุณพ่อที่ไม่ดีในที่นี้คือเป็นคนที่ไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ผมเคยเกือบเสียครอบครัวไปเร็วๆนี้ หมายถึงว่าภรรยาผมรู้สึกว่าผมเลือกงานมากกว่าครอบครัว เค้ารู้สึก ผมอยากจะบอกว่าอย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ เพราะครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ต่อชีวิตเราในวันข้างหน้า"

แล้วเริ่มวางตัวเองใหม่หรือยังไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ครอบครัว?
"เริ่มแล้วครับ เจอจุดแล้วครับ เร็วๆนี้"

ปรับความเข้าใจ ภรรยาเข้าใจหรือยัง?
"เข้าใจแลัวครับ ที่ผ่านมาเค้าก็ให้โอกาสหลายครั้ง จนรู้สึกว่าครั้งนี้มันต้องพอแล้ว ก็คือกับการบาลานซ์เวลาให้เป็น เค้าไม่ได้มากดดันเรื่องการรับ งาน"

เหตุการณ์ในครั้งไหนทำให้เรารู้ว่าเราต้องจัดการกับเวลา?
"อย่างเช่น อย่าไปบ้ากับวัตถุเยอะ ผมเคยบ้าวัตถุจนเกือบเสียมนุษย์ ที่เค้ามีตัวตนจริงๆ โดยที่เค้าดีกับเรามากๆ และเราไปเอางานเยอะเพื่อมีวัตถุ ก็เลยมาบาลานซ์ใหม่งั้นเราเอาพอดีเรากัน คำว่าพอดีมันดีกับทุกคนเสมอ"

แล้วตอนนี้เราพอดี พอหรือยัง?
"กำลังเริ่มอยู่ครับ กำลังพอดี เพราะเรารู้สึกว่าต้องพอดี เพราะเรามีลูก เด็กมันคืออนาคตของชาติ ควรจะให้ซัพพอร์ต ควรจะให้เวลา เค้า"

แล้วตั้งชื่อให้ลูกว่า คากิ เวลาโตขึ้นไปเรียน มันจะกลายเป็นเรื่องบูลี่มั้ย?
"มันไม่เกี่ยวครับ คือชื่อมันคือความตั้งใจของแม่ ที่เค้าอุ้มท้องขึ้นมา เค้าคิดดีแล้วว่าคำว่า คากิ ภาษาญี่ปุ่นมันแปลว่ากุญแจ แม่เค้าคิดมันมีความหมายของเค้า ตอนนั้นแม่เค้าอุ้มท้องอยู่ถ้าเราไปขัดในสิ่งที่เขาตั้งใจมันจะกระทบกับลูก เพราะฉะนั้นก็ให้สิทธิ์เค้าเลือกไป"
ศึกแห่งความงาม! ส่อง 5 ตัวเต็ง มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2025 มงจะลงที่ใคร?
เวที Miss Universe Thailand ในปีนี้กลับมาพร้อมความร้อนระอุที่ทวีคูณ เมื่อเหล่าสาวงามทั่วประเทศต่างงัดศักยภาพและความโดดเด่นของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ ท่ามกลางผู้เข้าประกวดมากความสามารถ มี 5 สาวงามที่ฉายแววโดดเด่นและถูกจับตามองจากแฟนนางงามทั่วประเทศในฐานะ "ตัวเต็ง" ที่มีโอกาสคว้ามงกุฎอันทรงเกียรติไปครอง มาร่วมส่องความงามและความพร้อมของพวกเธอ ว่าใครกันที่จะเป็นผู้หญิงที่เปล่งประกายที่สุดบนเวทีแห่งนี้!

การกลับมาของผู้ท้าชิง วีนา-ปวีนา ซิงห์ Miss Universe Saraburi 2025 "วีนา-ปวีนา ซิงห์" 29 ปี เธอคือผู้เข้าประกวดที่มีประสบการณ์และความพร้อมสูง ด้วยดีกรีรองอันดับ 2 Miss Universe Thailand 2020 และ Top 21 Miss Universe 2020 ทำให้การกลับมาในนามตัวแทนจังหวัดสระบุรีครั้งนี้ สร้างความฮือฮาและได้รับการคาดหวังจากแฟนนางงามอย่างล้นหลาม วีนามีความโดดเด่นในด้านรูปร่าง ทักษะการเดินแบบที่สง่างาม และความสามารถในการสื่อสารที่เฉียบคม การกลับมาพร้อมความมุ่งมั่นที่แรงกล้า ทำให้เธอเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่ถูกจับตามองมากที่สุดในปีนี้

ความงามสง่าแบบอินเตอร์ พลอย-อมองดีน กลาสเซ่ต์ Miss Universe Pathum Thani 2025 "พลอย-อมองดีน กลาสเซ่ต์" อายุ 24 ปี สาวงามลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศสจากปทุมธานี สามารถพูดได้ถึง 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส จบการศึกษาจาก Bachelor of Business and Administration from ESSEC Business School โดยมีผลคะแนนเต็มทุกวิชา โดยพลอยยังเคยเป็นศิลปินฝึกหัดโปรเจ็กต์ Kamikaze Next ของค่าย Kamikaze ผลงานเพลงเป็นของตัวเองอย่าง “กล้ามั้ย” (N.E.X.T)ทั้งยังเคยร่วมประกวดบนเวที “The Star Idol” ก่อนมีผลงานการแสดง ภาพยนตร์ ไอ้ไข่ เด็กวัดเจดีย์ ละครเรื่อง วาสนารัก, หมอลำซัมเมอร์ และดุจเล่ห์ดาวลวง ด้วยรูปร่างที่สูงสง่า บุคลิกที่มั่นใจ และเสน่ห์ที่เย้ายวน ทำให้เธอเป็นที่สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น พลอยมีประสบการณ์ในวงการนางแบบ ทำให้เธอมีความเป็นมืออาชีพในการโพสท่าและการเดินแบบ อีกทั้งยังมีความสามารถทางด้านภาษาที่โดดเด่น ทำให้เธอเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งที่น่าจับตามองบนเวที MUT 2025

ม้ามืดที่พร้อมสร้างเซอร์ไพรส์ เดล-นฤมล พิมพ์ภักดี Miss Universe Phuket 2025 "เดล-นฤมล พิมพ์ภักดี" อายุ 22 ปี ตัวแทนจาก ทีมภูเก็ต บการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ ปัจจุบันเธอเป็นพนักงานต้อนรับภาคพื้นดิน (Ground staff) ของสายการบิน Qatar Airways และ ZIPAIR Tokyo

แม้เดลจะมีประสบการณ์ในการประกวดมาไม่เยอะ แต่ด้วยความงามที่เฉิดฉาย บุคลิกที่มั่นใจ บวกกับการตอบคำถามที่ตรงประเด็นและแสดงทัศนคติที่น่าสนใจ ทำให้เริ่มเป้นที่จับตามองของแฟนนางงามในฐานะม้ามืดที่น่าจับตา มอง

การกลับมาของตำนาน แพรว-แพรววณิชยฐ์ เรืองทอง Miss Universe Krungthep Maha Nakhon 2025 ในวงการนางงาม มีไม่กี่คนที่ตัดสินใจกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหลังจากคว้าตำแหน่งใหญ่ระดับโลกมาแล้ว แต่ แพรว-แพรววณิชยฐ์ เรืองทอง ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่แรงกล้าด้วยการกลับมาสู่เวที Miss Universe Thailand อีกครั้งในฐานะตัวแทนจากกรุงเทพมหานคร การกลับมาของเธอไม่ใช่เพียงแค่การลงประกวด แต่คือการประกาศกร้าวว่าเธอพร้อมแล้วที่จะคว้ามงกุฎที่เคยเกือบจะเอื้อมถึง แพรวเป็นที่รู้จักในฐานะ รองอันดับ 1 Miss Universe Thailand 2022 และที่สำคัญคือเธอคือ Miss Intercontinental 2022 การคว้าตำแหน่งระดับโลกนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถและความพร้อมของเธอในทุกด้าน ประสบการณ์ที่สั่งสมจากการเป็นนางงามระดับนานาชาติทำให้เธอมีความเข้าใจในเวทีประกวดอย่างลึกซึ้ง และแน่นอนว่าความกดดันไม่ได้ทำให้เธอท้อถอย แต่กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้เธอก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง การกลับมาชิงมงของเธอในครั้งนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและประสบการณ์ที่มากขึ้น แพรวมีความโดดเด่นในด้านความงามแบบไทยที่สง่า ทักษะการเดินแบบที่เป็นเลิศ และความสามารถในการสื่อสารที่น่าประทับใจ การกลับมาพร้อมเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้เธอเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะท้าชิงมงกุฎในปีนี้

เสน่ห์หวานซ่อนความมั่นใจ กิ๊ฟ-กมลพร ทองพล Miss Universe Nakhon Si Thammarat 2025 "กิ๊ฟ-กมลพร ทองพล" อายุ 24 ปี สาวหน้าคมจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ดีกรีเจ้าของตำแหน่ง องชนะเลิศอันดับ 2 นางสาวถิ่นไทยงาม, รองชนะเลิศอันดับ 3 นางสาวไทย ปี 2563 และยังเคยเป็นตัวแทนไปประกวด MISS CELEBRITY INTERNATIONAL 2024 ที่ประเทศเวียดนาม กิ๊ฟมาพร้อมกับความงามหวานละมุน แต่แฝงไว้ด้วยความมั่นใจและความมุ่งมั่นที่น่าชื่นชม กิ๊ฟได้รับความสนใจจากแฟนนางงามด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและบุคลิกที่น่ารักเป็นกันเอง เธอมีความสามารถในการนำเสนอตัวเองได้อย่างน่าสนใจ นับเป็นอีกหนึ่งผู้เข้าประกวดที่สร้างความประทับใจให้กับกรรม การ

แฟนๆ นางงามสามารถร่วมลุ้นไปด้วยกันในรอบ “Final Competition” วันที่ 23 สิงหาคม เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป ณ MGI Hall ศูนย์การค้า Bravo BKK สามารถรับชมไลฟ์สดรอบตัดสินผ่านช่องยูทูบ GrandTV
“ท๊อป จิรายุส” เผยจุดเปลี่ยนชีวิต เคยกินจังค์ฟู้ดทุกวัน จนร่างกายแก่เกินอายุจริง 16 ปี
รายการ Glow On podcast with Grace สัปดาห์นี้ เปิดใจนักธุรกิจหนุ่มคริปโต ท๊อป จิรายุส ที่มาเผยถึงเรื่องในการปรับชีวิตเพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น เปลี่ยนไลฟ์สไตล์เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานและสมอง โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก คริสเตียโน โรนัลโด และ โก้ ชานนท์ เคยกิน พิซซ่า โค้ก ทุกวันจนร่างกายพัง แก่เกินอายุจริง 16 ปี สู่ CEO ที่สุขภาพดีมีชีวิตใหม่ที่ สมดุล

จุดเปลี่ยนที่ทำให้มาใส่ใจเรื่องสุขภาพคืออะไร ?
ท๊อป จิรายุส : ถ้าแชร์ความจริงก็ยังเป็นธุรกิจหลักๆ อยู่ คือพอถึงจุดหนึ่ง Bitkub ขึ้นไปถึง Market Cap ประมาณหมื่นล้าน เราก็รู้สึกว่าเราแข่งแค่ในสนามไม่พอแล้ว เราต้องแข่งนอกสนามด้วย พอดีส่วนตัวผมมี คริสเตียโน โรนัลโด เป็นไอดอล คือการที่เขาเป็นผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ได้เขาต้อง manage เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่แค่ซ้อมหนักในสนามอย่างเดียวแต่นอกสนามด้วย พอไปถึงระดับแบบท็อปที่สุดแล้ว พอเราขึ้นไปถึงหลักหมื่นล้านมันไม่ใช่หลักร้อย หลักพัน พอจะไปแข่งเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน ผมคิดว่ามันต้องแข่งนอกสนามก็เลยมาศึกษามากขึ้น เราจะเปลี่ยนหัวสมองใหม่ยังไง การตัดสินใจอะไรก็จะดีขึ้น

ภายใน 1 ปีก็จะเหมือนผลัดผิวได้ ก็เลยมาศึกษามันคือไลฟ์สไตล์ล้วนๆ เลย อย่างที่ 1 คืออยากจะเป็นผู้บริหารที่เก่งขึ้น เพราะเราก็ทำงานหนักแบบอดหลับอดนอน ลุยกันเต็มที่คือแข่งในสนามเต็มที่แล้ว เราก็พยายามที่จะแข่งนอกสนามด้วยนะครับ เหตุการณ์ที่ 2 คือผมมีรุ่นพี่นักธุรกิจคนหนึ่งชื่อ พี่โก้ ชานนท์ จริงๆ เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่ถ้าสนใจพูดคุยกับเขาได้ เขาเป็น CEO ของอนันดาครับ ซึ่งก็รู้จักกันตอนที่ Bitkub ย้ายเข้าไปในออฟฟิศของอนันดา ช่วงโควิด ก็ได้รู้จักพี่โก้ แล้วก็มีช่วงคริสต์มาสช่วงโควิด เขาไปจัดคริสต์มาสดินเนอร์ที่ผมไปเจอพี่โก้ แล้วก็มีคมสันต์ ลี Flash ด้วย ตอนนั้นก็ 3 คนก็ปรึกษาธุรกิจอะไรกันช่วงโควิดใช่ไหมครับ ทุกวันอาทิตย์ก็เริ่มสนิทกัน

ทีนี้ช่วงคริสต์มาส พี่โก้ก็จะอายุ 50 กำลังจะถึงวันเกิดเขา แล้วเขาก็ยกเสื้อขึ้นมาโชว์ 6 pack ผมก็ถามว่าพี่โก้จะ 50 จริงๆ เหรอ หน้าตาแบบไม่เหมือน 50 เลย แล้วมี 6 pack ได้ยังไง เขาบอกเขากิน vegan ตั้งแต่อายุ 25 คืออะไร คือผมไม่รู้เรื่อง health เลยครับ พี่โก้ก็อธิบายว่าไม่กินเนื้อสัตว์เลย กินแบบ vegetarian เป็นหลัก แล้วเขาก็ challenge ผมว่าท็อปควรจะหยุดกินโค้ก ควรจะหยุดกินจังฟู้ดอะไรต่างๆ ควรจะหันมา optimize health ร่างกายมากขึ้น แล้วบอกว่าเขาอายุร่างกายเขาไปเช็กอยู่ที่ประมาณ 30 กว่าเอง Chronological age เขาจะ 50 แต่ Biological age 30 กว่า ผมกลับกันตอนนั้นผมเจอพี่โก้ตอนนั้นอายุ 33 แต่ร่างกายปาไป 49 กลายเป็นเราแก่กว่าพี่โก้อีกในเรื่องของ ร่างกาย

แสดงว่าคุณต้องผ่านการทำงานอย่างหนักหน่วงและผิดเวลาด้วย ?
ท๊อป จิรายุส : ทุกอย่างไม่ถูกต้องเลยครับ เพี้ยนไม่หมด

เมื่อก่อนเป็นยังไง กินยังไง นอนยังไง ?
ท๊อป จิรายุส : เมื่อก่อนคือไม่กินครับ ทำงานอย่างเดียวเพราะว่าเสียเวลาถูกไหมครับ แล้วจะกินมื้อเดียวหลังเลิกงาน แล้วจะกินแบบหนักๆ เลิกงานคือดึกมาก กินก่อนนอนมื้อเดียวหนักๆ สองทุ่มสามทุ่ม กินข้าวมื้อแรก ตอนนั้นก็คือเครียดมากๆ กลับบ้านมาปุ๊บต้องเอาโค้กใส่น้ำแข็งเย็นๆ ซัดก่อน 1 กระป๋องทุกคืน เพื่อที่จะรีเฟรชจากการทำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย โดยที่เราไม่รู้ว่าโค้กมันอันตรายต่อร่างกายแค่ไหน อย่างน้อยต้องกินโค้กก่อนละ 1 แก้วใช่ไหมครับ ตื่นมาตอนเช้าก็จะไม่ได้คุยกับใครจนกระทั่งได้กาแฟ 1 แก้ว เพื่อปรับมู้ด ไม่งั้นก็จะไม่มีอารมณ์ที่จะคุยกับใครครับ ก็ breakfasting ด้วยแบบคาปูชิโนที่มีนมวัว แล้วก็ไม่กินข้าวทั้งวัน แล้วก็ไม่ได้กินอาหารอีกเลย แล้วก็มาจบด้วยมื้อเดียวของวันคือเป็น Junk food เมื่อก่อนชอบแบบ 4 cheese pizza มากครับ กินคนเดียวทั้งถาด ทั้ง refine oil นะครับ คือทุกอย่างที่แบบแย่ที่สุดอยู่ในคำเดียว นั่นคืออาหารการกินของเรา กินเสร็จก็ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ได้เดินอะไรนะนอนทันที ตอนนั้นเหนื่อยตลอดเวลา ตื่นมาก็เหนื่อยตลอด เวลา

ตอนนั้นนอนกี่ชั่วโมง ?
ท๊อป จิรายุส : 4 ชม. 5 ชม. นะครับ 5 ชั่วโมงนี่คือถือว่าดีแล้ว ก่อนจะนอนก็เข้านอนด้วยความเครียด แบบตามงานใช่มั้ย โมโหอะไรงี้ตามงานพนักงาน แล้วก็เอามือถือวางข้างๆ หัว แล้วก็นอนอย่างงั้น นอนแบบเซ็งๆ ตื่นมาปุ๊บก็จับมือถือก่อนเลย

แล้วระหว่างวันไม่หิวเหรอตอนนั้น ?
ท๊อป จิรายุส : ในหัวเราคือมันงานๆ แม้แต่น้ำยังไม่กินเลยครับ เพราะมันลืมไปเลย มันโฟกัสแต่งาน จนกระทั่งหนัก แบบต้องมีเลขาคนหนึ่งคอยเตรียมน้ำให้เรา พยายามยัดน้ำให้เข้ามือเรา ไม่งั้นเราจะ ลืมกิน

เขาบอกว่าคุณมีเลขา 8 คน ?
ท๊อป จิรายุส : ครับ ทุกวันนี้ผมก็เลือกที่จะไม่มีความสามารถในการเลือก แบบตัดช้อยส์ออกไปเพื่อไม่ตามใจตัวเอง แต่ follow protocol เหมือน Bryan Johnson จะมีโปรโตคอลขับเคลื่อนด้วย data มันบอกว่าชัดเจนแล้ว ร่างกายของเรา data เป็นอย่างงี้ เราก็จะมีเลขาทีเตรียมให้หมดทุกอย่าง

แปลว่าเราไม่ได้กินอะไรที่อยากกินเลยเหรอ ?
ท๊อป จิรายุส : ใช่ครับ แรกๆ ก็แอบมี cheat day บ้าง แต่พอมันเปลี่ยน mindset ว่าจริงๆ food อาหารมันคือ information คือพอผมเกี่ยวกับ tech เราก็เข้าใจว่าเราสามารถที่จะ reprogramming ร่างกายได้ real time ผ่านทุกการกลืนอาหารว่ามัน heal หรือ destroy ร่างกาย ผมก็ไม่อยากจะกินอะไรที่มัน destroy ร่างกาย แล้วคนก็คิดว่ากินอาหารปุ๊บต้องใช้เวลากี่เดือนไม่รู้กว่าร่างกายจะเปลี่ยน แต่จริงๆ มันเปลี่ยน real time นะ มันเปลี่ยน real time เพราะฉะนั้นเราก็อยากจะกินอะไรที่มัน heal ร่างกาย แล้ว reward ที่ได้คือร่างกายมันแบบกลับมาตอบขอบคุณ ทุกคนก็บอกดูดีขึ้นนะแค่หยุดกินน้ำตาลก็ดีขึ้นแล้ว แล้วก็ energy ก็กลับมา หัวสมองก็โปร่งใสขึ้น แล้วเราก็มีการตัดสินใจที่แม่นยำขึ้น คือชีวิตมันดีขึ้นหมดทุกอย่าง มันคือ true happiness ที่ได้มา ผมก็เริ่มแปลกใจทำไมเราหลังๆ เริ่ม crave สิ่งที่มันแบบ healthy ขึ้น หลักๆคือไม่ได้กินน้ำตาลเลย กินผักหลากหลายสี นมวัวก็ไม่กินเลย ผมก็อปปี้ Bryan Johnson เป๊ะ ผมน่าจะสั่งทุกอย่างที่ออกมาในเว็บไซต์ของเขา

ใน 1 วันของกินอะไรบ้าง ?
ท๊อป จิรายุส : ตื่นเช้ามาสำคัญมากคือ fasting ใช่มั้ยครับ โอ้ 18/6 หลังจาก fasting ครบปุ๊บก็จะ breakfasting ด้วยไข่ แรกๆ ก็เริ่มจาก 2 ฟอง ตอนนี้ทีมงานเพิ่มเป็น 4 ฟองต่อวันครับ ก็กิน breakfasting ด้วยไข่ คือมื้อแรกต้องเป็นโปรตีน แล้วมันจะหยุด snacking ระหว่างวัน ก็จะกินโปรตีนที่เยอะในการ breakfasting มื้อแรกก็คือ Super Veggie กับ Nutty Pudding เลยนะครับ ของ Bryan Johnson ไปแกะสูตรพวกนี้เขา open source หมดทุกอย่าง ก็ให้โรงพยาบาลไป copy สูตรเขาหมดทุกอย่าง มีบร็อกโคลี คอลิฟลาวเวอร์ extra virgin olive oil ถั่วและเมล็ดพืช แล้วมื้อเย็นก็จะ เป็นมื้อที่ไม่มี 4 อย่างที่ผมบอก น้ำตาล , แป้ง , น้ำมันพืช, นม ไม่ทานเลย ซึ่งก็ไม่ได้กินพิซซ่ามานานแล้ว ไม่ได้กินโค้กมานานมากแล้วนะครับ เมื่อก่อนก็ยังต้องกินกาแฟอยู่ก็เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ ช่วง fasting แต่หลังจากนั้นก็เปลี่ยนได้ก็คือหยุดเลย เปลี่ยนเป็นชาเขียวก่อน เป็นชาเขียวนมอัลมอนด์แล้วกันไม่ใช่นมวัว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเพียวมัทฉะเลยที่ไม่มีนม อาหารเป็นเหมือนเชื้อเพลิงมากกว่าไม่ใช่ รางวัล

กินน้ำผลไม้ไหม ?
ท๊อป จิรายุส : กินเบอร์รี มีแฟนเป็นคนทำให้ทุกคืนเลย จะเป็นคนที่เอาบลูเบอร์รี สตรอเบอร์รี แมนเบอร์รี บลูเบอร์รี แล้วก็ใส่อะไรนะโปรตีนเข้าไป ครีเอทีนเข้าไป แล้วก็ปั่นให้กิน ซึ่งเราก็จะไม่ได้กินทุกผลไม้ ทุกชนิด

เรื่องการออกกำลังกาย ?
ท๊อป จิรายุส : ออกกำลังกายอย่าทำตามผมเลยครับ การนอนก็อย่าทำตามเลยครับ คือผมสัญญาตัวเองว่าปีนี้ต้องทำให้ได้ 8 ชม. แต่ปีนี้นอนได้ 6 ชั่วโมงเองครับ ยังไม่ได้ 8 เลย แต่ในเมื่อเวลานอนมันแบบมันน้อย ผมก็ต้องโฟกัสที่แบบเป็นกินให้ดี แล้วก็เป็น quality sleep นะครับ ก็เลยไปซื้อแบบ sleep mats คือห้องนอนจะเย็นจัดๆ แล้วก็มืดจัดๆ ให้มันนอนแบบมีคุณภาพ แต่พอมันหนาวมาก เตียงผมมันปรับอุ่น sleep คือปรับอุณหภูมิได้ ลองคิดภาพนะครับ เอาตัวเองเข้าไปในเตียงที่อุ่นๆ กำลังสบายครับ แล้วห้องมันเย็นมากๆ แป๊บเดียวหลับเลยนะ หลับลึกมากเลย แล้วก็เตียงมันสั่นเองได้ด้วยตอนเช้าปลุกโดยที่ไม่ต้องเอามือถืออะไรมาวาง ซึ่งมันก็ทำให้ 6 ชม. อย่างน้อยก็มีคุณภาพ ออกกำลังกายก็ทำได้หลังเลิกงานซึ่งมันไม่ดีไง

ตอนนี้วัด Biological Age ได้เท่าไหร่ ?
ท๊อป จิรายุส : ผมใช้เวลา 1 ปี จาก 49 เหลือ 40 แล้วก็อีก 6 เดือน ประมาณปีครึ่งเหลือจาก 40 เหลือ 30 แล้วตอนนี้ก็เด็กกว่าอายุจริงแล้วครับ จริงๆ 35 ผมว่าร่างกายมัน react เร็วมาก ผมว่าถ้าแค่ทุกคนหยุดกินน้ำตาลซัก 1 อาทิตย์ก็เห็นผลแล้ว

สามารถติดตาม " Glow On podcast with Grace " ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=S6awzn9GoyU
“เมย์ วาสนา” แฮปปี้ได้ของคืนครบ ส่งกำลังใจถึง “ดิว อริสรา” ให้เริ่มต้นใหม่อย่างเข้มแข็ง
รอคอยกันมานานกว่า 6 เดือนก็จบลงได้ด้วยดีแล้ว สำหรับมหากาพย์ของนักแสดงสาวชื่อดัง ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ ที่ได้มีการยืมเครื่องประดับและสินค้าแบรนด์เนมจากนักธุรกิจสาว เมย์ วาสนา อินทะแสง มูลค่ารวมกว่า 62 ล้าน บาท

หลังจากวานนี้ (21 ส.ค. 68) ได้มีการนัดคืนทรัพย์สินทั้ง 3 ชิ้น ได้แก่ สร้อยหรูมูลค่า 15 ล้านบาท (ราคาฝาก 7 ล้าน) และกระเป๋าแบรนด์เนม 2 ใบ ใบละประมาณ 3 ล้าน รวม 6 ล้าน (ราคาฝากรวม 2 ใบ 3.3 ล้าน)
ด้าน ”เมย์ วาสนา“ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่องดังกล่าวทันทีว่า "ต่อให้เรื่องยาก เรื่องยาว เราก็เลือก "จบให้สวย" ได้ค่ะ ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้เมย์ กว่า 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานสำหรับเมย์ ถึงวันนี้ โล่งใจค่ะ

วันนี้เมย์ได้รับทรัพย์สิน 3 ชิ้นสุดท้าย (สร้อย Bvlgari และกระเป๋า) คืนครบถ้วนแล้ว ถอนฟ้อง เรียบร้อย รายละเอียด (มีโอกาส จะชี้แจงให้ฟังค่า) เพราะมีการทำสัญญา จ่ายหนี้ส่วนนึงขอใช้พื้นที่นี้ ขอบคุณทุกคน ทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง ขอบคุณที่หลายคนต้องเหนื่อย ต้องเครียด และขอบคุณอีกครั้งกับทุกกำลังใจที่ส่งมา จากทุกช่องทาง

ทุกกำลังใจ ทุกความช่วยเหลือ มีคุณค่าสำหรับเมย์จริง ๆ ยังยืนยัน ว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ไม่มีความติดใจใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าทุกคนตกลงกันได้ รับผิดชอบตามหน้าที่ของตน ทุกอย่างก็จบค่ะ

สำหรับดิว เมย์เข้าใจ และขอส่งกำลังใจให้เริ่มต้นใหม่อย่างเข้มแข็ง รับผิดชอบชีวิต ดูแลครอบครัว และกลับมาสร้างคุณค่าให้ตัวเองและสังคมได้อีกครั้ง ทุกคนล้มได้ แต่ที่สำคัญคือการลุกขึ้นอย่างมีวุฒิภาวะ ล้มแล้วต้องเติบโตเช่นกัน เมย์เองก็เติบโตขึ้นจากเรื่องนี้ บทเรียนเตือนใจ ตน

- ความไว้ใจต้องมีกรอบ ตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร มีหลักฐานรับ–ส่ง และเส้นตายที่ชัดเจน

- แยกให้ขาด เพื่อนกับปัญหา แก้ที่ข้อเท็จจริง ไม่เติมไฟด้วยอารมณ์ หรือความสัมพันธ์ - ใจดีได้ แต่อย่าประมาท ไม่ติดใจ ให้อภัยได้ แต่ต้องระวังไม่ให้ซ้ำรอยในวัน ข้างหน้า

อีกครั้ง ขอบคุณพี่มดดำ พี่หนุ่ม(ขอบคุณ Brandname Money) เจ้าหน้าที่ ทีมกฎหมาย ครอบครัว เพื่อน และทุกกำลังใจที่อยู่ข้าง ๆ จบสักที และจะทุ่มพลังกลับไปทำงาน และเดินหน้าด้วยความโล่งใจสุดท้ายนี้ เมย์ขอนะคะ งดคอมเมนต์เชิงลบ ทุกคนบอบช้ำมากพอแล้ว ไม่ได้โลกสวย แค่ต้องก้าวไปต่อ ให้พื้นที่กันและกันได้เติบโตนะคะ"
#เมย์วาสนา #สยามดารา #ดิวอริสรา
คดีอาญาจบลงด้วยดี ดิวอริสรา คืนสร้อย - แอร์เมส ครบ เดินหน้าใช้หนี้ต่อทางแพ่งต่อไป
ดิว อริสรา เคลียร์ครบ คืนสร้อย บูการี 15 ล้าน – กระเป๋า แอร์เมส 3.4 ล้าน ปิดฉากคดียืมแล้วจำนำ จบลงด้วยดี

วันนี้ ( 21 ส.ค 68) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง นายนิติศักดิ์ มีขวด หรือ ทนายเอี้ยง ทนายความของ ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์ ได้นัดพร้อมกับนางสาวณัฐจุฑา ปุณณธนาวัฒน์ ตัวแทนบริษัทแบรนด์เนม มันนี่ จำกัด ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายอรรถชัย แจ้งอรุณ ทนายของคุณเมย์ วาสนา และ นายพีรันธร วีระภรณ์พิมล ตัวแทนคุณเบนซ์อารีรัตน์เพื่อนคุณดิวที่รับฝากกระเป๋า เพื่อนำ สร้อยบูการี ราคา 15 ล้าน และกระเป๋าแอร์เมส 2 ใบ ราคา 3.4 ล้าน ที่ยืมจากคุณเมย์ วาสนา แล้วนำไปจำนำ

โดยทนายเอี้ยง กล่าวว่า วันนี้ได้นัดทุกฝ่ายมาเพื่อเจรจาในการส่งมอบทรัพย์สินทั้งหมดที่ยืมคุณเมย์แล้วนำไปจำนำ ซึ่งสร้อยบูการี ทาง บริษัทแบรนด์เนมมันนี่ได้นำมาคืนต่อหน้าพนักงานสอบสวนโดยมีผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบด้วย รวมถึงกระเป๋าแอร์เมส 2 ใบที่คุณดิวนำไปจำนำกับเพื่อนด้วย ก็นำมาคืนให้ในวันนี้เช่นกัน หลังจากที่มีการคืนทรัพย์สินกันทั้งหมดทางคู่กรณีทั้งบริษัทแบรนด์เนมมันนี่ คุณเมย์วาสนา และตัวแทนกระเป๋าที่นำไปจำนำ ก็จะไปถอนฟ้องทั้งหมด โดยคดียักยอกทรัพย์ ของฝั่งกองปราบที่คุณเมย์แจ้งความไว้ ก็ได้มีการถอนฟ้องกันในวันนี้

โดย 2 คู่กรณีทั้ง บริษัทแบรนด์เนมมันนี่ และเพื่อนที่รับฝากกระเป๋า ทางคุณดิวได้มีการทำบันทึกชำระหนี้ ทั้งหมดภายในหนึ่งปี โดยจะจ่าย 1 แสนบาท ใน 6 เดือนแรก และหลังจากนั้นจะจ่ายเดือนละ 2 แสน ซึ่งจะจ่ายแบบนี้ทั้ง 2 เจ้าและขอบคุณทุกคนและบอกว่าคุณดิวอยากมาด้วยตัวเองแต่วันนี้ติดธุระซึ่งคุณดิวได้ฝากผมขอบคุณและขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น และวันนี้คุณก็แสดงเจตนาตั้งแต่แรกให้เห็นแล้วว่าตั้งใจคืนทรัพย์สินทุกคน หลังจากนี้คุณดิวคงต้องไปทำงานอย่างเต็มที่เพื่อหาเงินมาชำระตามยอดและเวลาที่ตกลงกันไว้ผมเชื่อว่าคุณดิวจะทำได้

ด้านทนายอรรถ บอกว่า คุณเมย์เพิ่งกลับจากต่างประเทศได้ ซึ่งรายละเอียดจะขอให้ทุกคนรอฟังจากปากคุณเมย์ เพราะผมเป็นเพียงตัวแทนมารับหน้าที่ทำรับของคืนเท่านั้น แต่อยากจะขอบ ตำรวจทุกคนที่ดูแลคดีนี้ตั้งแต่ต้นจนจบและได้ของคืนกลับมาครบและนอกจากนี้วันนี้ยังได้นำเงินจำนวน 1.75 ล้าน มาให้กับบริษัทแบรนด์เนมที่เป็นเงินเครื่องที่เหลือของกระเป๋านำมาจ่ายช่วยคุณดิว ซึ่งเงินจำนวนนี้คุณดิวก็จะไปชดใช้กับทางคุณเมย์หลังจากนี้ อีก

ทนายวิฑูรย์ ก็บอกอีกว่าหลังจากที่ได้คุยกันที่ศาลวันก่อนก็ได้ทำเรื่องในการถอนฟ้องในชั้นศาลแล้วและจะทำเรื่องถอนแจ้งความที่สน. ปทุมวันด้วย

นางสาวณัฐจุฑา ตัวแทนบริษัท แบรนด์เนมมันนี่ บอกว่ารู้สึกสบายใจและขอบคุณทุกฝ่ายที่ทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี เพราะก่อนหน้านี้บริษัทถูกสังคมตำหนิเรื่องคืนของให้คุณเมย์แต่อยากให้สังคมเข้าใจมันเป็นเรื่องของธุรกิจในเมื่อนำเงินมาคืนแล้วเราก็ยินดีคืนสร้อยบูการีที่เราดูแลเป็นอย่างดีก่อนหน้านี้ให้กับเจ้าของที่แท้จริง นายพีรันธร ตัวแทนคุณเบนซ์ อารีรัตน์ บอกว่าหลังจากที่ได้รับเงิน จำนวนหนึ่งจากคุณบิวก็นำกระเป๋ามาคืนให้กับทางตัวแทนของคุณเมย์ วาสนา ส่วนเดือนที่เหลือได้มีการทำสัญญาผ่อนจ่ายกับคุณดิว แต่หากภายในหนึ่งปีคุณดิว ไม่สามารถผ่อนได้ครบ อาจจะต้องมีการฟ้องทางแพ่งกันในอนาคต

พร้อมเปิดเผยว่าตอนแรกที่คุณเบนซ์รับกระเป๋ามาจากคุณดิวตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นกระเป๋าของคนอื่น และก็รับฝากตามประสาคนสนิทที่เป็นเพื่อนกันแต่พอเกิดเรื่อง ทางเราก็ไปแจ้งความในข้อหาฉ้อโกงที่สน. ดอนเมือง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะไปถอนแจ้งความเช่นกัน

ขณะที่ช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ทนายตัวแทนทุกฝ่ายได้จับมือร่วมกันเพื่อส่งสัญญาณว่าทุกอย่างจบลงด้วยดีมีการคืนของและถอนแจ้งความกันแล้ว
แห่ห่วง “ฝน ธนสุนทร” เกิดอุบัติเหตุลื่นล้มจนกระดูกซี่โครงร้าว 2 ซี่
ทำเอาแฟนเพลงแห่ห่วงไม่น้อยหลังจากนักร้องสาว “ฝน ธนสุนทร” ได้ออกมาโพสต์แจ้งข่าวเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มบริเวณหน้าบ้านก่อนจะถูกหามตัวส่งโรงยาบาลเป็นการด่วน โดยวันนี้ (21 ส.ค. 68) ฝน ธนสุนทร ได้โพสต์ภาพตัวเองลื่นล้ม ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมเขียนข้อความว่า “เมื่อเช้ากำลังจะเดินทางไปจังหวัดอุดรธานีเพื่อเข้าบ้านพักเสียงอีสานแล้วฝนเกิดอุบัติเหตุล้มหน้าบ้านค่ะ!!! ตอนนี้ถึงมือหมอแล้วนะคะ เดี๋ยวป๋าเอมาอัปเดตให้ฟังนะคะ ”

ก่อนจะได้โพสต์อัปเดตอาการหลังเข้ารับการตรวจ ระบุว่า “อัปเดตอาการนะคะ!!! ซี่โครงร้าว 2 ซี่ค่ะแต่ว่าสามารถสมานเองได้ พรุ่งนี้มา Follow up ปอดอีกรอบหนึ่งค่า ขอบคุณทุกความห่วงใยนะคะ”

สยามดาราขอร่วมส่งกำลังใจและขอให้หายๆ ไวนะคะ
#ฝนธนสุนทร #สยามดารา
ทนาย“ดิว อริสรา” เข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบฯ คดีฉ้อโกง 62 ล้านบาท ก่อนส่งมอบกระเป๋าแอร์เมส2ใบ
เวลาประมาณ 14.00 น.วันที่ 21 ส.ค.68 “ดิว อริสรา” น.ส.อริสรา ทองบริสุทธิ์ นักแสดงชื่อดัง ส่ง นายนิติศักดิ์ มีขวด ทนายความ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน กก.1 กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาคดี “ยักยอกทรัพย์” มูลค่า 62 ล้านบาทของ เมย์ วาสนา นักธุรกิจสาว ที่แจ้งความร้องทุกข์ไว้ก่อนหน้านี้

การเข้าพบพนักงานสอบสวนในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รองผู้บังคับการกองปราบปราม ได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมว่า จะให้ พงส.ออกหมายเรียกให้ ดิว อริสรา เข้าให้ปากคำในคดีที่ถูก น.ส.วาสนา อินทะแสง หรือ “เมย์” แจ้งความดำเนินคดี โดยในขณะนั้น พ.ต.อ.เอนก ระบุว่า หากผู้ต้องหาไม่มาพบพนักงานสอบสวนภายใน 7 วัน จะเข้าข่ายการหลบหนีและจะดำเนินการออกหมายจับทันที

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการออกหมายเรียก ในที่สุดดิว อริสรา ก็ได้ประสานและเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนในวันนี้ หลังวิ่งเคลียร์หนี้สินต่างๆ หลังจากเดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อเข้าสู่กระบวนการสอบสวนตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป

โดยภายหลังได้มีการส่งกระเป๋า Herms สองใบราคาใบละสามล้านบาทนำมาส่งมอบคืนผ่านพนักงานสอบสวน บก.ป
ไฟลุกรันเวย์! 77สาวงาม MUT2025 โชว์สเต็ปชุดว่ายน้ำ อุ่นเครื่องก่อนรอบตัดสิน 23 สิงหาคม นี้ “วีนา” สปอนด์รัก ประเดิม 3 รางวัลใหญ่
MGI Hall , Bangkok : ภารกิจค้นหาตัวแทนของไทยไปจักรวาล 2025 ใกล้สิ้นสุดเข้ามาทุกที ล่าสุด บริษัท มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MGI ผู้ถือสิทธิ์ในการจัดประกวด Miss Universe Thailand 2025 โดย คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานกองประกวด MIss Universe Thailand & Vice President of Miss Universe Asiana จัดการแข่งขันรอบอุ่นเครื่อง (Preliminary Competition) ณ MGI Hall ชั้น 6 ศูนย์การค้า Bravo BKK พระราม 9 โดยมีเหล่าคณะกรรมการ แขกผู้มีเกียรติ อาทิ อแมนด้า ชาลิสา ออบดัม Miss Universe Thailand 2020 และสื่อมวลชน เข้าร่วมชม รวมถึงที่กำลังรับชมผ่านทาง Youtube Live : Grand TV

พิธีกรเปิดตัวผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand 2025 : The New Era ทั้ง 77 จังหวัดในแฟชั่นโชว์ชุดว่ายน้ำ คอลเลกชันพิเศษจากแบรนด์ ATIPA ที่เรียกได้ว่าห้ามกระพริบตาตั้งแต่วินาทีแรก เหล่าสาวงามจัดเต็มลีลาการเดินการโพสต์ เรียกเสียงเชียร์จากผู้ชมลั่นฮอลล์

จากนั้น กองประกวดฯ ได้เผยโฉมสาวงามอีกครั้งในรอบชุดราตรี (Evening Gown Competition) ออกแบบและรังสรรค์โดยดีไซน์เนอร์ เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ให้สาวงามได้โชว์เพอร์ฟอร์แมนซ์เฉพาะตัว ซึ่งการประกวด Miss Universe Thailand 2025 : The New Era (มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2025 : เดอะ นิว เอร่า) ในรอบการแข่งขันรอบอุ่นเครื่อง (Preliminary Competition) นี้จะมีการเก็บคะแนน เพื่อคัดเลือกสาวงามเข้าสู่รอบ 18 คนสุดท้าย (Top 18 Miss Universe Thailand 2025)

ภายในงาน พิธีกร ฟ้าใส ปวีณสุดา ได้ประกาศ 4 คนสุดท้าย ของการแข่งขัน “Inspire U to the Universe” และผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท และผ่านเข้าสู่รอบ 18 คนสุดท้ายโดยอัตโนมัติ และ Top 4 Finalists จะมาจากผู้ที่มีคะแนนโหวต สูงสุด 2 ท่าน และจากคณะกรรมการอีก 2 ท่าน และสองคนแรก มาจากผู้ที่มีคะแนนโหวตสูงสุด ได้แก่ 1. MUTสระบุรี “ปวีนา ซิงห์” 2.MUTปทุมธานี “อมองดีน กลาสเซต์”

และอีก 2 คน มาจากการคัดเลือกจากคณะกรรมการ ซึ่งได้แก่
3. MUTกรุงเทพมหานคร “แพรววณิชยฐ์ เรืองทอง” 4.MUTสุราษฏร์ธานี “ชุติกาญจน์ สุวรรณโคตร”

สำหรับ 4 คนสุดท้ายของ “Inspire U to the Universe” จะประกาศผลผู้ชนะ ในรอบตัดสิน (Final Competition) ในวันที่ 23 สิงหาคมนี้ ซึ่งสาวงามจะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท พร้อมผ่านเข้าสู่รอบ 18 คนสุดท้ายโดยอัตโนมัติ และอีกหนึ่งรางวัลที่สำคัญ เพื่อเข้าสู่รอบ 18 คนสุดท้ายโดยอัตโนมัติ กับ Miss Popular Vote ที่เปิดให้ทุกท่านร่วมโหวตได้ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 23 สิงหาคม เวลา 19.00 น. โดยสามารถโหวตได้ทาง website www.missuniversethailand.net และสำหรับผู้ที่มีคะแนนโหวตสูง 5 อันดับ ณ ตอนนี้ ได้แก่ อันดับ 5 MUTสระบุรี
อันดับ 4 MUTสมุทรปราการ
อันดับ 3 MUTนครศรีธรรมราช
อันดับ 2 MUTบึงกาฬ
และอันดับ 1 MUTกรุงเทพมหานคร

ภายในงาน พิธีกรได้ประกาศรางวัลพิเศษจากผู้สนับสนุน ได้แก่ 1.Miss Vietjet Fly Green จะได้รับ บัตรโดยสารฟรีตลอด 1 ปี จากสายการบิน Vietjet Thailand ได้แก่ MUTสระบุรี “ปวีนา ซิงห์” 2.The Ultimate Crowned Eyes of Radiance - Makne
Cosmetics จะได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท สนับสนุนโดย Makne cosmetics ได้แก่ MUTปัตตานี “ฉัฐนันท์ เถาศิริพันธ์”

3. Queen of Fresh & Soft หอมเฟรช จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท สนับสนุนโดย Fresh & Soft ได้แก่ MUTสระบุรี “ปวีนา ซิงห์”

4. FRIEND OF LINE MAN จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท สนับสนุนโดย LINE MAN ได้แก่ MUTกรุงเทพมหานคร “แพรววณิชยฐ์ เรืองทอง”

5. Miss Youthful Glow By Snail White จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท สนับสนุนโดย Snail White ได้แก่ MUTนครศรีธรรมราช “กมลพร ทองพล”

6. MISS แกลมเกษตร จะได้รับเงินรางวัล 100,000 บาท สนับสนุนโดย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ได้แก่ MUTสระบุรี “ปวีนา ซิงห์”

สำหรับวันที่ 21 สิงหาคม 2568 รอบชาเลนช์สำคัญของรอบ Final Battle ของ Best Seller Award กับอีกหนึ่งตำแหน่งสำคัญที่จะพาเธอนั้น เข้าสู่รอบ 18 คนสุดท้ายโดยอัตโนมัติ

สำหรับรอบตัดสิน Miss Universe Thailand 2025 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม 2568 ณ MGI Hall ชั้น 6 ศูนย์การค้า Bravo BKK พระราม 9 รับชมรอบอุ่นเครื่อง (Preliminary Competition) Miss Universe Thailand 2025 : The New Era ย้อนหลังได้ที่ Youtube : Grand TV ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของกองประกวดฯ ที่จะพาทุกท่านไปเฟ้นหาดาวดวงใหม่ เป็นตัวแทนประเทศไทยบนเวทีจักรวาล ได้ในช่องทาง Facebook : Miss Universe Thailand Instagram @missuniversethailand / X : @missu_thailand / TikTok : @officialmuth #TheNewEraofMUT #MissUniverseThailand #MissUniverseThailand2025 #MGIxMUT
สคบ. บุกตรวจสอบร้านดัง “เจ๊ไฝ” ปมไข่เจียวปู 4,000 บาท สั่งปรับฐานไม่ติดป้ายราคา
เวลา 10.00 น. วันที่ 20 ส.ค.68 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมกับกรมการค้าภายใน และ บก.ปคบ. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้าตรวจสอบร้านอาหารชื่อดัง "เจ๊ไฝ" หลังได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีเรียกเก็บเงินค่า "ไข่เจียวปู" ไม่ตรงกับราคาที่ระบุในเมนู การลงพื้นที่ครั้งนี้ นำโดย นายอนุพงษ์ เจริญเวช ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภค 2 ตามการมอบหมายของ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค โดย สคบ. มุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบสิทธิของผู้บริโภค ส่วนกรมการค้าภายในเน้นการตรวจสอบการปิดป้ายแสดงราคาสินค้าและ บริการ

จากการตรวจสอบพบว่า ร้านเจ๊ไฝได้ทำเมนูพิเศษ "ไข่เจียวปู" ในราคา 4,000 บาท ให้กับลูกค้าประจำ 3 ราย ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แสดงอยู่ในเมนู อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีข่าวเผยแพร่ออกไป ลูกค้าได้กลับมาเจรจากับทางร้าน ซึ่งทางร้านได้แสดงเจตนาจะคืนเงินให้ แต่ลูกค้าปฏิเสธที่จะรับเงินจำนวนดังกล่าว ในส่วนของการดำเนินการตามกฎหมาย กรมการค้าภายในได้เปรียบเทียบปรับร้านเจ๊ไฝ ฐาน "ขายสินค้าโดยไม่แสดงราคา" ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ สคบ. ชี้แจงว่ายังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้เสียหายโดยตรง แต่ได้รับแจ้งจากเพื่อนของบุคคลในข่าวว่าไม่ติดใจเรื่องค่าเสียหาย แต่ต้องการให้ดำเนินการตามกฎหมายที่ร้านได้กระทำผิด
สคบ. ย้ำว่าผู้บริโภคที่ได้รับความเดือดร้อนสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนได้ที่ คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัด ทุกจังหวัด หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใกล้บ้าน รวมถึงเมืองพัทยาและสำนักงานเขตทุกแห่งในกรุงเทพมหานคร ตามนโยบายการกระจายอำนาจของ สคบ.
"หมอพงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา" เข้าแจ้งความ ปอท.ถูก AI ปลอมเสียง-หน้า หลอกขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ
เวลา 10.00 น. วันที่ 20 ส.ค.68 นายแพทย์พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา แพทย์และนักพูดชื่อดังวัย 70 ปี พร้อมด้วย อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ , เก่ง สุรเชษฐ์ “ชมรมสันติประชาธรรม” เดินทางเข้าแจ้งความต่อ พงส.กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) เพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มมิจฉาชีพที่ใช้เทคโนโลยี AI ปลอมแปลงทั้งภาพและเสียงของตนเอง ไปหลอกลวงประชาชนให้ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและยาที่ไม่ได้มาตรฐาน

พันเอกนายแพทย์พงศ์ศักดิ์ เล่าว่า ตนทราบเรื่องนี้จากบุคคลใกล้ชิดเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ว่ามีการนำภาพตนไปแอบอ้างขายสินค้า 4 ประเภท ทั้ง ยาสีฟัน ยาฆ่าเชื้อรา ยารักษาไซนัส และ ยารักษาเส้นเลือดขอด / โดยมีการดูดคลิปไปเผยแพร่ทั้งทางแพลตฟอร์มของ tiktok , YouTube และ Facebook มีคนดูมากกว่า 6 ล้านคน และมีประชาชนหลงเชื่ออีกหลายคน เพราะตนเคยไปเดินซื้อของที่ตลาด มีคนเข้ามาทักว่ายาสีฟันที่หมอขาย ซื้อมาใช้แล้วนะ ทั้งที่ตนไม่ได้ขายและก็ไม่ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายของผลิตภัณฑ์นั้น / นอกจากนี้ยังมีผู้ใหญ่อีกหลายท่านโทรมาสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ว่าดีจริงหรือไม่ ตนรู้สึกว่าเรื่องนี้ทำให้ตนเกิดความเสียหายเป็นอย่างมากจึงต้องมาแจ้งความให้ทางตำรวจ ปคบ. ตรวจสอบ และยังรู้มาอีกว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวที่ขายไม่มี อย.

นอกจากนี้ในคลิปยังบอกอีกว่า ถ้าใช้แล้วไม่เห็นผลขอให้ฟ้าผ่าตาย ซึ่งตนมองว่าในโลกใบนี้ไม่มีหมอคนไหนกล้าพูดแบบนั้น และในบางคลิปจะมีบางคำที่พูดไม่ชัดเพราะเป็นการแปลงคำมาจากคลิปของตน และตนเชื่อว่าสินค้าพวกนี้ไม่ได้ผลหรอก เพราะได้ผลคงไม่เอาหน้าของตนไปแอบอ้างเพื่อขายสินค้า

ด้าน นายแทนคุณ บอกว่า ร้านดังกล่าวสามารถเอาผิดได้ในฐานนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์เป็นเท็จ ซึ่งต้องตรวจสอบไปยัง อย.ด้วยว่า สินค้าแต่ละตัวมีการขอใบอนุญาตจดทะเบียน อย.แล้วหรือยัง แต่เท่าที่ทราบตอนนี้คือบริษัทมีการจดทะเบียนถูกต้อง ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และอีกเรื่องนึงต้องดูในเรื่องของลิขสิทธิ์ในการนำคลิปหรือรูปของผู้อื่นไปใช้เพื่อการโฆษณา / นอกจากนี้อยากจะประสานสัมพันธ์ถึวประชาชนว่า พันเอกนายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ตั้งคณา ไม่ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผลิตภัณฑ์ในแบรนด์ไหน อยากให้ประชาชนตรวจสอบให้แน่ใจว่าซื้อสินค้า มิเช่นนั้นอาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้
พี่หนูแหม่ม เล่าประสบการณ์ศัลยกรรมที่เกาหลี ก่อนสวยเด็กย้อนวัย เกิดความดันขึ้น!
เปิดหมดเปลือก “พี่หนูแหม่ม สุริวิภา” แชร์ประสบการณ์การทำศัลยกรรมใบหน้าย้อนวัยในเกาหลีในวัย 58 ปี ซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ ทำศัลยกรรมยกใบหน้าใหม่เกือบทั้งหมด โดยเน้นความปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะมีภาวะเลือดคั่งหลังผ่าตัดหลังสาเหตุเพราะความดันขึ้น แต่ก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจสวยเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด ใครๆเห็นต่างก็ร้องว้าวกันยกใหญ่ ในรายการ WOODY INTERVIEW

จุดเริ่มต้น ?
พี่หนูแหม่ม : พี่ทักทางคุณเอ๋ ไปว่าอยากย้อนวัย พอดีไปดูในคลิปที่เขาลงบ่อยๆ ค่ะ จริงๆ การจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนหรือศัลยกรรมหรืออะไรก็ตาม เราทุกคนต้องดูหาข้อมูล พี่หนูแหม่มก็คือหนึ่งในนั้น วันหนึ่งเราจะมีเวอร์ชันในใจ แต่เราแค่รู้สึกว่าเมื่อไหร่มันจะถึงเวลานั้นเท่านั้นเอง เราด้วยความที่อยู่แต่ในโซนที่มันปลอดภัย ในเมืองไทยนี่แหละสักวันหนึ่ง แต่แค่รอวันที่ใช่ แต่ว่าพอนวัตกรรมหรือความเปลี่ยนแปลงของวงการแพทย์ในการทำศัลยกรรมต่างๆ ของเกาหลีค่อนข้างต้องบอกว่าใหญ่โตแล้วก็ไปไกลมาก เราก็จะเห็นในสื่อบ่อยๆ แล้วเราก็เข้าไปดู ได้ยินคำหนึ่งที่เอ๋พูดในคลิปบอกว่า จริงๆ แล้วการศัลยกรรมมันมีทั้งที่การเปลี่ยนแปลงและการย้อนวัย พอพี่ได้ยินคำว่าย้อนวัย พี่ติ๊กเป็นดอกจันทร์ไว้เลยว่าพี่ต้องคุยกับคนนี้ มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่พี่ DM หาคุณเอ๋ โจทย์ของพี่หนูแหม่มก็คืออยากให้เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ย้อนวัย แต่ไม่ให้ดูตึงเกินไป และไม่ให้ดูเด็กเกินไป แล้วก็ไม่ให้ดูแปลกด้วย อย่าเปลี่ยนพี่นะ คือย้ำหลายรอบมาก

ตอนทำพี่หนูแหม่มอายุเท่าไหร่ ?
พี่หนูแหม่ม : พี่ทำตอน 57 อันนี้คือพี่ 57-58 เพราะฉะนั้นมันแบบมันคาบเกี่ยวกัน พี่เลทมากเลยค่ะ พี่ยังนั่งเสียดายเลยว่าทำไมฉันไม่คิดได้ตั้งแต่ตอนฉัน 40 พี่หนูแหม่มรู้สึกว่าเริ่มเร็วได้เปรียบ เริ่มก่อนสวยก่อน พี่สวยมาก เพราะว่าน้ำหนักมันเริ่มลง เพราะว่าเราได้รับออเดอร์จากหมอว่า ยูต้องลงน้ำหนัก ยูต้องลง

จากคุณหมอใบหน้า ?
พี่หนูแหม่ม : ใช่ค่ะ เพราะคุณหมอบอกว่า ดูนี่นั่น โอเคตรงนั้นตรงนี้ ถ้าจะว้าวต้องลดน้ำหนัก พี่ไม่คิดเลย หมายถึงว่าพี่ไม่มีอะไรเอ๊ะในใจเลย มีอย่างเดียวบอกตัวเองว่าต้องกลับไปแล้วลดน้ำหนัก

ทำไม Inspire ถึงขั้นที่ลดน้ำหนัก ?
พี่หนูแหม่ม : ถ้ายูจะเปลี่ยน ทำไมต้องเปลี่ยนเป็นคนเดิม ยูต้องเปลี่ยนเป็นคนที่มันว้าว เพราะหมอพูดคำว่าว้าววันนั้น หมอบอกแต่ว่าหมอก็ไม่ได้แบบซีเรียสจริงจัง พี่ก็นั่งคิดที่บ้านว่า มันต้องว้าวสิ ถ้าเราจะเปลี่ยนทั้งที ไม่ใช่แค่แบบผ่าตัดแล้วหน้าสวย พี่รู้สึกว่าถ้าจะว้าวมันต้องสร้างแรงกระเพื่อมนิดหนึ่ง พี่ก็เลยรู้สึกว่าเอาล่ะ นี่คือการบ้านของฉัน ฉันต้องทำ คือไม่ใช่ว่าหมอจะช่วยคุณได้ฝ่ายเดียว คุณต้องช่วยหมอด้วย ทำไมเราจะทำไม่ได้ พี่ก็กลับมาจัดการตัวพี่เลย

โดยที่ทุกวันนึกถึงภาพว่าเราจะได้ไปแปลงหน้า ?
พี่หนูแหม่ม : ใช่ นึกถึงว่าเมื่อไหร่น้ำหนักฉันลงไปแล้ว แบบฉันแฮปปี้แล้ว แล้ว ฉันจะพร้อม

พี่บอบบี้จะทำตามไหม ?
พี่หนูแหม่ม : พี่บอบบี้กลัว ขนาดเราไปเขายังไม่ไปกับเราเลย เขากลัวว่าจะต้องไปเจอแผล พี่บอบบี้ไม่ได้ไป พี่ไปกับผู้ช่วย โทรหากันทุก คุยกับแบบเฟซไทม์กัน เอากล้องขึ้นไปบนฝ้าของโรงแรม เพราะเขาไม่สามารถให้พี่เอาหน้าไปให้ดูได้ เขาบอกไม่เอาไม่ดู คงกลัวว่าจะเจ็บอะไรอย่างงี้ ค่ะ

Reaction ที่ได้กลับมาจากเพื่อนๆ หรือว่าคนใกล้ตัวเขาว่ายังไงบ้าง ?
พี่หนูแหม่ม : เขาอยากเห็นแผลก่อนอันดับแรก ว่ามีแผลเป็นไหม ไม่รู้ทำไมทุกคนจะต้องวิ่งเข้ามาดูข้างหูก่อนอันดับแรก เพราะมันขึ้นอยู่กับผิวหนังของแต่ละคน ด้วย

พี่หนูแหม่มทำอะไรบ้าง ?
คุณเอ๋ : ตัดถุงใต้ตาล่างค่ะ คือเคสพี่หนูแหม่มจะมี Challenge อยู่อย่างหนึ่งด้วยความที่พี่หนูแหม่มเป็นฝรั่งด้วย พี่หนูแหม่มใบหน้ามีความเหี่ยวแล้วก็หย่อนคล้อยจริง แต่จุดที่ไม่เหมือนเคสอื่นเลยก็คือพี่หนูแหม่มมีผิวหนังใต้ตาเป็นสามเหลี่ยม 2 ข้าง ที่มีความบางเหมือนกระดาษไขที่ยับ ซึ่งมันยากมาก คุณหมอตัดหนังใต้ตาก็จริง แต่ถ้าตัดเยอะเกินไปจะเกิดภาวะใต้ตาล่างแหก ดังนั้นคือการตัดหนังใต้ตาล่าง คุณหมอจะดูจากสปริงใต้ตาก่อนว่าจริงๆ มันตัดได้แค่ไหนไม่ให้ใต้ตาล่างมันแหกลงมา มันก็เลยได้ลิมิตจำกัด แต่ทีนี้ด้วยคุณภาพของผิว การดึงหน้าคนที่คอลลาเจนยังดีแล้วผิวยังดีอยู่ ดึงแล้วผลจะสวยกว่าคนที่เหี่ยวมากแล้ว อีกอย่างหนึ่งเคสที่ไม่เคยฉีดฟิลเลอร์บนหน้าเลย ดึงหน้าแล้วผลจะดีกว่าเยอะมาก ดังนั้นของพี่หนูแหม่ม คุณหมอไม่กังวลตรงไหนเลยในส่วนของใบหน้า เพราะเป็นการย้อนวัยที่ธรรมดามาก แต่คุณหมอกังวลใต้ตามาก เพราะคุณหมอรู้ว่าต่อให้คุณหมอตัดหนังใต้ตาไปความเหี่ยวตรงนี้ไม่มีทางหายไป 100% มันอาจจะดีขึ้นอย่างเกณฑ์ก็ 50% พอดีขึ้นแล้วเราก็จะต้องใช้การฉีดผิวแล้วก็ทรีทเมนต์ต่างๆ ช่วยฮีลผิวใต้ตาขึ้นมาให้มัน ดีขึ้น

แล้วอะไรต่อ?
คุณเอ๋ : ใต้ตาแล้วก็เป็นดึงหน้า ดึงคอ แต่ก่อนที่จะดึงหน้าดึงคอได้ พี่หนูแหม่มมีไขมันกระพุ้งแก้มที่มันหย่อนอยู่ ก็มีการตัดออก อันนี้ก็คือทำพร้อมกับการดึงหน้าดึงคอ ข้อดีของการตัดไขมันกระพุ้งแก้มพร้อมกับการดึงหน้าดึงคอ ก็คือพี่หนูแหม่มไม่ต้องมีแผลข้างในปากเลย ถัดมาคือการกรีดเก็บเหนียง กรีดเสร็จแล้วคุณหมอก็จะมีการยกกระชับกล้ามเนื้อใต้คางไป ซึ่งก็จะใช้เทคนิคคล้ายๆ กับการดึงหน้า อันถัดมาก็เป็นการฉีดไขมันสเต็มเซลล์ เวลาที่เราดึงหน้าแล้วหน้าเขาจะแบน ก็จะมีการเติมไขมันสเต็มเซลล์ จุดส่วนใหญ่ที่เติมแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าส่วนใหญ่เลยก็จะเป็นหน้าผาก เป็นขมับ เป็นใต้ตา อินเดียนไลน์ ร่องแก้ม สุดท้ายแล้วก็คือเซ็ตผิวของ โรงพยาบาล

แต่ที่สำคัญคือความปลอดภัย ?
พี่หนูแหม่ม : ตอนแรกที่พี่คุย เอ๋พี่จะปลอดภัยไหม? พี่ต้องการความปลอดภัยที่สุด คิดตังค์พี่เท่าไหร่ก็ได้ พี่อยากได้ความปลอดภัย เอ๋ก็จะเล่าเรื่อง Process ของการทำให้ฟัง มันก็ทำให้เรารู้สึกค่อยๆ มั่นใจ เพราะว่าพี่อายุเยอะแล้วก็มีความดันด้วย เพราะฉะนั้นจึงขอพักคืนหนึ่งก่อนแล้ววันรุ่งขึ้นก็ค่อยทำ วันรุ่งขึ้นก็ทำสายๆ ก็นัดประมาณ 10 โมง พี่ได้พักวันหนึ่งเที่ยวเล่นกินอาหารอร่อยเพลินตา วันรุ่งขึ้นก็ไปทำในเวลาที่พี่เดินเข้าห้องผ่าตัด พี่ไม่มีคำถามอะไรเหลืออยู่ในใจเลย เดินเข้าห้องผ่าตัดแบบสบายใจ หมอวางยาขอเปิดแผลพี่ 2 ครั้งเนื่องจากว่าเกิดอาการที่มันแบบความดันขึ้น เดี๋ยวให้เอ๋อธิบายก็ได้ ขอวางยาพี่ครั้งที่ 2 พี่ ยังบอกเชิญเลยจ้า

คุณเอ๋ : ทีมแพทย์ ทีมวิสัญญี ทีมพยาบาลและทีมพนักงานทุกคน มีใจในการดูแลผู้ป่วยจริงๆ ความปลอดภัยและมาตรฐานของการผ่าตัดต้องมาเป็นอันดับ 1 ซึ่งคุณหมอเป็นห่วงคนไข้จริงๆ ทุกคนจะเจอหมอลงมาเยี่ยมในยาม ค่ำคืน

เขาต้องเช็คดูอะไรบ้าง ?
คุณเอ๋ : เช็คว่าบวมไหม มีเลือดคั่งไหม อย่างเคสของพี่หนูแหม่มตั้งแต่ตอนแรกที่เอ๋สัมภาษณ์พี่หนูแหม่มลงคลิปก่อนผ่าตัดออนแอร์ให้ทุกคนรู้ก่อนผ่าตัดนะคะ เอ๋บอกว่าเคสพี่หนูแหม่มมีสิทธิ์ที่จะได้เปิดแผล รีดเลือดที่คั่งจากประสบการณ์ที่เจอคนไข้ที่มีความดันสูง พี่หนูแหม่มคือสูงมากนะ 200 เวลาความดันจะขึ้น ตอนที่เวลากินยาแล้วคุมลง มันจะเหลือประมาณเท่าไหร่คะ

พี่หนูแหม่ม : 140
คุณเอ๋ : เพราะว่าพี่หนูแหม่มกินยาตลอด กินยาจนกระทั่งเข้าห้องผ่าตัด แต่ในคนที่เป็นความดันสูง เวลาที่โดนผ่าตัด เอ๋เจอมาหลายคนแล้ว อยู่ดีๆ มันก็จะขึ้น โดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ร่างกายมันก็ต้องตอบสนอง มันก็มีการตอบสนองอยู่แล้ว ปกติเวลาผ่าตัดเสร็จแล้ว เขาจะยังไม่เอาขึ้นมาวอร์ดคนไข้ คนที่ผ่าตัดเสร็จจะต้องนอนอยู่ข้างห้องผ่าตัดเลย แล้วก็มีวิสัญญีกับพยาบาลคอยเฝ้า ตอนแรกพี่หนูแหม่มอาการปกติดีทุกอย่าง เข็นมาที่ห้องพักฟื้นข้างๆ ห้อง กำลังจะได้ออกมาแล้ว เกือบจะเสร็จแล้ว อยู่ดีๆ ความดันขึ้น 200 เลยค่ะ หน้าบวมกลับขึ้นมาข้างหนึ่งข้างซ้าย หมอเห็นปั๊บ พี่หนูแหม่มเรากลับเข้าห้องผ่าตัดอีกรอบ เข็นเข้าไปรีดเลือด แล้วก็วางยาอีกรอบหนึ่ง เป็นแค่ยานอนหลับไม่ใช่ยาสลบ เราก็ได้แจ้งพี่หนูแหม่ม ซึ่งพี่หนูแหม่มก็ทราบอยู่แล้วว่ามีความดันขึ้นนะ มีภาวะเลือดคั่ง เรามีการรีดเลือดครั้งที่ 2 ดังนั้นข้างเดียวที่โดนรีดคือข้างซ้าย บวมกว่าข้างขวาเยอะมาก แน่นอน 100% ว่าหน้า 2 ข้างจะคนละแบบกันเลย ซึ่งก็จริงวันถัดมาก็คือตาขวาเปิดได้ ตาซ้ายเปิดไม่ได้

พี่หนูแหม่ม : ล่ามมีความสำคัญกับจิตใจของพวกเรามาก จริงๆ แล้วเราเป็นคนไทย หนึ่งในความสบายใจ ล่ามจะอธิบายจนเราหลับเลยค่ะ เดี๋ยวคุณหมอจะทำตรงนั้นตรงนี้ โชคดีที่ได้คุยกันเบื้องต้นกับเอ๋ก่อนที่จะทำ ได้มีการวางแผนว่าโอเคจะทำยังไงยังไง มันเลยไปถึงตรงนั้นมันก็ทำให้เราไม่กังวล

สามารถติดตาม WOODY INTERVIEW ได้ที่ช่องทาง Facebook: Woody , Youtube: Woody
คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=1NhBP_JdSmM
“ดิว อริสรา” โพสต์ขอบคุณทนายผู้พิทักษ์ ที่ทำงานด้วยหัวใจ ช่วยผ่านวิกฤตได้ทีละก้าว
หลังจากจากกรณีที่นักแสดงสาว “ดิว อริสรา” บินกลับมายังประเทศไทยเพื่อมาร่วมงานศพของคุณพ่อ รวมไปถึงเคลียร์คดีเรื่องใช้หนี้กับนักธุรกิจสาว เมย์ วาสนา อินทะแสง ที่เป็นประเด็นร้อนเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ล่าสุด ดิว อริสรา โพสต์ภาพคู่กับ ทนายเอี้ยง นิติศักดิ์ มีขวด ทนายความส่วนตัวที่ช่วยเหลือตนในวันที่ล้ม จนสามารถยืนได้ในวันนี้ ลั่นเป็นมากกว่าทนาย พร้อมทั้งเขียนข้อความถึงทนายเอี้ยงไว้ว่า

“ในทุกวิกฤตที่ผ่านมา ดิวโชคดีที่ได้เจอทนายที่ไม่ใช่แค่ทนาย แต่เป็นเหมือนพี่ชายและครอบครัวที่อยู่เคียงข้างดิวด้วยความรัก ความจริงใจ และความซื่อตรง พี่เอี้ยง นิติศักดิ์ มีขวด

คือทนายที่ทำเพื่อดิวอย่างเต็มที่ ทุ่มเททุกทางเพื่อให้ดิวผ่านเรื่องยากๆ ไปได้ และวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เขาช่วยดิวให้ค่อยๆ ยืนขึ้นได้อย่างมั่นคง มันไม่ใช่ทุกครั้งที่เราจะได้เจอคนที่ทำงานด้วย ‘หัวใจ’ มากกว่าผลประโยชน์ หรือ การเป็นทนายหิวแสงที่ทำหน้าที่ทนายจนเลยบทบาทของทนายที่ดีที่ควรเป็น

แต่ทนายท่านนี้คือคนที่ดิวเชื่อมั่นอย่างที่สุด เพราะเขาไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยลังเลที่จะสู้เพื่อเรา คนเราจะรู้คุณค่าของ ผู้พิทักษ์ก็ในวันที่เรากำลังล้ม และดิวก็ได้เจอผู้พิทักษ์คนนั้นแล้ว ทนายที่ยืนเคียงข้างดิวทุกย่างก้าว ไม่เคยเรียกร้องสิ่งใดตอบแทน

แต่กลับทุ่มเททุกอย่างด้วยความรัก ความจริงใจ และความซื่อตรง จนดิวผ่านทุกวิกฤตมาได้ทีละก้าววันนี้ดิวอยากจะขอบคุณพี่เอี้ยงจากใจ และอยากบอกต่อเผื่อใครที่กำลังมองหาทนายที่ไม่ใช่แค่เก่งในวิชาชีพ แต่เก่งในหัวใจด้วย ต้องคนนี้เท่านั้น
กองปราบฯหมายเรียก ดิว อริสรา ยักยอก 62 ล้าน หาก 7 วันไม่มาออกหมายจับทันที
เมื่อวันที่ 19 ส.ค. ที่ กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เปิดเผยความคืบหน้าคดีที่ น.ส.อริสรา ทองบริสุทธิ์ หรือ “ดิว อริสรา” นักแสดงชื่อดัง ถูกทนายความของ น.ส.วาสนา อินทะแสง หรือ “เมย์” แจ้งความดำเนินคดีในข้อหา “ยักยอกทรัพย์” มูลค่า 62 ล้านบาท

พ.ต.อ.เอนก กล่าวว่า ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย โดยออกหมายเรียกไปยังภูมิลำเนาของผู้ต้องหาในกรุงเทพฯ แล้ว ซึ่งตามกฎหมายผู้ถูกออกหมายเรียกจะต้องมาพบพนักงานสอบสวนภายใน 7 วัน หากไม่มา ก็เข้าข่ายการหลบหนี และจะมีการดำเนินการออกหมายจับต่อไป

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า ขณะนี้ “ดิว อริสรา” ได้มีการประสานเข้ามาเพื่อให้ปากคำหรือยังนั้น พ.ต.อ.เอนก ระบุว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการติดต่อเข้ามา ทั้งจากตัว ดิว เองหรือจากทนายความ

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจย้ำว่า การดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอน หากผู้ถูกกล่าวหามีการเข้าพบเพื่อให้ปากคำก็จะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนตามปกติ แต่หากเพิกเฉย ไม่มาตามหมายเรียก ก็จำเป็นต้องขอศาลอนุมัติออกหมายจับต่อไป
#ดิวอริสรา #สยามดารา
“อนันดา”ประกาศข่าวดี ”ณัฐ“ภรรยาตั้งท้องลูกคนแรก เพื่อนดาราแห่ยินดีแน่นไอจี
กำลังจะเป็นแด๊ดดี๊ป้ายแดงแล้วจ้า สำหรับพระเอกหนุ่ม อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ที่ล่าสุด 17 ส.ค.68 ได้ประกาศข่าวดีภรรยาสุดรัก ณัฐ ณิชชา ธนาลงกรณ์ดีไซเนอร์-นักธุรกิจสาวกำลังตั้งครรภ์ลูก คนแรก

โดย อนันดา ได้เผยภาพถ่ายคู่กับณัฐ และมีภาพอัลตราซาวนด์ลูกในท้อง พร้อมทั้งเขียนแคปชั่นสั้นๆ ว่า “And the journey continues” ท่ามกลางแฟนๆ และเพื่อนในวงการต่างเข้ามาคอมเมนต์แสดงความยินดีกับทั้งคู่เป็นจำนวนมาก

สยามดาขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ

Cr. ig @ananda_everingham #อนันดา #สยามดารา
"อี้แทนคุณ" พาภรรยา "เอ๋ ไพโรจน์" ร้องอัยการ หวั่นสาเหตุเสียชีวิตปริศนา ถูกกีดกันออกจากบ้านเดิม ด้านเบสท์ ลูกสาว เผยกำลังรอคำสั่งศาลเพื่อให้ตนเป็นผู้จัดการมรดก
เมื่อวันที่ 15 ส.ค.68 อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม เก่ง สุเชษฐ์ ได้พา นางพลอยรัชษ์ ชินรัตน์วาณิช หรือคุณเอ๋ ภรรยาของอดีตพระเอกและผู้กำกับชื่อดัง "เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร" ที่เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมา เดินทางไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม หลังถูกลูกสาวของสามีขับไล่ออกจากบ้าน และยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของสามี

คุณเอ๋ พลอยรัชษ์ ซึ่งอยู่กินกับนายไพโรจน์มานานกว่า 20 ปี และแต่งงานกันในปี 2552 เปิดเผยว่า หลังการจากไปของสามี ตนถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปในงานศพ ไม่ได้เห็นใบมรณบัตร และเมื่อกลับไปที่บ้านที่เคยอาศัยอยู่ร่วมกันก็พบว่าลูกบิดประตูถูกเปลี่ยน ทำให้ไม่สามารถเข้าบ้านได้ตามปกติปมขัดแย้งเรื่องบ้านและทรัพย์สิน

คุณเอ๋-พลอยรัชษ์ ชินรัตน์วาณิช อายุ 50 ปี ภรรยาอยู่กินกับเอ๋ ไพโรจน์ มา 20 ปี เผยว่า หลังการเสียชีวิตของนายไพโรจน์เพียง 15 วัน ลูกสาวของสามีได้ส่งข้อความมาบอกว่าบ้านได้ถูกโอนไปให้ผู้อื่นแล้ว พร้อมทั้งเร่งให้ตนย้ายออกจากบ้านอย่างเร่งด่วน เมื่อกลับไปที่บ้านก็พบว่าห้องพระถูกรื้อค้น และมีพระเครื่องมูลค่านับล้านบาท รวมถึงทรัพย์สินอื่น ๆ หายไปหลายรายการ

ทำให้ต้องเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาบุกรุก นอกจากนี้ คุณเอ๋ยังสงสัยว่า ฮาร์ดดิสก์ 2 เครื่อง,คอมพิวเตอร์ และแหวนที่ได้รับจากสามีได้หายไป และยืนยันว่าตลอดเวลาที่อยู่กินด้วยกัน ได้ร่วมทำธุรกิจถึง 4 บริษัท และต้องการให้เจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมด

ด้าน "เบสท์ ปณิชดา" ลูกสาวของ "เอ๋ ไพโรจน์" ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า คุณเอ๋ พลอยรัชษ์ ไม่ใช่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และหลังพ่อเสียชีวิต มีการนำรถยนต์ของพ่อไปใช้แล้วไม่คืน รวมถึงทรัพย์สินอื่น ๆ ในบ้านได้หายไปหลายรายการ

เบสท์ยอมรับว่าได้เปลี่ยนลูกบิดประตูใหม่จริง เพื่อป้องกันของหาย แต่คุณเอ๋ก็สามารถสะเดาะกุญแจเข้าไปในบ้านได้ และได้นำกุญแจของตัวเองมาล็อกซ้ำ ยืนยันว่าคุณเอ๋ยังคงเข้าออกบ้านได้ เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวยังอยู่ครบ และพ่อเคยให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าได้เลิกรากับคุณเอ๋ไป แล้ว

เบสท์กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้กำลังรอคำสั่งศาลเพื่อให้ตนเป็นผู้จัดการมรดกตามกฎหมาย พร้อมยืนยันว่าทรัพย์สินของพ่อมีเพียงรถและบ้านเท่านั้น และจะดูแลทรัพย์สินทั้งหมดให้เป็นไปตามกฎหมาย

#สยามดารา
ดีเอ็นเอรักชาติ! น็อต เคลียร์ทัวร์ลงโดนปลดรายการดัง อุดมการณ์ชัดเจน มีภูมิคุ้มกันคอมเมนต์เชิงลบ
โดนทัวร์ลงเป็นงานประจำ สำหรับพิธีกรฝีปากกล้า "น็อต วรฤทธิ์" ที่มักถูกโยงเป็นดรามาร้อนๆทุกครั้งที่มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับทางการเมือง อย่างล่าสุดเกิดเป็นวาทะร้อนหลังสัมภาษณ์ "จักรภพ เพ็ญแข" จนโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์แรง บานปลายไปถึงถูกสั่งปลดจากรายการดังที่เจ้าตัวเป็นพิธีกร งานนี้ลัดคิวมาเปิดใจผ่านรายการ โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" ตอบทุกเรื่องร้อน และเหตุใดถึงมีอุดมการณ์และจุดยืนที่ชัดเจนขนาดนี้

ย้อนถามถึงประเด็นดัง สัมภาษณ์ "จักรภพ เพ็ญแข" เป็นเรื่องดรามาใหญ่โต?
"เหตุเกิดจากเราขึ้น เราซีเรียสมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาแก้ตัว มันต้องพูดกันตรงๆ ต้องสื่อสารกันตรงๆเพราะทุกคนอยากรู้ว่าแล้วจะต้องทำยังไง เหตุการณ์มันจะบานปลายไปขนาดไหน และจะจัดการยังไงให้จบได้เร็วที่สุด มันคือหน้าที่ของเค้าที่เราอยากรู้คำตอบ"

ได้มีพูดคุยกันในช่วงพักเบรคมั้ย เพราะเป็นรายการสด ?
"ไม่มีครับ จริงๆต้องมีถ่ายรูปรวมกัน แต่พี่เค้ารีบ เค้ามีธุระ (หัวเราะ)"

หลังรายการจบลง มีคอมเมนต์ทัวร์ลงเยอะ เรื่องการทำงานพิธีกรที่ใช้อารมณ์มากเกินไป?
"จริงๆมันมีคนว่าเยอะ ตัวเราเองก็รู้สึกว่าเราใช้ความเป็นตัวเองมากเกินไป คือหลายคนคอมเมนต์บอกว่าทำไมไม่เป็นมืออาชีพเลย ทำไมไม่ควบคุมรายการทำไมถึงใส่อารมณ์ ผมก็ยอมรับว่า ณ เวลานั้นผมไม่ได้ใช้ความมืออาชีพในการเป็นพิธีกร ผมใช้หัวใจในการทำงาน ผมอยากรู้ เวลาเราเป็นพิธีกร เราอยากรู้อะไรเราก็ถาม ไม่ได้ตามสคริปต์ เพื่อให้ได้คำตอบตามที่เราต้องการนั้นคือวิธีการทำงานของผม ผมรู้สึกว่าผมใช้หัวใจทำงานผมใช้เลือดเนื้อในการทำงานมากเกินไป"

หลังจากทัวร์ลงไปไหนมาไหนคนมองยังไงบ้าง?
"ทุกคนก็บอกว่าให้กำลังใจนะ เค้าก็ให้กำลังใจอยากจะบอกว่าขอบคุณทุกคนมาก ครับ"

ประเด็นแรงถึงขั้นเม้าท์กันว่าจะถูกปลดจากพิธีกร?
"มดดำก็ส่งข่าวมาให้อ่าน จะปลดได้ไงฉันจะปลดแกได้ยังไง อย่างที่หลายคนรู้มดดำก็เป็นเพื่อนที่น่ารักคนนึง คนที่รักคนรอบตัว รักคนรอบรอบตัวทุกคนจริงๆ แล้วก็หวังดีกับทุกคนจริงๆ เรื่องการปลดผมว่าคงไม่ได้โดนปลดเพราะว่ามดดำคงไม่ไปบอกว่าให้เลิกจากผู้ชายคนนี้ซะ ไม่น่าจะเกิดจากมดดำ ถ้าจะโดนปลดก็น่าจะเกิดจากสาเหตุอื่น แต่ ณ วันนี้ไม่ได้มีการปลดอะไรก็ยังอยู่ด้วยกันไป"

รู้สึกยังไงบ้างที่โดนวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวข้องกับการเมืองมาตลอด?
"ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมโดน ผมโดนเยอะ ผมโดนทัวร์ลงมาเยอะมาก ถ้ามีแขกรับเชิญที่เป็นเรื่องของการเมืองเมื่อไรผมโดนตลอด เพราะคนจะมองว่าตามที่เค้าเรียกผมว่าไอ้สลิ่ม ก็ว่ากันไป ผมก็รู้สึกว่าผมก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง จะเป็นอะไรก็เป็นคนไทยเนอะ"

กลัวมั้ยกับการที่มีจุดยืนที่จะทำ?
"ถ้ากลัวผมคงไม่ทำ ก็ไม่รู้จะกลัวทำไม (อ่านทุกคอมเมนต์มั้ย) อ่านไม่ไหวครับ เพราะมันเยอะ มันเป็นหมื่นๆคอมเมนต์ มันเยอะมากเป็นหมื่นๆ ทุกวันนี้ก็ยังมีคนด่า คนอัดคลิปด่า ผมก็ดูมีคนส่งมาให้ ก็แล้วแต่ ต่างคนต่างมีความคิดเห็น ผมรู้สึกไม่สนใจ ไม่รู้ว่าจะต้องไปเถียงทำไม เถียงไปก็เท่านั้นไม่มีประโยชน์ ถ้าคนมันโดนปิดหูปิดตาแล้ว"

เราโดนปลูกผังยังไง ถึงข้ามเรื่องราวแบบนี้ได้?
"บ้านผมไม่ดรามากัน คือคุณพ่อคุณแม่ไม่ดรามาเข้าสอนให้เราเข้าใจโลก อาจจะเป็นเพราะว่าตอนเด็กๆเราถูกปล่อยให้ดูแลตัวเอง ดูแลทั้งร่างกายและจิตใจด้วยตัวเองตั้งแต่เด็กๆโดยการที่ส่งไปเรียนต่างประเทศ ทำให้เราสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง ถามว่ารู้สึกว่าโกรธมั้ย เจ็บใจมั้ยมันมีความรู้สึก แต่แค่รู้สึกว่าถ้าเรากดไปความโมโหนั้นมันอยู่กับตัวเอง มันไม่มีใครไปรับความรู้สึกตรงนั้นเพราะเราไปทะเลาะกับใครก็ไม่รู้ แต่เราก็จะทุกข์อยู่คนเดียวแล้วเราจะทำไปทำไม แรกๆผมเป็นรู้สึกว่าเราทุกข์อยู่คนเดียว เราเจ็บอยู่คนเดียว แล้วใครรับรู้ตรงนี้รู้สึกว่ามันไม่มีอะไรก็ไม่โกรธดีกว่า"

เป็นคนที่ชัดมาตลอดกับภาพรักชาติศาสน์กษัตริย์?
"เราครอบครัวคนไทยเนอะ พ่อกับแม่ไม่ได้สอนเค้าทำให้เราเห็นมากกว่า แล้วผมก็ยึดมั่นในสามสิ่งนี้ คือชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ขอแค่สามอย่างนี้อย่างอื่นคุณจะว่าอะไรว่าไป สามอย่างนี้คืออย่าแตะต้อง ผมขอแค่นี้เลย มันอยู่ในดีเอ็นเอของเรา มันอยู่ในเลือดเราเพราะเราคือคนไทย"
ร่างพังเพราะอักเสบเรื้อรัง? กินแบบนี้ช่วยได้!
Tuck Talk สัปดาห์นี้พบกับสาระความรู้เรื่อง แหล่งพิษลับทำปอดพัง โรคเรื้อรัง อยู่ใกล้แค่ในครัว!? พร้อมรู้ทันภัยเงียบทำลายเซลล์จากอาหารที่กินทุกวัน กินอย่างไรที่จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรัง ลดเซลล์ซอมบี้ ห่างไกลโรคร้ายด้วยเคล็ดลับ 6 อ. จาก “ผศ.ดร.เอกราช บำรุงพืชน์” ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการเพื่อการชะลอวัย

การอักเสบในร่างกายมีกี่ประเภท แตกต่างกันยังไง?
ดร.เอกราช : ต้องบอกก่อนนะครับว่าในทางการแพทย์ การอักเสบจะมีอยู่ 2 รูปแบบด้วยกัน อักเสบแบบแรกก็คือ อักเสบแบบเฉียบพลัน แบบที่เราเห็นแผล ฝี หนอง พุพอง บวมแดง ปรากฏขึ้นมา ซึ่งอักเสบแบบนี้เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกาย เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ เพราะเวลาเรามีการบาดเจ็บหรือติดเชื้อ มันจะส่งสัญญาณและให้หลั่งสารอักเสบออกมาเพื่อเรียกเม็ดเลือดขาวมาจับกินเชื้อโรคและซ่อมแซมบาดแผล หรือการติดเชื้อนั้นๆ ให้มันหายไป งั้นแล้วมันเป็นกระบวนการตามธรรมชาติของร่างกายที่มีความจำเป็นในการอักเสบแบบเฉียบพลัน ส่วนอักเสบแบบที่ 2 เราเรียกว่า อักเสบเรื้อรัง เป็นการอักเสบที่ถือว่าเป็นภัยเงียบแฝง ไม่แสดงอาการ ค่อยๆ ลามไปอยู่ในร่างกายของเรา เหมือนปลวกกินบ้าน พอรู้อีกทีหนึ่ง บ้านพังแล้ว เกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ตามมาแล้ว เพราะมันเกิดขึ้นจากพฤติกรรมของเรา ไลฟ์สไตล์ของเรา

การกินเกี่ยวไหม ?
ดร.เอกราช : เกี่ยวข้องโดยตรงเลยครับ อาหารแปรรูป Food แปรรูปขั้นสูงขั้นสุด ก่อให้เกิดการอักเสบขั้นสุดเลยครับ เพราะแปรรูปเนี่ยมันมี 4 ระดับ ไอ้ขั้นสุดเลย คือมันผ่านกระบวนการเยอะแยะมากมาย เพราะมีสารกันบูดกันเสีย โดยเฉพาะในกลุ่มไนเตรต ไนไตรต์ (สารกันเสีย) ซึ่งเวลาร่างกายได้รับเข้าไปผ่านระบบย่อย กรดที่กระเพาะมันจะเปลี่ยนเป็นสารไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง แล้วมีการศึกษาวิจัยว่ากินพวก Ultra Processed Food เนื้อสัตว์แปรรูป เนื้อแดงแปรรูปแค่อาทิตย์เดียว กินทุกวัน สามารถที่จะเพิ่มสารอักเสบในเลือดเพิ่มขึ้นเลย พวกไซโตไคน์เพิ่มสูงขึ้น

พวก กุนเชียง หมูหยอง เร่งการอักเสบไหม ?
ดร.เอกราช : ถือว่าเป็น Ultra Processed Food ครับ เนื้อสัตว์แปรรูป ไส้กรอก แฮม เบคอน แล้วก็จะมีในกลุ่มของพวกขนมขบเคี้ยวครับ พวกนี้ก็แปรรูปขั้นสุด คุกกี้ เบเกอรี่ โดนัท น้ำหวาน น้ำอัดลม ชานมไข่มุก แปรรูปขั้นสุดหมดเลย

ทานไม่ได้สักอย่างเลย ?
ดร.เอกราช : ทานได้ครับ แต่ปริมาณที่รับประทานควรกินแต่น้อย แล้วเรารู้แล้วมื้อนั้นที่เรากินอาหารแปรรูปเหล่านี้ ก็ต้องกินพืชผักแล้วก็วิตามินซีที่สูง เพราะมันจะไปช่วยยับยั้งการเปลี่ยนไนเตรต ไนไตรต์ให้เป็นไนโตรซามีนที่เป็นสารก่อมะเร็ง หรือว่ากินน้ำเข้าไปช่วยให้มันล้างไป ในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายของเรา อันนี้มันช่วยได้ เพราะไม่งั้นพวก Ultra Processed Food ที่เขามาพูดกันเยอะๆ มันเกี่ยวข้องกับ longevity การมีอายุที่ยืนยาว เพราะเขาพบว่าคนที่ชอบกินอาหารแปรรูปเส้น อาหารแช่แข็งอะไรพวกเย็น พวกนั้นจะมีแร่ธาตุสารต้านอนุมูลอิสระไยอาหารต่ำ และสารสังเคราะห์ต่างๆ สูง กินของเหล่านี้เป็นประจำจะเสี่ยงให้เกิดโรคอ้วนถึง 50% จึงแนะนำให้ซื้ออาหารสด และซื้อให้ไม่ซ้ำวนไปหลายๆเจ้า ช่วยกระจายความเสี่ยงของสารพิษตกค้างที่อยู่ในแต่ละวัตถุดิบอาหาร น้ำตาลที่เรากินเยอะๆ ก็ก่อให้เกิดการอักเสบสูงครับ

ทุกสิ่งมีน้ำตาลทั้งนั้นเลย เราจะหลีกเลี่ยงยังไง ?
ดร.เอกราช : น้ำตาลแฝง อาจารย์ต้องบอกก่อนว่า ปกติแล้วเรามีโควต้าในการที่จะกิน จริงๆ แล้วเราไม่กินเลยก็ได้นะครับ โควต้าคือ 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน ยิ่งน้อยยิ่งดี เพราะผลกระทบทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง แม้กระทั่งภูมิคุ้มกันของเราก็ทำงานได้ไม่ดี มีการศึกษาวิจัยว่าหลังจากเราได้รับน้ำตาลในปริมาณสูงๆ เข้าไปมันทำให้เม็ดเลือดขาว ที่ทำหน้าที่จับกินเชื้อโรคประสิทธิภาพลดลงถึง 50% ภายใน 1-2 ชั่วโมง ต้องกินแบบมีสติ

ดาร์กช็อกโกแลตช่วยลดการอักเสบได้ไหม ?
ดร.เอกราช : จริงๆ สามารถกินได้ครับ ในปริมาณที่เหมาะสม ดีมากครับ จริงๆ แล้ว ดาร์กช็อกโกแลตจะมีองค์ประกอบหลักของพวกโกโก้ ซึ่งในโกโก้จะมีพวกสารฟลาโวนอยด์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบได้ดี แล้วช่วยกระตุ้นไนตริกออกไซด์ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตเราดีครับ ปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคคือ 30 กรัม หวานจากธรรมชาติก็จะได้ประโยชน์สูงสุดในการลดการอักเสบของเราได้ นอกเหนือจากอาหารคืออารมณ์และความเครียดก็ก่อให้เกิดการอักเสบ

เรื่องของความเครียด ?
ดร.เอกราช : คือต้องบอกว่าเครียดน้อย พอให้มันมีแรงผลักดันชีวิต เครียดแต่น้อย ไม่ใช่ว่าเครียดหนักไม่ปล่อยวาง คอร์ติมันจะหลั่งเยอะขึ้นก็จะไปมีผลทำให้ไขมันสะสมในช่องท้องเยอะขึ้น ก็หลั่งสารอักเสบเพิ่มมากขึ้น แล้วยิ่งเครียด อนุมูลอิสระหรือ Free Radical ยิ่งสูงขึ้น ก็ทำให้เซลล์ของเราเสื่อมแก่

เหล่านี้ที่ว่ามันเป็นการสะสม เรื่องความเครียด เรื่องอาหาร แล้วมีเรื่องของอะไรอีก ?
ดร.เอกราช : PM 2.5 ที่เราหายใจเข้าไปมลพิษทั้งหลาย หรือบุหรี่ แล้วก็เรื่องของการนอนหลับ นอนดึกพักผ่อนน้อย Growth Hormone หลั่งได้ไม่เต็มที่ ไม่ได้ฟื้นฟูเซลล์ต่างๆ เซลล์ของเราก็เสื่อมไป เซลล์ของเราก็แก่ไป ก็จะเกิด Zombie Cell หรือ Senescent Cell ทางการแพทย์มันเป็นเซลล์ที่มันแก่แต่ไม่ตาย มันเหมือนซอมบี้ ปกติแล้วเซลล์ของเราเวลามันทำหน้าที่ไปตามความแก่ชราของร่างกาย หรือบางทีเราไปเจอมลพิษอะไรต่างๆ มันทำให้เซลล์ของเราเสื่อมแล้วก็ตาย แต่ซอมบี้เซลล์มันไม่ตายแล้วมันก็จะหลั่งสารอักเสบออกมาแล้วทำลายเนื้อเยื่อ โดยรอบ

เรื่องของฝุ่น PM 2.5
ดร.เอกราช : พวกนี้เป็นภัยเงียบแฝงเลย ที่เราสูดดมเข้าไปคือฆาตกรเงียบจะค่อยๆสะสมจากที่เราหายใจ มันก็จะไปทำลายระบบต่างๆของร่างกาย ก่อให้เกิดการอักเสบทำลายเซลล์ปอด ทำลายทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งผิวก็ทำให้เราแก่เร็วเหี่ยวง่าย แล้วก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปอด

อยู่ในร่างกายโดยที่เราไม่รู้ ?
ดร.เอกราช : ไม่รู้ตัวเลย แล้ววันดีคืนร้ายขึ้นมามันก่อให้เกิดการอักเสบเยอะขึ้น แล้วไปเหนี่ยวนำ ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เป็นเบาหวาน เป็นหัวใจ เป็นมะเร็ง จากซอมบี้เซลล์ ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบขึ้นมา เป็นภัยเงียบแฝงสารพัดเลยที่ก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง เกิดขึ้น

มีอะไรที่จะช่วยร่างกายเราได้ยังไงบ้าง ?
ดร.เอกราช : อาหารครับ สามารถต้านอักเสบได้ เป็นสิ่งที่เรากินทุกวัน มันมีการศึกษาวิจัยหลายกลุ่มของอาหารที่สามารถที่จะช่วยลดการอักเสบเรื้อรังได้นะ อย่างสารพฤกษเคมีง่ายๆ เลยนะครับ ก็คือที่อยู่ในพืชผักผลไม้ต่างๆ หรือสมุนไพรต่างๆ เช่น เคอร์คูมิน จากขมิ้นชัน ตัวนี้จะมีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบได้ดีครับ แกงเหลือง ข้าวหมกไก่ แกงกะหรี่ พวกนี้ก็มีครับ มีสารเคอร์คูมินช่วยต้านการอักเสบได้ดี แล้วยิ่งถ้ากินคู่กับพริกไทยดำมันจะเพิ่มการดูดซึมของเคอร์คูมิน พวกแกงเลียง แกงส้ม แกงเหลืองอะไรพวกนี้ที่มันช่วยต้านการอักเสบได้ดีจากสารโพลีฟีนอลหรือสารที่มันช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านอักเสบที่อยู่ในพืชผักสมุนไพร อีกกลุ่มหนึ่งก็คือพวกพืชตระกูลเบอร์รี พวกแอนโทไซยานิน ที่เป็นสารสีม่วงแดงอยู่ในพืชตระกูลเบอร์รี ถ้าเบอร์รีฝรั่งเรารู้จัก บลูเบอร์รี ราสเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี แบล็กเบอร์รี ถ้าเบอร์รีไทย มัลเบอร์รี หรือลูกหม่อน มะเม่า มะหลอด มะยม กระเจี๊ยบ อัญชัน ข้าวไรเบอร์รี่ พวกพืชที่สีม่วงแดงก็มีสารต้านอักเสบได้ดี หรือวิตามินซีก็เป็นเบสิกวิตามินที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระมีฤทธิ์ในการต้านอักเสบได้สูง มะละกอสุกวิตามินซีก็พอๆ กับส้มเลยครับ พริกหวานวิตามินซีสูงกว่าส้มเป็นเท่าตัว อีกตัวที่มีฤทธิ์ต้านอักเสบได้ดีคือสารเพอร์ซิตินอยู่ในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ที่อยู่ในพืชผักผลไม้ จะพบเยอะในพวกหัวหอม หัวหอมแดง หัวหอมใหญ่ แอปเปิ้ล โดยเฉพาะบริเวณเปลือก พวกนี้ก็จะช่วยในเรื่องของการต้านการอักเสบได้ดี แล้วช่วยส่งเสริมสุขภาพปอด ทางเดินหายใจ

วิตามินเสริมภูมิคุ้มกันหรือว่าผลิตภัณฑ์ที่เสริมอาหารที่ช่วยในเรื่องการต้านอักเสบควรจะกินตอนไหนถือว่าดีที่สุด?
ดร.เอกราช : ดีที่สุดเลยก็คือ กินในมื้อเช้าหลังอาหารเช้าก็ได้ครับ เนื่องมาจากว่าชีวิตเราจะต้องเผชิญกับมลพิษฝุ่น ความเครียด ไปจนถึงอาหารการกินที่อาจจะมีผลไปกระตุ้นการอักเสบ แล้วเรากินในมื้อเช้าเพื่อให้มันออกฤทธิ์ครอบคลุมตลอดทั้งวัน

ถ้าอยากจะเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ เพื่อช่วยลดการอักเสบอะไรต่างๆ ในร่างกาย ?
ดร.เอกราช : เริ่มแก้ด้วยพฤติกรรมครับ Lifestyle Medicine การใช้ชีวิตของเรา หรือเวชศาสตร์วิถีชีวิต 6 อ. อย่างแรกเลยคืออาหารต้องพยายามลดละเลี่ยง น้ำตาล อาหารที่เป็น Processed Food แปรรูปขั้นสุด พยายามกินอาหารต้านการอักเสบ เพื่อช่วยในการที่จะลดการอักเสบในร่างกาย ดับโรคเรื้อรังแล้วช่วยให้ภูมิคุ้มกันเราทำงานดี ภูมิคุ้มกันเมื่อก่อนเรามองว่ามันใช้ในการป้องกันโรคติดเชื้อที่ได้รับเชื้อโรคเชื้อร้าย โควิดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์สารพัดเลย แต่จริงๆ แล้วภูมิคุ้มกันยังกำจัดเซลล์มะเร็งในร่างกาย สองก็คืออารมณ์พยายามคิดบวก เครียดให้น้อยที่สุดมีสติรู้ ส่วนที่ 3 อากาศ อันนี้สำคัญมากครับ เพราะ PM มันมาเหนี่ยวนำทำให้เกิดโรคมะเร็ง ทำให้เกิดโรคหัวใจ ใส่หน้ากากป้องกัน หาตัวช่วยตัวเสริมวิตามินซีอะไรต่างๆ หรือสารต้านอนุมูลอิสระต้านอักเสบ ส่วนที่ 4 คือออกกำลังกายอันนี้ก็สำคัญครับในการที่จะเสริมภูมิคุ้มกันในการหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ช่วยต้านอักเสบ และ 5 คือการเอ็นหลังหลับนอน การหลับลึกก็สำคัญจะเป็นช่วงที่หลั่ง Growth Hormone ฮอร์โมนที่ช่วยชะลอวัย ฮอร์โมนที่ช่วยต้านแก่ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมัน และสุดท้าย 6 คือ โอบอ้อมอารี ถ้ามีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีก็จะช่วยให้ชีวิตดีด้วย สุขภาพที่ดีเริ่มที่ตัวเราครับ

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น. คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=y6oCzjYa0Pg&t=1060s
“ยิปโซ” เล่าชีวิตสุดโต่ง ลดน้ำหนักจนผมร่วง ประจำเดือนไม่มา สู่เส้นทางเยียวยาตัวเอง
ล้วงชีวิตสุดโต่ง! ยิปโซ อริย์กันตา ในรายการ Prime Cast เจาะลึกถึงเรื่องรูปร่างและความคาดหวังของสังคม แชร์ประสบการณ์การป่วย Eating Disorder ที่ไม่มีใครรู้ เคยคลั่งผอมจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สู่การเรียนรู้ที่จะหาจุดสมดุลระหว่างความสุดขอบและความพอดี โดยเฉพาะในเรื่องการออกกำลังกาย เข้าใจและยอมรับในธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ และเรื่องการจัดการกับฮอร์โมนด้วยความยากลำบาก

ตอนนี้พี่ยิบโซทำอะไรอยู่บ้าง ไม่ได้ถามอายุ ?
ยิปโซ : ฉันไม่เคยอายกับเรื่องอายุตัวเองเลยจริง ๆ ปีนี้ 36 ค่ะ มีความสุขนะคะจริงๆ แล้ว

ชอบตัวเองในเวอร์ชั่นไหนมากที่สุด ?
ยิปโซ : มันจะไม่ใช่หลักปีสิ แต่โดยรวม อย่างช่วงอายุ 32 หรือ 35 มันจะมีช่วงที่เราชอบอะไรบางอย่างไม่เหมือนกัน แต่โดยรวมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าตอนนั้นอายุเท่าไหร่ตอนนี้อายุเท่าไหร่เราก็จะชอบอันนั้นที่สุด จะเป็นคนที่ไม่กล้าเปลี่ยนอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าถ้าเปลี่ยน เดี๋ยวตรงนี้จะไม่เป็นแบบนี้ เพราะรู้สึกว่ายังไง ๆ มันก็ต้องมาแบบนี้

ช่วงนี้ทำอะไรอยู่บ้าง ?
ยิปโซ : ทุกวันนี้ก็คือทำงานปกติในแง่ของโซเชียลก็จะมีงานอยู่ แต่ว่างานละคร งาน acting ตอนนี้ยังไม่ได้ทำโปรเจกต์อะไรค่ะ แล้วก็ทำงานศิลปะเยอะขึ้น เพราะว่าเหมือนกับตอนต้นปีที่ผ่านมา ปี 2025 ก็คือพี่เริ่มทำเหมือนกับ Exhibition join ไป ก็คือเหมือนกับว่าเอาสิ่งที่เคยวาดมาตลอดตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ที่มันไม่เคยแบบทำจริงจังซักที เอามาทำ Exhibition แล้วหลังจากนั้นมา ทุกวันนี้ก็ยังพยายามสม่ำเสมอกับการทำมันมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็หลัง ๆ อินกับการออกกำลังกาย สนุกกับมันมาก ๆ สนุกเกินไปจนมีผลแห่งกรรมบางอย่าง

ได้ทำอะไรในสิ่งที่ตัวเองชอบ ?
ยิปโซ : เรียกว่าทำหลายอย่าง แต่ไม่เรียกว่าเจอ balance มีความแตกต่างนะ ไม่รู้ทำ balance หายไป ตรงไหน

แต่ถือว่าศิลปะที่เอาเข้ามามากขึ้นก็ช่วยเยียวยาจิตใจเรามากขึ้นไหม ?
ยิปโซ : มากค่ะ คือเหมือนกับว่าเยียวยาจิตใจแต่ไม่ค่อยเยียวยาเรื่องทางการเงิน คือทำในสิ่งที่อยากทำ แต่ตอนนี้กำลังหา balance นั้นอยู่ว่าเราจะทำในสิ่งที่อยากทำ แล้วทำแบบฉลาดยังไงให้มันหาเลี้ยงชีพตัวเองได้ เราทำในสิ่งที่รัก แต่ว่าสิ่งที่เรารักนั้นควรจะเป็นสิ่งที่ support ชีวิตเราได้ด้วย รู้สึกว่ามันหมดยุคที่จะต้องแลกอันใดอันหนึ่งแล้ว รู้สึกว่า 2 อย่างมันควรจะรวมกันได้ถึงจะเป็นอะไรที่ยั่งยืน แล้วรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้มันทำอย่างงั้นได้ง่ายขึ้น รู้สึกว่าแต่ละคนไม่ว่าจะเด็ก ผู้ใหญ่ มี skill ในการหา balance ในชีวิตตัวเองไม่เท่ากัน การที่เราปรับเหมือนกับอายุเท่านี้ ไม่ได้แปลว่าพี่ผ่านอะไรมาแล้วจะหา balance ได้เก่งกว่าคนอื่นนะ เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับพื้นนิสัยแต่ละคนด้วย บางคนเขาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นคนที่ balance ชีวิตได้ดีก็มีเหมือนกัน แต่เราตั้งแต่เด็กจนโตเป็นคนที่สุดโต่งมากๆ ถ้าเกิดใครที่แบบรู้จักกันมาตลอด คือเป็นคนทำอะไรทำสุด แบบลองดูก่อน แล้วก็ส่วนใหญ่ก็จะสุดมาพร้อมกับผลของความ สุด

สุดท้ายเราก็ได้เรียนรู้อะไรจากมันยังไง ?
ยิปโซ : ใช่ แต่ว่าแม้แต่ตอนนี้ ล่าสุดที่ไปออกกำลังกายมาก็สุดเหมือนกัน คือมันเหมือนหยุดสันดานไม่ได้ แล้วพอทำไปมันก็จะมีผลลัพธ์ของความสุดออกมา ถามว่าเราได้เรียนรู้ไหม เรียนรู้แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องเรียนรู้บ้างว่าไม่ว่าจะในหมวดไหนก็ตามอย่าสุดเกิน ควรจะขยับบ้าง

ตลอดเวลาที่อยู่ในวงการมานาน รู้สึกว่าสังคมหรือ standard ของความคาดหวังที่คนมีให้เรามีผลต่อจิตใจไหม ?
ยิปโซ : โหด พี่ถือว่าดื้อแล้วนะ คือเหมือนกับอารมณ์ว่าถ้าเกิดมันมี standard อะไรบางอย่างที่มันมีอยู่ ไม่ใช่ว่าจะโอเค ทุกอย่างอะไรอย่างงี้ แต่เราเองก็ไม่ได้ถึงขั้นว่าจะไปต่อต้านอะไร คือพี่เชื่อว่ายุคก่อนพวกเรา เรื่อง beauty standard เรื่องที่ว่า คุณเป็นคนในวงการ หรือคุณเป็นคนที่ทำการแสดง ยุคก่อนหน้า ต้องเป็น 1 2 3 4 มันเครียดกว่า พอมาสิ่งที่เราอยู่ รู้สึกว่ามันมีความ rebel อะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว อย่างน้อยก็ในใจเราที่รู้สึกว่าเราไม่ได้จำเป็นจะต้องเป็นแบบนั้นเป๊ะ ๆ มันไม่ต้องภาพพับไว้ มันไม่ต้องหน้าตา pattern นี้ หรืออะไร pattern นี้ เพราะว่าเอาจริง ๆ สมัยก่อนยุคเรา จะเป็นสวยคือแบบฝรั่งลูกครึ่ง แล้วเราโผล่เข้ามาในหน้าที่แป๊ะเลย แล้วโชคดีที่ผนวกกับการที่เกาหลีเพิ่งเข้า เลยทำให้หน้าอย่างเราสามารถเกิดในวงการได้ ณ ตอนนั้น Beauty Standard มันเปลี่ยน แล้วก็โชคดีที่จังหวะนั้น เรามีความที่ทั้งเล่นตามน้ำ รู้ว่าจะไม่เปลี่ยนตัวเองแบบไหน แต่ถามว่ามีผลกระทบไหม มีมาก ๆ ยิ่งโดยเฉพาะตอนที่สมัยก่อนถ้าเกิดเราทำงานเป็นตัวเราเองจริง ๆ ที่เป็นยิบโซ ที่ความเป็นเรา มันไม่ซีเรียสเท่าไหร่ แต่ถ้าเกิดเป็นเรื่องการแสดง เราจะกดดันเว่อร์ ๆ เพราะเป็นคนเครียดเวลาทำงานอยู่แล้ว พื้นนิสัยทำงานอะไรแล้ว เครียด

เป็นคนกดดันตัวเองหรือเปล่า ?
ยิปโซ : มากเกินกว่าที่ดูน่ารัก ค่อนข้างเยอะ เหมือนทำอะไรแล้วซีเรียส ถ้าเกิดเราทำไม่ทำเต็มที่จะรู้สึกผิด เพราะพื้นฐานเป็นคนสุดโต่งด้วย อยากทำให้มันดีที่สุด พออันนี้มันมาผนวกรวมกับความกดดันในแง่ของสิ่งที่ไม่ถูกพูดถึงมาก ๆ แต่ว่าแน่นอนเวลาคุณทำงานในวงการ acting หรืออะไรก็ตาม โชคดีโอกาสของเราได้รับบทที่เป็นบทหลัก คุณเป็นนางเอกต่อให้ไม่มีใครมาบอกว่าคุณจะต้องน้ำหนักเท่านี้ หรือคุณจะต้องหน้าตาแบบนี้ หรืออะไรมัน automatic ไปเองว่าเราเองควรจะต้อง fulfill อะไรบางอย่างที่มันเป็น pattern ที่เขาต้องการ

ซึ่งตอนนั้นก็มีผลมากใช่ไหม ?
ยิปโซ : หนัก ถึงขั้นเคยเป็น Eating disorder คือเหมือนคนเรามันเหมือนกับว่ามันจะเป็นทั้ง anorexic มันจะเป็นทั้ง bulimia มันจะเป็นทั้งหลาย ๆ อย่างได้ บางทีมันส่งกัน ตอนนั้นที่เป็นตอนแรก มันเริ่มจาก anorexic ก่อน ตอนนั้นคือถ่ายละครแล้วตั้งใจจะลดน้ำหนัก อายุประมาณ 20 กว่า เล่นละครเรื่องแรก สมัยก่อนเล่นหนังมันจะไม่ได้ fix มากขนาดนั้น แต่ว่าพอเล่นละคร เราอยากจะทำบทนี้ให้มันจริงก็เลยถ้าเกิดวันหนึ่งเป็นคนแบบนี้ มันไม่น่าจะเป็นร่างนี้ ก็พยายามลดน้ำหนัก ในนั้นเขียนไว้ 45 กก. เราแบบสู้ มันเหมือนมันเป็น mission หนึ่งของเราตอนนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าลดน้ำหนักไปเยอะมาก ตอนที่ถ่ายละครอยู่ คนที่กองก็เป็นห่วงอยู่นะ เพราะว่าแทบไม่กินอะไรเลย กินน้อยมาก กินแต่ผัก ตอนนั้นก็คือเละ ก็คือกรอบเลย แขนก็คือเล็กแบบเละไปหมด แล้วก็กระดูกขึ้น ลงเกือบ 10 กิโลนะ แต่ว่าเป็น 10 ที่ไม่เฮลตี้ ไม่ได้ทำในวิธี ถูกต้อง

แล้วใครเป็นคน confirm ให้ว่าเป็น anorexia ตอนนั้น
ยิปโซ : ไม่มีใคร confirm ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำ ผ่านไปแล้วหลายปีถึงจะมารู้ว่าเป็น คือหลาย ๆ คนที่เป็น Eating disorder บางทีไม่ได้รู้ตัว ณ ตอนนั้นทันทีนะคะ ตอนนั้น anorexic อยู่แป๊บนึงแล้วสุดท้ายร่างกายมันไม่ยอม มันเหมือนร่างกายเรามันฉลาด คือมันเหมือนกับเราอดอาหารมาตั้งนาน สุดท้ายเขาจะมีวิธีการตีกลับ พอตีกลับเสร็จปุ๊บ พอเราผ่านช่วงที่เราถ่ายทำไปเสร็จปุ๊บ ตอนนั้นผมเริ่มร่วงอะไรทุกอย่าง ร่างกายประจำเดือนไม่มา เพราะว่าร่างกายจะตายแล้วเพราะมันขาดอาหาร ร่างกายเริ่มโหยมาก ๆ แล้วคราวนี้พอเราติดอยู่กับ mentality ว่ามันเป็นโรคทางความคิดแล้ว ยิ่งผอมยิ่งดี เหมือนต่อให้คนที่กองเดินมาคุยกับเราว่าผอมไปแล้วนะ ผู้กำกับเดินมา ยิบหน้าตา concern มาก ใช้งานไม่ค่อยดี แต่เราจะรู้สึกได้ จากสายตาคนรอบข้างได้ว่าถ้าเกิดมันผอมลงกว่านี้ก็คงดี แต่ว่ามันไม่ถูกพูดออกมา ก็โอเค ฉันรู้ ฉันรับโจทย์นั้นโดยที่ไม่ต้องมีใครพูด แล้วพอทำจนกระทั่งผู้กำกับมาบอกว่า ผอมไปนะ ไม่ว่าใครจะมาพูดอีกก็ตาม ดีค่ะ มันเหมือนชนะ มันรู้สึกชนะ อาการนี้ไม่ใช่อาการเท่นะ อาการของคนป่วย การที่เราคิดว่ายิ่งผอมแล้วยิ่งดี มันสะใจ เหมือนมันถูกต้อง มันชนะ ไม่ใช่อาการของคนที่สภาพจิตปกตินะ แต่ตอนนั้นโรคนี้มันไม่ได้ถูกพูดถึง หรือถูกเข้าใจมาก เพราะว่านี่คืออาการที่ไม่ปกติ คือคนเราไม่ควรจะมาเอาชัยชนะอะไรกับความเล็กลงของร่างกาย ไม่ได้สนใจแล้วว่าตอนนั้นสวยหรือไม่ สนใจแค่ว่าจะเล็กลงอีก ไม่กินแล้วก็ต่อมาพอร่างกายตีกลับแล้วมันบังคับว่ายังไงมันโหย กินเข้าไปเสร็จปุ๊บ รู้สึกผิด เป็นต่อมาคือเป็น bulimia โรคนี้ไม่น่ารัก ดูไม่สะอาด แล้วก็เป็นโรคที่ทำให้เราเกลียดตัวเองมาก ๆ จริง ๆ คือ bulimia คือเวลากินแล้วเราเอาออก เรา force ตัวเอง

ผ่านไปได้ไงกับ bulimia
ยิปโซ : ใช้เวลามาก ๆ แล้วก็พยายามเอาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่รู้สึกกดดันตัวเองมากไป เพราะรู้สึกว่าจิตใจตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอที่จะแยกแยะได้ ตอนนั้นถึงต้องพักละคร ตอนนั้นคนรอบข้างหรือคนที่ทำงานด้วยก็จะไม่รู้ว่าเราป่วย แต่ถามว่าทุกวันนี้สิ่งที่มันเกิดขึ้นดีไหม มองย้อนกลับไปก็ยังกลับไปคำเดิมนะที่ว่าเราเลือกย้อนกลับไปจะไม่เปลี่ยน เพราะเราเป็นมาหมดแล้วมันทำให้เข้าใจว่าเป็นยังไง เพราะว่าตอนนั้นยังหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้เลยว่าทำยังไงถึงหาย รู้แค่ว่ามันค่อย ๆ คลายขึ้น ค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าหายเองโดยที่เราไม่พยายามนะคะ เราก็ต้องพยายามแบบปรับสภาพใจตัวเองด้วย พยายามเลือกที่จะไม่ทำอะไรบางอย่างที่รู้ว่าทำร้ายตัวเอง

จบที่การยอมรับตัวเอง
ยิปโซ : คือการพาตัวเองมายอมรับความจริงอะไรบางอย่าง เพราะพี่มองว่าการที่เรารู้สึกว่าต้องเป็นแบบนี้เป๊ะ ๆ เท่านั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ดี ถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกยอมรับได้ ถึงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าสวย หรืออะไรก็ตาม อันนั้นไม่ใช่ความจริง มันเครียดนะ พื้นฐานจิตใจทุกคนก็แค่อยากที่จะเป็นในสิ่งที่ดี อยากที่จะเป็นในสิ่งที่ได้รับความรัก ไม่ว่าจะยุคสมัย ไหน

หลังจากเกิดเหตุการณ์กับร่างกายมาเยอะมาก รู้สึกว่าฉันอยากจะดูแลร่างกายตัวเอง เป็นแบบนี้หรือยัง ?
ยิปโซ : ฉันว่ายังไม่ขนาดนั้น (หัวเราะ) สุดท้ายแล้วสิ่งที่ต้องแก้จริงๆมันคือนิสัย เรายังคงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวอยู่ คำว่าเต็มที่มันไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไป

ทราบมาว่าเป็นคนปวดท้องประจำเดือนมากตั้งแต่เด็ก ?
ยิปโซ : แต่ว่าฮอร์โมนกับพี่ เรามีอะไรที่ได้คุยกันมาตั้งแต่เด็กจนโตอยู่แล้ว เหมือนมันมีช่วงที่ดีขึ้นตอนช่วงที่พี่เล่น Pilates zen ร่างกายดีมาก ชิลดีมาก แต่พอนึกสนุกอยาก Hyrox ขึ้นมาแล้วพอใช้ร่างกายหนักไป ทุกวันนี้หลังจากที่จบจาก Hyrox มาะ ร่างกายสรวนหมดทุกอย่าง สิวที่ปกติแล้วไม่มีก็ขึ้นหมด ตอนแรกก็คือเราเคยมีเรื่องซีสต์ในรังไข่ที่เอาออกไปแล้ว ก็หวังว่าจะไม่ได้ขึ้นใหม่ ตอนนั้นเป็นช็อกโกแลตซีสต์ แต่ว่าล่าสุดก็คือรู้สึกได้เลยว่าตัวเองมีซีสต์ ปวดซีสต์แล้วก็ไปตรวจมาใหม่อีกรอบหนึ่ง ขึ้นแล้ว เชื่อว่าเป็นเพราะว่าเอาตัวเองไปสู่ process ภาวะของความเครียดหนักมาก ทั้งทางร่างกายแล้วก็จิตใจ ออกกำลังกายหนักเกินไป กินไม่ดี นอนไม่ดี มันก็คือความเครียดที่ร่างกายรับรู้ในแบบ physical เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหลาย ๆ คนที่รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนเครียด ไม่ได้แปลว่าร่างไม่เครียด

ปกติประจำเดือนมาตรงไหม ?
ยิปโซ : โชคดีทุกวันนี้ประจำเดือนยังมาตรงอยู่ ต่อให้เครียดแค่ไหนก็ยังมาตรง แต่ว่ามันออกอาการอื่นไงคะ จะเป็นเรื่องผิว เรื่องอารมณ์ เรื่อง weight มันจะไปทางนั้นมากกว่า สิวขึ้น กินทุกอย่าง กินเยอะ เหมือนร่างกายสั่งว่าเธอต้องกินเดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้ก็เลยพยายามจูนกลับมาอยู่ พยายามที่จะใช้ชีวิตแบบฝืนใจตัวเองว่าทุกอย่างที่เราเคยฝึกมาต้องยอมเสียสละนะ ทำยังไงก็ได้ให้ร่างกายกลับเข้าสู่สภาวะที่ไม่ต้องเครียดมากที่สุด ทุกวันนี้ต้องอยู่กับความลุ้นตลอดเวลาว่าร่างกายเราจะโอเคไหม มีซีสต์ขึ้นอีกไหมโดยที่เราไม่ใช้ยาคุม รู้สึกว่าถ้าเราไม่ได้เป็นอะไรมากก็ไม่อยากเอาฮอร์โมนอะไรไปกระตุ้น

สามารถติดตาม "PrimeCast" ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=KmK6eVsEsdg
“MUTภูเก็ต” มงคาบ้าน! “เดล นฤมล” ปาดหน้าเต็ง1 “วีนา” คว้ามงกุฏ “Queen of Phuket”
สะใจกองเชียร์ที่สุด!! ลุ้นกันสนุกทุกรอบ ในที่สุดมงกุฏ “Queen of Phuket” ไข่มุกงามแห่งอันดามัน ตกเป็นของ “เดล นฤมล” มิสยูนิเวิร์สภูเก็ต หลังทำคะแนนนอนมาในทุกรอบการแข่งขัน ทำให้ตำแหน่งรองอันดับ 2 ตกเป็นของตัวเต็งหมายเลข 1 อย่าง วีนา

นับเป็นอีกค่ำคืนสำคัญของกิจกรรมการเก็บตัวผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand 2025 ในรอบ Queen of Phuket ที่เจ้าภาพเมืองภูเก็ต คิม ธีรศักดิ์ ผลงาม และ กบ-ธนพัฒน์ นวลสกุล จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ Angsana Convention and Exhibition Space (ACES) จังหวัดภูเก็ต เพื่อเฟ้นหาสาวงามหนึ่งเดียวที่จะได้ครองมงกุฏ Queen of Phuket เปิดเวทีด้วย 2 พิธีกร ชลวิศ วงศ์ศรีวอ และ สกุล ลิมปภานนท์ ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและคนสำคัญอย่าง บอส ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานกองประกวด Miss Universe Thailand 2025 ก่อนยกเวทีให้ 77 สาวงามผู้เข้าประกวดในชุดราตรีที่ออกแบบมาอย่างประณีต สวยสง่า ดีไซน์ที่ดูหรูหราอลังการ ประกาศผลผู้เข้ารอบ 22 คนสุดท้าย โดย 5 คน มาจากรางวัล Popular Vote นั่นเอง

ระหว่างรวบรวมคะแนนพิธีกรประกาศรางวัล BEST PHOTOGENIC BY THE TITLE รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่
1 . MUTสระบุรี
2 . MUTภูเก็ต
3 . MUTกรุงเทพมหานคร
รางวัล BEST CONTENT CREATOR BY THE TITLE ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่
1. MUTสระบุรี
2. MUTปทุมธานี

รางวัล MISS KORA ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท ได้แก่ MUTสระบุรี และรางวัล MISS AYANA ได้รับเงินรางวัล 30,000 บาท

ได้แก่ MUTปทุมธานี และก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยกับผล 22 คนสุดท้าย Queen of Phuket ซึ่งคะแนนโหวตสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ MUTสระบุรี / กรุงเทพมหานคร / เพชรบุรี / ภูเก็ต / นครศรีธรรมราช ตามมาด้วย 17 คน ได้แก่ MUTอุดรธานี / ปทุมธานี / อุตรดิตถ์ / ราชบุรี / สงขลา / สมุทรปราการ / สุพรรณบุรี / สมุทรสงคราม / พังงา / ขอนแก่น / ประจวบคีรีขันธุ์ / นครพนม / นครนายก / เชียงใหม่ / นครปฐม / ตราด / ลพบุรี โดยผู้ผ่านเข้ารอบ Queen of Phuket กลับออกมาอวดโฉมอีกครั้งในชุด เคอบาย่า ชุดพื้นเมืองภูเก็ต จากบ้านชินประชา จากนั้นประกาศผล 12 คนสุดท้าย ได้แก่ MUTกรุงเทพฯ / นครศรีธรรมราช /สมุทรปราการ / ประจวบฯ / สงขลา / สระบุรี ภูเก็ต / นครนายก / เชียงใหม่ / ปทุมธานี / ลพบุรี / อุตรดิตถ์ เข้าสู่รอบการแสดงวิสัยทัศน์หัวข้อ “ภูเก็ต ในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต” คนละไม่เกิน 30 วินาที ซึ่งนางงามทุกคนก็ทำคะแนนในรอบนี้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ต่อด้วย คุณคิม ธีรศักดิ์ ผลงาม ผู้อำนวยการกองประกวด Miss Universe Phuket และ Phuket The Host City ขึ้นกล่าวขอบคุณและอวยพรให้นางงามทุกคนโชคดี และอีกหนึ่งบุคคลสำคัญ คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานกองประกวด Miss Universe Thailand & Vice President of Miss Universe Asiana ขึ้นกล่าว ตามติดด้วยการประกาศผล 5 คนสุดท้าย เริ่มจากคะแนน “Popular Vote” ได้แก่ MUTสระบุรี ต่อด้วย MUTภูเก็ต / สงขลา / อุตรดิตถ์ และ ลพบุรี สู่รอบการตอบคำถาม Final Question ก่อนจะต้องบีบหัวใจอีกครั้ง เมื่อพิธีกรประกาศผล Miss Universe Thailand Queen of Phuket 2025 ดังนี้ รองอันดับ 4 Queen Of Phuket ได้แก่ MUTสงขลา ครีม อริยากร สุขภิทักษ์ ตำแหน่งรองอันดับ 3 Queen of Phuket ได้แก่ MUTอุตรดิตถ์ ยีนส์ - พิชญาวี โยโกยาม่า ตำแหน่ง รองอันดับ 2 Queen of Phuket ได้แก่ MUTลพบุรี หญิง สุมิตา คุมาประโคน เหลือนางงาม 2 คน สระบุรี และ ภูเก็ต ยืนจับมือลุ้นระทึกบนเวที โดยสาวงามที่คว้าตำแหน่ง Queen of Phuket ได้แก่MUTภูเก็ต เดล-นฤมล พิมพ์ภักดี ครองมงกุฏ Queen of Phuket มูลค่า 500,000 บาท ทำให้ตำแหน่งรองอันดับ 1 ตกเป็นของนางงามตัวเต็ง วีนา - ปวีนา ซิงห์ MUTสระบุรี

ทั้งนี้สาวงามทั้ง 77 คน จะกลับไปทำกิจกรรมกับกองประกวด Miss Universe Thailand 2025 อย่างต่อเนื่องในกรุงเทพฯ ดังนี้ วันที่ 17 สิงหาคม 2568 : Close Door Interview Day (รอบสัมภาษณ์) วันที่ 18 สิงหาคม 2568 : National Costume Competition (การประกวดรอบชุดประจำชาติ) วันที่ 20 สิงหาคม 2568 : Preliminary Competition (การแข่งขันรอบอุ่นเครื่อง) สำหรับรอบตัดสิน (Final Competition) Miss Universe Thailand 2025 จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม 2568 ณ MGI Hall ชั้น 6 ศูนย์การค้า Bravo BKK พระราม 9
โอปอล – สุชาตา Miss World 2025 เดินหน้าภารกิจที่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
เช้าวันที่ (14 สิงหาคม 2568) “โอปอล – สุชาตา ช่วงศรี” Miss World 2025 ลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจมอบกำลังใจแก่ผู้ป่วย และขอบคุณการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ ณ ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อโรคมะเร็งเต้านม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

ในการนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจาก รศ.นพ.กฤษณ์ จาฏามระ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งเต้านมระดับแนวหน้า ผู้ก่อตั้งและหัวหน้าศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ เพื่อมะเร็งเต้านม รวมถึงประธานมูลนิธิมะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ซึ่งเป็นผู้นำด้านการวิจัยและการรักษามะเร็งเต้านมในประเทศไทย

มูลนิธิมะเร็งเต้านมเฉลิมพระเกียรติ มีการนำเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาใช้ เพื่อให้คนไทยทุกคนได้รับการดูแลรักษาที่มีคุณภาพสูงสุด ด้วยความใส่ใจและเข้าใจอย่างแท้จริง

โอปอลยังได้เชิญชวนให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพ ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ และเข้ารับการตรวจจากแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อการป้องกันและรักษาที่ทันท่วงที
#missworld #72missworld #opalsuchata #opalforher #beautywithapurpose #bwap
ปิดฉากรัก 5 ปี! “มิ้น มิณฑิตา” แยกทาง “ซิลวี่” ขอบคุณทุกช่วงเวลาที่มีกัน
ทำเอาแฟน ๆ รวมถึงเพื่อนพี่น้องในวงการบันเทิงต่างรู้สึกใจหายไม่น้อยเมื่อคู่รักศิลปินและนักแสดงมากฝีมือ มิ้น-มิณฑิตา วัฒนกุล และ ซิลวี่-ภาวิดา มอริจจิ ได้ประกาศยุติความสัมพันธ์ในฐานะคู่รัก หลังคบหาดูใจมานานกว่า 5 ปี ยืนยันเป็นตัดสินใจลดสถานะด้วยความเข้าใจร่วมกัน

ทั้ง มิ้น และ ซิลวี่ ได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตราแกรมไว้ว่า “เราสองคนมีเรื่องอยากบอก หลังจากใช้เวลาร่วมกันมา 5 ปีเต็ม วันนี้เราตัดสินใจแยกทางกันในฐานะคู่รัก มันไม่ใช่การจากกันด้วยความเสียใจ แต่เป็นการเลือกด้วยความเข้าใจ และความเคารพในกันและกัน เรารู้สึกขอบคุณกันมากสำหรับช่วงเวลาที่เคยมีร่วมกัน ทั้งรอยยิ้ม น้ำตา การเติบโต และความรักที่เคยแบ่งปันกันอย่างเต็มหัวใจ

“พวกเรายังเป็นกำลังใจให้กัน และยังมีความปรารถนาดีให้กันเสมอ แค่เปลี่ยนบทบาทในชีวิตของกันและกันเท่านั้นขอบคุณทุกคนที่รักและสนับสนุนเรามาโดยตลอด หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ และให้พื้นที่กับเราทั้งคู่ในช่วงเวลานี้นะคะ ด้วยความรักและความจริงใจ” Cr. ig : silvypavida / mint.tita

#มิ้นซิลวี่ #มิ้นมิณฑิตา #สยามดารา
อี้แทนคุณ เตรียมพาเมีย"เอ๋ ไพโรจน์" ร้องขอความเป็นธรรม อ้างถูกลูกสาวขับไล่-สงสัยสาเหตุเสียชีวิตของสามี
วันที่ 14 ส.ค.68 ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจาก เก่ง สุชาติ ทีมงานชมรมสันติประชาธรรม ว่าวันพรุ่งนี้ 15 สิงหาคม 2568 เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ สำนักงานอัยการสูงสุด ดร.แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม จะพาภรรยาคนปัจจุบันของอดีตนักแสดงอาวุโสและผู้กำกับชื่อดัง ไพโรจน์ สังวริบุตร หรือ เอ๋ ไพโรจน์ ที่เพิ่งเสียชีวิตไป ยื่นเรื่องร้องเรียนขอความคุ้มครองสิทธิและขอความเป็นธรรม

โดยผู้ร้องเรียนซึ่งอ้างว่าเป็นภรรยาที่อยู่กินกับคุณไพโรจน์มานานกว่า 20 ปี เปิดเผยว่า ถูกบุตรสาวจากภรรยาคนแรกของคุณไพโรจน์ขับไล่ออกจากบ้านพักที่อาศัยอยู่ร่วมกัน ด้วยการเปลี่ยนลูกบิดและกุญแจบ้าน ทำให้ไม่สามารถกลับเข้าไปในบ้านได้ ทั้งที่ยังมีทรัพย์สินและข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอยู่ภายในบ้าน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสภาพจิตใจและความเป็นอยู่ของผู้ร้องเรียน

นอกจากนี้ ผู้ร้องเรียนยังระบุว่ามีความคลางแคลงใจในสาเหตุการเสียชีวิตของคุณเอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร เนื่องจากหลังพิธีฌาปนกิจศพ ได้เกิดเหตุการณ์หลายอย่างที่ชวนสงสัย ทำให้เธอรู้สึกค้างคาใจและต้องการความกระจ่างในข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนต่อสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อหวังว่าอัยการจะให้ความเมตตาในการคุ้มครองสิทธิให้สามารถกลับเข้าบ้านและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข พร้อมทั้งทวงคืนความยุติธรรมและปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง
ปมในใจมาจากไหน? ถอดรหัสเข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งผ่านศาสตร์แห่งดวงดาว
คุณรู้จักตัวเองดีแค่ไหน On the way with Chom สัปดาห์นี้จะพาไปพบกับ นี ชาลิสา ผู้ให้คำปรึกษาด้านโหราศาสตร์จิตวิทยาเชิงลึกและพลังงานบำบัด จะมาถอดรหัสดวงดาวเปิดประตู สู่การค้นพบและเข้าใจตัวเองในมุมที่ลึก ขึ้นเพื่อชีวิตที่สมดุลทั้งกาย และใจ

จุดเริ่มต้นกับสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เกี่ยวกับอะไร ?
นี ชาลิสา : ต้องเท้าความก่อนว่างานประจำเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ก็คือเป็นดูแลในส่วนของ Wellness ของ Wonderfruit แต่ว่าที่เป็นงานส่วนตัวเป็นงานส่วนตัวที่เราช่วยให้คนให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น เหมือนเป็นที่ปรึกษาด้านตัวตน โดยการที่นี้ก็ใช้หลายศาสตร์ แต่ครั้งนี้จะมาคุยกันในเรื่องของโหราศาสตร์ ซึ่งโหราศาสตร์ก็คือเป็นการศึกษาการโคจรของดวงดาว แล้วก็เป็นโหราศาสตร์ทางตะวันตก ซึ่งโหราศาสตร์นี้ได้เอามาผนวกกับการที่ให้เข้าใจในเรื่องของตำแหน่งของดวงดาวเพื่อสอดคล้องกับบุคลิกภาพ ตัวตนของคนนั้นนิสัยใจคอหรือแม้แต่พลังงานข้างใน ศักยภาพความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ ข้างในหรือแม้แต่ข้อดีข้อเสียที่เขามีข้างในว่าจริง ๆ แล้วมีอะไรอยู่ข้างในซ่อนอยู่ แล้วสามารถที่จะใช้พลังงานพวกนี้ให้มันเกิดสิ่งที่ดีที่สุดกับเขาได้อย่างไรบ้าง

โหราศาสตร์ซับซ้อนไหม ?
นี ชาลิสา : จริง ๆ แล้วมันมีความเป็นซับซ้อนอยู่นิดหนึ่งเหมือนกัน แต่ด้วยความที่แต่ละคนไม่มีใครเหมือนกัน เกิดมาก็คือจะมีพลังงานของตัวเองอยู่แล้ว พลังงานเหล่านั้นก็จะบ่งบอกได้ว่าแต่ละคนนิสัยยังไงในรูปแบบไหน สมมุติว่าเราเกิดมาเรา มีวันเดือนปีเกิด เวลาทางโหราศาสตร์ที่เป็นโหราศาสตร์ตะวันตก เรามองว่า วินาทีที่เราเกิดดวงดาวข้างบนวางตำแหน่งแบบไหนแล้วตำแหน่งนั้นมีผลอย่างไรกับเรา มีผลกับนิสัยใจคอ มีผลกับอนาคต หรือแม้แต่การใช้ชีวิตของคน ๆ นั้นที่ดำเนินมาที่มาอยู่บนโลกใบนี้ เรามองว่าถ้าเกิดสมมุติมนุษย์จิตของเราเป็นพลังงานในตัวของเรา เข้าใจกันว่าถ้าเราเกิดมิถุนายน เราจะต้องเป็นแคนเซอร์หรือไม่ก็อาจจะเป็นเจมีไนน์ แง่ของโหราศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นไทยฮินดูหรือว่าจีน สากลก็จะมีการคำนวณที่แตกต่างกัน แต่ว่าในแง่ของการที่เราเอามาใช้อิงกับหลักจิตวิทยาจะเป็น

โหราศาสตร์ที่เป็นสากล ฉะนั้นตรงคือเราจะมองว่าถ้าเกิดสมมุติว่าเราเกิดราศีกรกฎ เราไม่ใช่มีแค่ดาวอาทิตย์อยู่ในนั้นดาวเดียว แต่ถ้าเกิดเราเข้ามาดูชาร์จที่เราเรียกว่า nature chart มันจะเป็นการที่เราเห็นพื้นของดวงดาวทั้งหมด ตอนที่วินาทีที่เราเกิดมันเป็นเหมือนกับเป็น snapshot จะเป็นธาตุ คือจริง ๆ ธาตุทั้งหมดที่หล่อหลอมเป็นพวกเราขึ้นมา ถ้าเกิดสมมุติว่าเราเข้าใจตัวเองแบบนี้ เหมือนอัตราตัวตนของเรามันจะแยกส่วนออกจากความเข้าใจว่าเราเป็นแบบนี้นะ ถ้าเกิดสมมุติเราเป็นคนขี้โมโห ทำไมเราเป็นคนขี้โมโหแบบนี้ แต่ถ้าเกิดสมมุติเราเข้าใจดาวเราจะมองเห็นว่าจริง ๆ แล้วที่มาของอารมณ์โมโหมันมาจากที่ไหน

หมายความว่าดวงดาวแต่ละดวงอาจจะมีผลต่อเรา ?
นี ชาลิสา : ใช่ มันเป็นพลังงานที่เชื่อมโยงกันเหมือนกับเราและดวงดาวความจริงแล้วเป็นหนึ่งเดียวกัน

คนที่อยากจะทำแบบนี้ต้องมีปัญหาหรือว่าต้องมีข้อสงสัย มีปมอะไรหรือเปล่าหรือว่าเป็นใครก็ได้ มีข้อจำกัดไหม ?
คุณนี ชาลิสา : การที่เรามาที่นี่เหมือนกับมีวัตถุประสงค์บางอย่างของการที่เรามาเกิด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เราได้รู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองกับการรู้จักเกี่ยวกับตัวเองไม่เหมือนกัน การรู้จักตัวเอง คือ การที่เรารู้จักตัวเองจริง ๆ โดยที่ไม่ได้มีองค์ประกอบอะไรคือการที่เราเข้าไปแล้วสามารถที่จะมีความสุขได้ด้วยตัวเอง เข้าใจแก่นแท้ในตัวเอง แต่การที่เรารู้จักเกี่ยวกับตัวเอง คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่พวกเราทุกคนรู้จักกันแบบนี้ เช่น เรารู้จักเกี่ยวกับตัวเองว่าเราทำอาชีพอะไร ชื่ออะไร พ่อแม่ชื่ออะไร มีสัตว์เลี้ยงชื่ออะไร ครอบครัวเป็นยังไง แต่ว่าการที่เราใช้คำว่า self-discovery มันคือการที่เราเข้ามาค้นพบตัวเองจริง ๆ ว่าเรามีแก่นอะไรอยู่ข้างใน แล้วหลังจากนั้นเป็นสิ่งที่ต่อยอดไปเป็นในเรื่องของพรสวรรค์ในเรื่องของทิศทางในการใช้ชีวิต เส้นทางที่จะเลือกเดิน อาชีพที่อยากจะทำหรือแม้แต่การเรียน เหมือนกับในแต่ละช่วงชีวิตจะมีจุดเปลี่ยนบางอย่างแล้วจุดเปลี่ยนนั้นเป็นจุดที่บางครั้งเกิดให้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า เราเกิดมาที่นี่มันคืออะไร มาเพื่ออะไร ซึ่งลึก ๆ บางคนก็รู้อยู่แล้ว บางคนก็อาจจะไม่รู้

ฉะนั้นมองว่าคนที่จะจุดประกายให้เขาเริ่มเข้าใจตัวเองหรือเริ่มสนใจที่อยากจะเข้าใจตัวเองจะต้องมีจุดเปลี่ยนบางอย่างนิดเดียวก็ได้ว่า ทำไมชีวิตเราถึงเป็นแบบนี้นะ ทำไมสิ่งที่ได้ค้นพบหรือได้เจอหรือตลอดเส้นทางเริ่มมีการหักเห ทำไมเราเริ่มไม่มีความสุข จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่ความสุขเป็นหลัก ความสุขและความสมดุล เชื่อว่าในเรื่องของพลังงานทุกวันนี้เราจะพูดกันถึงเรื่องพลังงานเยอะมาก ถ้าเกิดเริ่มสังเกตจะเห็นเลยว่าหลัง ๆ ช่วงเวลาสัก 5-6 ปีที่ผ่านมา จะได้ยินคำว่า self เยอะมาก ในโลกของ wellness ในโลกของการเข้าใจตัวเอง ก็จะมีทั้ง self-love self-care self-discovery การกลับมารักตัวเอง กลับมาเข้าใจตัวเอง ดูแลตัวเอง รู้จักตัวเอง การรู้จักตัวเองแบบนี้คือการที่เชื่อว่าทุกคนตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าตัวตนเราสำคัญที่สุด เราไม่ได้พึ่งพาองค์ประกอบนอกตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังไม่ได้รู้จักตัวเอง จะทำให้ชีวิตของเรามีพลังงานที่ส่งออกนอก พอเราส่งออกนอกก็ไม่สามารถที่จะควบคุมสถานการณ์ที่เป็นรอบนอกได้ พอมันมีอะไรเกิดขึ้นข้างในเราก็รวน เพราะว่าเกิดกระทบทุกอย่างเข้ามา ถ้าเกิดข้างในเราแน่นแกร่งแล้วก็จะทำให้ผ่านพ้นช่วงต่าง ๆ ในเหตุการณ์ในชีวิตไปได้ ก็เหมือนกับการรักตัวเอง การดูแลตัวเองที่ทุกคนลุกขึ้นมาออกกำลังอยากที่จะเข้าใจตัวเองมากขึ้น สุขภาพที่แข็งแรงก็เกิดจากตัวเรา

คนที่เข้ามาส่วนใหญ่เข้ามาเพราะเรื่องอะไร ?
นี ชาลิสา : ส่วนใหญ่จะมีจุดเปลี่ยน จะมีคำถามกับตัวเองว่า เดินทางเส้นทางมาสักพักทำไมมันเหมือนกับมีบางสิ่งบางอย่างกับจิตของเขาเองความรู้สึกข้างในที่ลึกที่สุดเริ่มมีคำถาม อย่างที่บอกพอมีคำถามแล้วบางครั้งก็อาจจะอยากได้ตัวช่วย อยากได้คนที่สามารถปรึกษาได้ เช่น ปัญหาเรื่องการงาน ปัญหาหากับครอบครัว หรือแม้แต่บางครั้งที่ตื่นมาแล้วฉันมาทำอะไรที่นี่ ถ้าเราตัดทุกอย่างออกหมดไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่รู้เกี่ยวกับตัวเองทั้งหมด เรามีความสุขได้ด้วยตัวเองด้วยอะไรบ้าง Self-discovery เป็นการที่ให้เราค้นพบตัวเองก่อน พอค้นพบเสร็จ หลังจากนั้นจะเข้าใจตัวเองได้ยังไงเหมือนเป็นเส้นทาง เป็นการปัดทุกอย่างออกเพื่อให้เส้นทาง เหมือนเราค้นพบตัวเองแล้ว เราก็จะค่อย ๆ เดินทางเส้นทางนั้น เพื่อให้เข้าใจตัวเอง

ยกตัวอย่างว่าเราค้นพบอะไร แยกออกมายังไง ?
นี ชาลิสา : โหราศาสตร์ที่ทำให้เราได้ค้นพบตัวเอง มีวิธีการที่เราจะนำมาจำแนกกันได้ โหรศาสตร์มีหลายแบบจะเป็นการแบ่ง 12 ช่องตามหลักของโหราศาสตร์สากล 12 ช่อง ถ้าเกิดสมมติเราเจาะลึกจะมีความหมายใน 12 ห้องนี้ด้วย จะดูตำแหน่งของดาวจะดูว่าดาวแต่ละดวงเขาอยู่ในห้องไหนในช่วงเวลาที่คน ๆ นั้นเกิด เช่น ห้อง 1 เป็นเกี่ยวกับตัวตนของเรา เป็นนิสัยบุคลิกในแง่ของตัวตน ห้องที่ 2 เป็นในเรื่องของการเงิน เรื่องของสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราเป็นเจ้าของ ห้องที่ 3 เป็นในเรื่องของการสื่อสาร เรื่องของการเดินทาง ห้องที่ 4 คือเรื่องของครอบครัว เป็นความหมายที่เบื้องต้นที่สุด ถ้าเราจะมองในแง่ของที่ลงไปในลึกลงไปในระดับจิตวิญญาณ ความหมายก็จะต่างกันออกไป เช่น ห้องที่ 4 อาจจะหมายถึงจุดที่มันแบบลึกที่สุดข้างในของเรา จิตวิญญาณข้างในที่มันกับจุดเบื้องลึกของเราคืออะไร

สมมติว่าเราได้วัน เดือน ปีเกิด กับเวลาตกฟาก แต่ว่าการตีความที่ช่วยให้เข้าใจก็ตีความได้ทั้งผิวเผินหรือว่าลึกขึ้น อาจต้องเจาะลึกผ่าน therapy หรืออะไรต่างๆ ?
คุณนี ชาลิสา : ใช่ ผ่าน therapy ก็ได้ ผ่านดาวเองก็ได้หมดเลย เราสามารถนำหลาย ๆ ศาสตร์มารวมกัน เมื่อเรารู้ตัวแล้วว่ามีพลังงานแบบไหน ขึ้นอยู่กับเราว่าอยากที่จะบำบัดตัวเองในรูปแบบ ไหน

เราฝืนลิขิตฟ้าหรือพลังของดวงดาวได้ไหม ?
นี ชาลิสา : ดาวก็คือเรา และเราก็คือดาว เพราะฉะนั้นถ้าเราบอกว่าเราฝืนดวงดาว มันก็เท่ากับว่าเรากำลังฝืนธรรมชาติในตัวเอง ถ้าเราเข้าใจว่าดาวคือธรรมชาติของเรา เราจะไม่มองว่าดาวเป็นแค่วัตถุลอยอยู่บนฟ้าแบบไร้จุดหมาย แต่ดาวคือพลังงานอย่างหนึ่งที่สะท้อนธรรมชาติของตัวเราเอง

ประสบการณ์คนที่มาหามักเป็นแบบไหน ?
นี ชาลิสา : ส่วนใหญ่เขาจะมีคำถามบางอย่างในใจมาก่อน บางคนรู้สึกว่าตัวเองมีนิสัยบางอย่างที่ไม่เข้าใจ เช่น ความกลัว ขาดความมั่นใจ หรือไม่กล้าปฏิเสธใครเลย ทั้งที่จริง ๆ แล้วก็รู้สึกอึดอัดแต่พูดออกมาไม่ได้ แล้วเขาจะค่อย ๆ เล่า ค่อย ๆ ทบทวนไปพร้อมกัน การดูดาวในแบบของนีไม่ใช่การนั่งทำนายแล้วให้คนฟังเฉย ๆ ไม่ใช่ว่าถามว่าแม่นไหม แต่คือการนั่งคุยกัน เปิดพื้นที่ให้คน ๆ นั้นได้ค้นเจอตัวเองผ่านดวงดาวของเขาเอง เราแค่บอกเขา ลองแนะนำให้เขาไปทำในสิ่งที่เรารู้สึกว่ามันเหมาะกับเขา ปรากฏว่ามันได้ผลมาก ๆ แล้วเขาก็พร้อมที่จะแสดงออกในการสื่อสารออกไป

เคยมีฟีดแบคไหมว่า โหราศาสตร์ ก็เหมือนเรื่องของการมู การดูดวง ?
นี ชาลิสา : ต้องบอกก่อนว่าบ้านเราให้คำว่ามู แต่ละคนก็ตีความแตกต่างกันออกไป เวลาพูดถึง มูเตลู จะเน้นในสิ่งที่เราเชื่อ เรามองไม่เห็น แต่สิ่งที่นำมาแชร์ในวันนี้ มันคือโหราศาสตร์ที่อิงกับความเข้าใจตัวเองในแง่ของบุคลิกภาพที่มีจิตวิทยาผสมด้วย มองว่าจะมูหรือไม่มูขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองยังไง เชื่อแบบไหน และจะปฏิบัติตัวเองผ่านศาสตร์เหล่านั้นยังไง มากกว่า

สามารถติดตาม "On the way with Chom" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันจันทร์ (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=mQ-d4art1qE
น้ำตาซึม “ต่าย อรทัย” เล่าชีวิตที่เกือบไม่ถึงฝัน! ถ้าไม่เป็นนักร้องก็คงเป็นสาวโรงงาน
เปิดหมดเปลือก ต่าย อรทัย ศิลปินลูกทุ่งชื่อดังในรายการ เบิ้ล AM เล่าเส้นทางชีวิตและการทำงานในวงการเพลง จากสาวโรงงานสู่ตำนานดอกหญ้าในป่าปูนที่สร้างปรากฏการณ์ยอดขายถล่มทลาย เคยทัวร์หนักจนต้องแอดมิด รพ. รวมถึงความผูกพันที่ลึกซึ้งกับคุณยายที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญในชีวิต ก่อนจะก้าวสู่ศิลปินที่คนทั้งประเทศรัก

พื้นเพเป็นคนจังหวัดไหน ?
ต่าย อรทัย : พี่ต่ายเป็นคน บ้านคุ้มแสนชะนี ตำบลพรสวรรค์ อ.นาจะหลวย จ.อุบลราชธานี บ้านติดชายแดนเลย

รักในการร้องเพลงตั้งแต่เด็กเลยไหม ?
ต่าย อรทัย : ตอนอยู่ประถมเลย ช่วงประมาณ ป.5 ป.6 เวลากิจกรรมนักเรียนช่วงว่าง ครูก็จะรู้ว่าพี่ต่ายเพลงได้ ท่านก็จะบอกออกมาร้องให้เพื่อนฟังหน่อย ในหมู่บ้านก็จะชื่นชมว่าเราเสียงดี ครูก็จะได้ยินแล้วก็ให้ออกมาทำกิจกรรมประมาณนี้แหล่ะ ซึ่งเราก็ไม่ได้เป็นคนที่มีความมั่นใจนะ แต่ว่าในเรื่องของการร้องเพลงมั่นใจสุด มากกว่าเรื่อง อื่นๆ

แล้วได้ไปทางประกวดด้วยไหม ?
ต่าย อรทัย : ตอนเด็กๆ ไม่เลย แต่ว่าพยายาม ใช้คำว่าพยายามยามแล้วกัน เพราะว่าทางบ้านมันก็จะไม่ค่อยมีเวทีให้เราไปแสดงความสามารถ หรือว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ แล้วบ้านก็อยู่ชายแดนด้วย เวทีประกวดมันจะอยู่ในเมืองส่วนหลาย ถ้าไม่ใช่เสาร์อาทิตย์เราก็จะไม่มีโอกาสเพราะเราก็ต้องไปโรงเรียน มาเริ่มจริงๆ ตอนมัธยมแล้ว แต่ตอนประถมมีแค่ร้องกิจกรรมในโรงเรียนเท่านั้น ม.ต้นจำได้ว่ามันมีบุญผ้าป่าอยู่บ้านโนนแดง แล้วก็มีคณะหมอลำ เราก็ไปร่วมบุญผ้าป่าปกติ แล้วเราก็อยากไปร้องเพลง เขาก็กำลังเฟ้นหานักร้อง อยากได้นักร้องไปเดินสายด้วยในวง เราก็ไปลองแต่ว่าก็ไม่ได้ชนะหรอก แล้วก็มาเริ่มประกวดจริงจังคือเป็นตัวแทนของโรงเรียนนาจะหลวย แล้วก็ไปเป็นปีแรกประมาณ ม.4 ไปปีแรกแพ้ ปีที่ 2 ก็ไปอีกเป็นตัวแทนอีกก็ยังแพ้อีก แล้วปีที่ 3 เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่ชนะ สุดของความดีใจมากๆ ซึ่งปีแรกปีที่สองที่เราไปประกวดได้เจอ ดอกอ้อ ทุ่งทอง ด้วย

มีไอดอลทางเสียงที่ทำให้เราอยากร้องเพลงไหม ?
ต่าย อรทัย : สมัยก่อน เราจะได้ฟังเพลงส่วนหลายก็เป็นวิทยุ ที่ฟังแล้วรู้สึกแบบชื่นชอบมากๆ ก็จะเป็นเสียงของ แม่ฮันนี่ ศรีอีสาน น้ำตาหล่นบนที่นอน นั่นแหละ ทำไมเสียงดีจัง ด้วยความที่เพลงมันดังด้วยตอนนั้นรู้สึกว่าอยากเป็นนักร้องคือแม่ฮันนี่ แล้วก็มีพี่จินตรา มีพี่นาง ศิริพร ที่เพลงดังๆ ก็จะได้ยินตั้งแต่เด็ก มาตลอด

เป็นนักร้องปีไหน ?
ต่าย อรทัย : ปลายปี 44 พี่ต่ายเริ่มเข้าแกรมมี่แล้ว เพลงดอกหญ้าในป่าปูน มันปล่อยช่วงปี 2546 ตอนเป็นศิลปินฝึกหัด ก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะว่าครูเอง ค่ายเอง ผู้ใหญ่ หรือทีมงาน ไม่มีใครบอกเราได้สักคนเลย แต่เพียงแค่เรามีความรู้สึกว่าเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่ง อยู่ดีๆ แล้วได้เข้ามา ต่อให้ไม่ดังก็ตาม แต่ได้รับโอกาสแบบนี้ สมัยนั้นโทรศัทพ์ก็ยังไม่มี และก็ยังไม่ได้มีรายได้ ต้องหยิบยืมผู้จัดการ หรือว่าค่ายแบบซัพพอร์ตเราก่อนแล้วก็มาคืนที่หลัง สู้ไปก่อน เขาให้ไปเรียน พี่ต่ายก็ไป กลับมาห้องนอนร้องไห้ทุกวัน คิดถึงยาย (น้ำตาซึม) ทั้งเป็นศิลปินฝึกหัดไปด้วย แล้วก็ต้องทำอัลบั้มเพลงให้เสร็จใน 1 ปีนั้น

มีอัลบั้มไหนที่คิดว่าทำงานหนักจนคิดว่าจะไปต่อได้ไหมหลังจากนี้ไป ?
ต่าย อรทัย : อัลบั้มชุดที่ 5 ด้วยความที่เราทัวร์แบบนั้นมาตลอด แล้วการจัดตารางชีวิตไม่ได้ดี ทำให้มีผลต่อเสียง มีผลต่อการพักผ่อน มีผลต่องานต่างๆ แล้วเราจะน็อก ชุดที่ 5 ชุดที่ 6 คือพลังก็ไม่มี จำคำหนึ่งที่พี่นางศิริพรพูดได้เลย ….บอกอีหล่าเอื้อยคือฟังเสียงโตแล้วเอื้อยคือบ่ม่วนน้อ คือเป็นบ่มีอารมณ์เพลง รู้สึกบ่ม่วน บ่มีความสุขเลย เลยกลายเป็นว่าก็ต้องเข้าโรงพยาบาลถึงขนาดแอดมิดเลย จำได้ว่างานคอนเสิร์ตเป็นงานสินค้าตัวหนึ่ง แล้วมันก็ต้องทัวร์แบบถี่ยิบๆ เลย รวมถึงงานจ้างอื่นๆ ก็ไปสลับกัน แล้ววันนั้นคือลงเวทีปุ๊บก็ต้องไปโรงพยาบาล จากวันนั้นมาไม่เอาอีกเลย ก็คือเปลี่ยนตารางชีวิตใหม่ นอนพักผ่อน รับงานให้พอดี ออกกำลังกาย จนถึงปัจจุบัน

ถ้าวันหนึ่งเราไม่ได้เป็น ต่าย อรทัย แล้วมีแผนสำรองไหมว่าถ้าไม่ได้เป็นนักร้องจะเป็นอะไร ?
ต่าย อรทัย : ไม่รู้เลย เพราะว่าก็ด้วยความที่เราเป็นเด็กต่างจังหวัด หมายถึงการจัดระเบียบในความคิดหรือแผนชีวิตอะไรต่างๆ มันก็ยากอยู่นะ พ่อแม่เราลูกชาวไร่ชาวนา เขาก็ไม่ได้มีชุดความคิดแผน 1 แผน 2 แผน 3 ให้เรา รู้แค่ว่าเรียนต่ออยู่เมืองอุบลไม่ได้ มันก็ต้องมาสู้งานในกรุงเทพฯ แค่นั้น แล้วงานอะไรล่ะ เราจบเพียงแค่ ม.6 ตอนนั้น ก็คือมาทำงานโรงงาน เป็นสาวโรงงานมาก่อน พี่ต่ายถึงได้แบบรู้สึกเข้าใจเวลามีกิจกรรมไปโรงงาน จะคิดถึงตลอดเพราะว่าหลายเดือนที่อยู่ตรงนั้น คือเราเข้าใจความยากลำบาก อยู่ห้องเช่า แล้วเรามีความรู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งไม่ได้เป็นนักร้อง ก็อาจจะยังทำงานอยู่ในโรงงานเหมือนเดิม ถ้าวันนี้ไม่ได้เป็นนักร้องก็อาจจะแต่งงานมีครอบครัวยังเป็นสาวโรงงานอยู่ก็ได้แค่นั้นเอง

แล้วตอนนี้มีสเปคผู้ชายแบบไหน มีแฟนหรือยัง ?
ต่าย อรทัย : ไม่มีเลย เอาจริงๆ แต่เคยมีก็หลายปีแล้วที่พี่ต่ายเลิก อันนั้นก็มีลงโซเชียลแต่แค่เราไม่ได้ลงว่ากับใคร เราก็ไม่ใช่คนที่จะไปเปิดเผยเรื่อง ส่วนตัว

มียายเป็นกำลังใจและมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ?
ต่าย อรทัย : เยอะเลย เพราะว่าพ่อกับแม่เขาแยกกันตอนพี่ต่ายอายุ 11 - 12 ปี คือก็เด็กมาก แล้วเป็นช่วงที่กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่น มีคำถามในหัวมากมาย ทำไมเราถึงไม่เหมือนคนอื่น ทำไมพ่อกับแม่ต้องเลิกกัน แต่ว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้คำตอบหรอก ตั้งแต่พี่ต่ายจำความได้ก็เห็นคุณยายเลย พอพ่อกับแม่เลิกกันปุ๊บไปกลายเป็นคุณยายมาตลอดจนถึงวันสุดท้ายที่ยายจากไป มันก็คือมียายทั้งชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเราลืมพ่อแม่นะ เรามีชีวิตที่อบอุ่นอยู่ช่วงหนึ่ง เขาก็ไม่ได้ทิ้งลูกหรอก เพียงแค่ว่าเราแค่ขาดความอบอุ่นที่พ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยแค่นั้นเอง เขาก็ใช้การดูแลโดยวิธีอื่น แต่จริงๆ ก็ไม่เคยขาดจากความรักของยาย ของป้า ของลุง ของญาติๆ ที่อยู่รอบข้าง พี่ต่ายคิดว่ายายเอย ครอบครัวเอย ที่อยู่ข้างๆ น่ะ คือทุกคนคอยหล่อหลอม ไม่ให้เราหลุดก็เลย ยายนี้คือพอจะพูดถึงพี่ต่าย (เสียงสั่นน้ำตาซึม) เป็นแบบนี้ ตลอด

อะไรที่ทำให้ ต่าย อรทัย อยู่คู่วงการบันเทิงมาถึงยุคปัจจุบันนี้ ?
ต่าย อรทัย : รู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เราคนเดียว มันมีหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบถึงทำให้มีชื่อต่าย มีเส้นทางที่มันยาวมาได้ขนาดนี้ อันดับแรกมันคือโอกาส มันคือเรื่องเล่าในชีวิต แม้แต่ตัวเราเอง แล้วก็เรื่องราวของผลงานเพลงที่มันตอบโจทย์ ครูบาอาจารย์ ทีมงานทุกคน คนที่สนับสนุนเรา อยากให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นทุกๆ ส่วนเลย รู้สึกว่าถ้าไม่มีคนเหล่านั้น ยากเลยที่จะมีเราในวันนี้ ขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำของทุกคนที่ติและชมมาตลอด ที่ยังอยากให้เราอยู่ ตรงนี้นานๆ

สามารถติดตาม “เบิ้ล AM” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันพฤหัสบดี เวลา 19.00 น.
คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=dj0cH2O-dm8
MUT2025 ใน “ชุดว่ายน้ำ” ออร่าพุงแรง “แพรววณิชยฐ์” MUTกรุงเทพฯ คว้ารางวัล “Glow The Universe by Glass Skin”
เรียกว่าโดนใจคุณน้าเป็นที่สุดสำหรับการประกวด Miss Universe Thailand 2025 รอบ Swimsuit Competition กับรางวัลพิเศษ Glow The Universe by Glass Skin ที่เจ้าภาพจังหวัดภูเก็ตจัดประกวดขึ้น ณ Angsana Convention & Exhibition Space จ.ภูเก็ต เรียกเสียงเชียร์ เสียงกรี๊ดล้นหลาม รวมถึงคอมเมนท์ไฟลุกใน Youtube Live : Grand TV

วันนี้ 77 สาวงาม ผู้เข้าประกวด Miss Universe Thailand 2025 เตรียมตัวมาอย่างเริ้ด เพราะนอกจากความสวย รูปร่างดี ที่จะเป็นประตูด่านแรกของการเป็นนางงามแล้ว ชุดว่ายน้ำทู-พีช สีเขียว Glass Skin (กลาส สกิน) ยิ่งเติมความมั่นใจให้พวกเธอ เดินสะบัดผ้า โพสต์อวดความมั่นต่อหน้าคณะกรรมการ ถูกใจแฟนนางงามเป็นที่สุด แม้แต่พิธีกรรับเชิญอย่าง เฌอเอม ชญาธนุส ศรทัตต์ ยอมรับว่าผู้เข้าประกวดทุกคนสวยมั่น ออร่าพุ่งแรงเวอร์!! ฉะนั้นการจะเลือกผู้เข้ารอบในค่ำคืนนี้จึงไม่ง่าย ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งการเดิน การโพสต์ และรูปร่างที่สมส่วน พิธีกรประกาศผล TOP 17 ได้แก่ อุดรธานี /สมุทรสงคราม / สงขลา / สมุทรปราการ / พังงา / ลพบุรี / ภูเก็ต / เพชรบุรี / ปทุมธานี / นครปฐม/ ราชบุรี / สระบุรี / นครศรีธรรมราช / กรุงเทพมหานคร / ตราด / นครนายก / ขอนแก่น จากนั้นคัดเหลือ 7 คนสุดท้าย ได้แก่ MUTสระบุรี กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ขอนแก่น สงขลา นครศรีธรรมราช และ สมุทรปราการ

แต่ผู้ชนะรางวัลพิเศษ Glow The Universe by Glass Skin ในค่ำคืนนี้มีเพียงหนึ่งเดียว ได้แก่ MUT กรุงเทพมหานคร “แพรววณิชยฐ์ เรืองทอง” คว้าเงินรางวัล 30,000 บาทจาก Glass Skin ไปครอง
พี สะเดิด ป่วยมะเร็งเต้านม1ในล้าน ศรัทธาครูบาอาจารย์ ใช้ธรรมะบำบัดแทนวิทยาศาสตร์
เป็นอีกหนึ่งในคนบันเทิงที่ต้องต่อสู้เผชิญกับการป่วยโรคร้ายอย่างมะเร็ง สำหรับนักร้องโจ๊ะๆสายอีสาน "พี สะเดิด" ตำนานเพลงฮิตเพลงดัง "จี่หอย" ที่ถือเป็นความโชคร้ายที่ทางการแพทย์ให้ข้อมูลว่าโอกาสเกิดน้อยในเพศชาย จำนวนพบผู้ป่วย 1 ในล้านที่พบว่ามีอาการ ล่าสุดเดินสายโปรโมทเพลงใหม่ "ตลอดชีวิต" พร้อมเปิดใจอัปเดตอาการป่วยมะเร็งเต้านม ผ่านรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" ที่ขอใช้ธรรมะบำบัด ตามศรัทธาความเชื่อของพระป่าที่เจ้าตัวนับถือ

ถามถึงอาการป่วยเป็นมะเร็งคนรู้น้อยมากเลย?
"ต้องย้อนไปเลยครับ ตอนที่ผมป่วยผมไม่ค่อยได้บอกใคร ป่วยมาเกือบ20ปีแล้ว พ่อแม่พี่น้องผมก็ไม่ได้บอกใคร เลย"

ทำไมถึงเลือกที่จะไม่บอกใครเลยถึงอาการป่วย?
"อย่างแรกเลยคือกลัวเค้าเป็นห่วง ส่วนเรื่องมะเร็งที่ว่านั้นตอนแรกผมก็มีอาการเหมือนเจ็บที่หน้าอก เจ็บที่ตรงนม เวลาไปทัวร์คอนเสิร์ตเราก็รู้สึกว่าถ้ามันเจ็บที่นม แล้วก็เนื้อมันก็โตขึ้นมาขนาดที่เราทัวร์คอนเสิร์ต ซึ่งก่อนหน้านี้ผมก็เป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอด 6เดือนผมจะตรวจทีนึงเป็นประจำอยู่แล้ว พอเช็คเลือดดู เช็คเซลล์ดู ก็คือมีเชื้อ มะเร็ง"

โอกาสน้อยนักที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม?
"จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน หวยมาออก ที่เรา"

ตอนแรกที่ทราบว่าเป็นมะเร็ง ตกใจขนาดไหน?
"ตกใจกลัว กลัวตาย ณ เวลานั้นมีตัวเลือกอยู่2ทาง ที่จะผ่าเลยมั้ย เอาให้จบเลยมั้ย เราจะได้ไปทัวร์คอนเสิร์ตต่อได้ หรือว่าจะรอดูก่อนเพราะเราก็มีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ผมนับถือ พระสายป่า ก็เลยตัดสินใจไปหาครูบาอาจารย์ก่อน ถามท่านว่าผมเป็นมะเร็งผมกลัว พระอาจารย์มีอะไรแนะนำบ้างมั้ยครับ ขอกำลังใจหน่อย ท่านก็บอกว่ากลัวทำไมความตาย เราตายมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว ซึ่งพูดแบบนี้มันไม่ขำนะ แต่ด้วยความที่ท่านเป็นพระป่า ท่านก็เปรียบเทียบว่าถ้าชาตินี้ทำดีแล้วก็จะไปกลัวอะไร ตายก็ตายไปชาติหน้าเกิดใหม่เดี๋ยวก็ดีเอง ก็เลยได้กำลังใจจากท่านคิดว่าตายเป็นตาย ด้วยความศรัทธาของผมเชื่อในคำพูดของท่าน นั่นคือปาฏิหาริย์สิ่งแรกที่ผมได้เจอ ทำให้ผมคิดได้ว่าผมต้องไม่กลัว พอมันไม่กลัวแล้วมันก็พร้อมจะปรับปรุงตัวกับทางโลก กินของที่มีประโยชน์ อะไรที่ใกล้สารพิษเราหลีกห่างให้ไกล เปลี่ยนวิธีคิดหมดเลย"

ใช้คำหลักสอนธรรมมะช่วยดูแลตัวเองให้ดีขึ้น?
"ท่านก็ให้ไปดูใจตัวเอง ภาวนาได้ให้ภาวนา ถ้างดอาหารที่เป็นพิษได้ก็งด และก็ใช้ชีวิตแบบธรรมชาติเลย แบบสบายๆอย่างที่ท่านบอก หลังจากเจอท่านก็กลับมาเปลี่ยนชีวิตทุกอย่างเลย พอมาปฏิบัติธรรมก็หยุดทุกอย่าง บุหรี่ เหล้า ทำให้เราเข้มแข็ง และแข็งแกร่งที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง ผมก็เลยตัดสินใจไม่ผ่า และก็มาปฏิบัติตัว ค่อยๆกินและก็ดูแลตัวเอง พาตัวเองไปอยู่ที่ ที่เบาและก็สบาย"

นานมั้ยกับการดูแลตัวเอง ตอนนี้สภาพร่างกายเป็นยังไง?
"ผมไปเช็คร่างกายอยู่ทุกระยะ เชื่อมั้ยครับว่าค่ามะเร็งมันดีขึ้น จาก300-400 มันค่อยๆลดลงมา จนเหลือ 0 ไม่มีค่ามะเร็งเลย"

แล้วคุณหมอที่ตรวจว่ายังไงบ้าง?
"เชื่อมั้ยครับว่าผมไม่ได้บอกท่าน ว่าผมไม่ได้กินยาของท่าน (รับยามาแต่ไม่กิน เราดื้อนะ) ใช่ครับ ก็ต้องรอดูหน่อย เพราะเราไม่อยากผ่า ทางแพทย์ปัจจุบันเราก็ทำควบคู่กันไป มันก็ต้องพิสูจน์กันดู"

หมอบอกมั้ยคะ สาเหตุมะเร็งเต้านมเกิดขึ้นได้ยังไง?
"มาจากการปฏิบัติตัวครับ ในชีวิตประจำวันเรานอนไม่เป็นเวลา กินไม่เป็นเวลา เราใช้ชีวิตผิดเพี้ยนจากคนปกติเลย เราก็เครียดทำงานหนัก ตะบี้ตะบันไม่สนใจตัวเอง ทุกอย่างมันก็เป็นโทษกับร่างกาย เลือดมันก็เป็นกรดตามที่หมอ อธิบาย"

ตอนนี้ถือว่ามะเร็งสงบหรือยังคะ?
"ตอนนี้ปกติแล้วครับ ก้อนๆทีเคยมีก็ยุบไปเรียบร้อย ก้อนเท่าลูกมะนาวเลยนะครับ ลูกใหญ่มาก"

แล้วครูบาอาจารย์ท่านยังอยู่มั้ย?
"หลวงพ่อทูล ขิปปปัญโญ ท่านละสังขารแล้ว ท่านมีผลกับความคิดเรามาก ท่านให้เราอยู่กับปัจจุบัน คนเรามักจะมองในอนาคตส่วนใหญ่ จริงๆอนาคตมันก็ดีแหละมันเป็นส่วนนึงที่เราต้องวางแผน แต่ถ้าเราไม่ทำวันนี้ พรุ่งนี้เราก็อาจจะไม่มีโอกาสลืมตามาทำได้ ท่านมักจะสอนลูกศิษย์ลูกหาท่านแบบนี้"
“แก้มบุ๋ม-พีท” ถือฤกษ์ดีจดทะเบียนสมรส หลังแต่งงานครบ1ปี
หวานฉ่ำเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ทุกโมเมนต์สำหรับคู่รักดังอย่างนักธุรกิจหนุ่มทายาท รพ.ดัง พีท กันตพร หาญพาณิชย์ และนักแสดงสาว แก้มบุ๋ม ปรียาดา สิทธาไชย แม้แต่งงานมา 1ปียังสาดความหวานเหมือนจีบกัน ใหม่ๆ

ล่าสุด 11 ส.ค.68 ทั้งคู่ได้เดินหน้าชีวิตคู่กันไปอีกสเต็ปแล้ว ด้วยการจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้องตามกฏหมาย โดย พี่พีท ได้โพสต์ภาพคู่ภรรยาพร้อมภรรยา พร้อมข้อความว่า "แบบนี้คือมีเจ้าของแบบเป็นทางการแล้วสินะ #แก้มพีท ตลอดไป Kambum&Peace - 11 / 8 / 2025 "

สยามดาราขอแสดงความยินดีกับทั้งคู่ด้วยนะคะ
Cr. IG : peace.kan
#พีท #แก้มบุ๋ม #สยามดารา
สู้เพื่อชาติ "บุ๋ม ปนัดดา" นั่งโฆษกพิเศษตอบโต้กัมพูชา ทำงานด้วยใจไม่ขอรับเงิน พร้อมฟาดทุกเฟกนิวส์ "พลโทหญิง มาลี"
สร้างความฮือฮาอย่างมาก หลัง "พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์" รมช.กลาโหม เปิดตัวแต่งตั้งโฆษก ศบ.ทก. (ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา) เลือกตัวแม่ตัวมัม บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี  ประธานมูลนิธิองค์กรทำดีและอดีตนางสาวไทย เพื่อทำหน้าที่ตอบโต้ชี้แจ้งข้อเท็จจริงสถานการณ์ปัจจุบันปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อกรกับการรายงานกับ "พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา" โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา โดย ดร.บุ๋ม จะมาช่วยตอบโต้ผ่านสื่อออนไลน์ และข้อมูลในการแถลงข่าวต่างๆ งานนี้เปิดใจแบบจัดเต็มที่แรก ผ่านรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" ถึงบทบาทและหน้าที่ภารกิจใหญ่หลวงเพื่อประเทศชาติ

ถามถึงตำแหน่งที่ได้มาต้องทำหน้าที่อะไรบ้าง?
"ก็เป็นโฆษกในการแถลง เพียงแต่ว่าไม่ต้องนั่งโต๊ะเหมือนฝั่งนั้น แต่ถ้ามีโอกาสเข้ามาทำเนียบก็อาจจะมีตั้งโต๊ะแถลง จริงๆนะมีการพูดคุยมาแล้วสักพักนึงแต่บุ๋มติดตรงที่บุ๋มขออยู่ในพื้นที่ของบุ๋ม เพราะบุ๋มทำงานตรงนี้มาเป็นเดือนแล้วตั้งแต่ก่อนที่จะมีเรื่อง เราอยู่ตรงนี้มานานลงพื้นที่ ถ้าจะทิ้งน้องๆคงไม่ได้ และบุ๋มเองก็รักในการลงพื้นที่ของบุ๋ม ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ท่านเข้าใจท่านเห็นการทำงานของบุ๋มอยู่แล้ว ดังนั้นบุ๋มสามารถทำคลิปออนไลน์ได้ ชี้แจ้ง หรือโพสต์ข้อความผ่านเพจได้ เพื่อที่จะชี้แจงแต่ละประเด็น ที่ฝั่งนั้นอาจจะพูดอะไรมาที่เป็นเฟกนิวส์ มันด้วยอะไรหลายๆเหตุผลค่ะที่คุยกันมาแล้วสักพักนึง"

ทำไมคิดว่าท่านถึงเลือกและแต่งตั้งเรา?
"บุ๋มว่าด้วยหลายเหตุผล อย่างแรกคือบุ๋มอยู่ในพื้นที่จริงๆรู้ปัญหาตั้งแต่แรก รู้ปัญหาของชาวบ้านที่แท้จริงและรู้ปัญหาของการมีสงคราม มันไม่ใช่เรื่องของอนาธิปไตยเท่านั้น มันมีในเรื่องของความเป็นอยู่และความอดทนของน้องๆทหาร ผลเสียในเรื่องของเศรษฐกิจและปัญหาที่อยู่ตรงนั้น มันมีปัญหาหลายด้านในเรื่องของการเกษตรที่มีผลที่ต้องหยุด แต่มันรอไม่ได้ข้าวมันต้องสุก ผลไม้มันต้องสุก ดังนั้นมันมีผลเรื่องเศรษฐกิจร้านอาหารทุกอย่างต้องหยุดหมดเลย เด็กไม่ได้เรียนหนังสือ ทุกอย่างมันอยู่ตรงนั้น และเราก็ไม่อยากเสียพื้นที่ อันนี้คือความรู้สึกของคนทั่วไปฉะนั้นเราเลยต้องบาลานซ์กัน อะไรคือสิ่งดีที่สุด อะไรคือสิ่งที่ใช่ณ ตรงนี้ เพื่อให้สูญเสียพลเรือนน้อยที่สุดด้วย"

อันนี้เป็นสาเหตุหลักด้วยที่เรารู้ทุกมุม?
"คือเรารู้หลายด้าน ทุกแง่มุม ทั้งฝั่งทหาร และประชาชน และเป็นสื่อมวลชนด้วยถูกมั้ยคะ อันที่สองเลยคือเราได้ประสบการณ์ในการเป็นพิธีกร มากกว่า 25 ปีทั้งงานพิธีกรและอ่านข่าวมา อันที่สามคือการเป็นจิตอาสา ในจุดยืนของบุ๋มทุกคนรู้อยู่แล้วว่าบุ๋มอยู่เคียงข้างประชาชน"

ถึงเป็นที่มาของตำแหน่งโฆษกจิตอาสา?
"ใช่ค่ะ เพราะบุ๋มไม่ขอรับตังค์จากตำแหน่งโฆษก นี้ค่ะ"

หนักใจมั้ยคะ คนเทียบว่าเพื่อสู้กับ พลโทมาลี?
"ไม่หนักใจค่ะ อึดอัดใจมากกว่าที่เราได้ยินอะไรที่ออกจากปากเค้า และเราพูดไม่ได้ว่าความจริงคืออะไร เราอึดอัดใจมากกว่า"

จริงๆทางกระทรวงเค้ามีวางโฆษกผู้ชายไว้ด้วยมั้ย?
"เค้าคงมองไว้หลายคน แต่ถ้าเอาเข้าจริงเป็นผู้ชายไปตอบโต้กับผู้หญิงที่ปากแบบนี้ มันก็ไม่เหมาะไง หลุดแล้วเห็นมั้ย (หัวเราะ) พูดชื่อยังไม่อยากจะพูดถึงเลย อยู่อยู่ก็บอกว่าเรามาทำแบบนั้น ทหารไทยดูเชลยศึก เชลยศึกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ มันมีแต่เฟกนิวส์ออกมา แล้วตัวเองออกมาพูดว่าไม่อยากให้ไทยเรามีเฟกนิวส์ แต่ตัวเองพูดไรก็ไม่รู้ งานทางการคุณโกหกออกสื่อได้ยังไง เรายังรู้สึกโกรธเคือง ยังแค้นเลย ณ ตอนนี้อึดอัดใจมากกว่า ที่เรารู้ความจริงแต่เราไม่สามารถตอบโต้ได้ แต่วันนี้แระ (ทำท่าทุบโต๊ะ)"

หลายๆคนเชื่อว่าบุ๋มทำได้ และทำได้ดี?
"พูดตรงๆคงไม่ใช่สายตลาด บุ๋มคงไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะในนามโฆษก ศบ.ทก. คือสิ่งที่พูดออกไปมันไม่ใช่เพื่อประชาชนคนไทยเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยเท่านั้น แต่มันออกสู่สายตาชาวโลก ด้วยค่ะ"

งานแรกที่จะต้องทำหลังจากนี้คืออะไร?
"บุ๋มคงต้องเคลียร์ก่อน เพิ่งมีการประชุมกันมา เราต้องเคลียร์กันก่อนว่าเราสเต็ปต่อไปที่ผู้ใหญ่จะทำคืออะไร ต้องให้ผู้ใหญ่สั่งมาก่อนว่าแต่ละพื้นที่จะมีนโยบายยังไง ให้ประชาชนกลับบ้านได้มั๊ย บังเอิญทุกอย่างมันเป็นเรื่องหลังการประชุม ดังนั้นนโยบายทุกอย่างจะออกมาจากหลังการประชุม"

มีโอกาสลงพื้นที่จริงช่วยเหลือทุกภาคส่วนมานานแค่ไหน?
"ประมาณเกือบจะ2 เดือน บุ๋มลงพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 6 บุ๋มรู้จักทหารอยู่แล้ว เราทำงานร่วมกันตั้งแต่ สตง. และตั้งแต่แม่สาย ตอนแรกกล่าวว่าจะไปแค่ทอดลูกชิ้นช่วยทหารไปสองวันแล้วก็กลับ ไปให้กำลังใจทหารเพราะเรารู้จักกันมานานแล้ว ทีนี้ไปๆมาๆก็ไม่ได้ไปรับทราบปัญหาที่เกิดขึ้นจริง ว่ามันมีความตึงเครียดเกิดขึ้นมากขนาดไหน ดังนั้นบุ๋มเลยต้องตัดสินใจทำบังเกอร์ให้ทหาร หลายคนอาจจะมองว่างบเค้าเยอะ เอางี้จะเล่าให้ฟัง ใครทำงานราชการจะรู้ เบิกงบภัยหนาวมาออกตอนเดือนเมษา (หัวเราะ) นี้คือยกตัวอย่าง ดังนั้นมันรอไม่ทันกับสถานการณ์ตึงเครียด ณ ตอนนั้น แล้วบุ๋มก็เห็นด้วยว่าฝั่งนั้นทำอะไรมันมีภาพ มันมีกล้องโดรน มันมีการส่องกันและกัน จนบุ๋มรู้ว่ามันไม่ปกติเพราะฝั่งนั้นตรึงกำลังคนเพิ่ม บุ๋มถึงไปที่ตามปราสาทต่างๆ จริงๆนะแอบไปดูกองกำลัง ไปดูงานเพื่อทำบังเกอร์"
หัวใจธรรมะ! โบวี่ อัฐมา ร่วมสวดมนต์-นั่งสมาธิ ขอให้ประเทศชาติปลอดภัย
นักแสดงหัวใจธรรมะ โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์ ที่ช่วงหลังหันไปเอาดีการเป็นอินฟูลเอนเซอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ และว่างเมื่อไหร่ก็ไม่ลืมที่จะนุ่งขาวห่มขาวปฏิบัติธรรม ล่าสุดเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย-กัมพูชา ยังไม่สงบ ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง โบวี่ เลยขอนุ่งขาวห่มขาว สวดมนต์ นั่งสมาธิ ขอให้ประเทศชาติปลอดภัย ซึ่ง เธอ ได้ลงรูปในเฟซบุ๊ก โบวี่ อัฐมา ชีวนิชพันธ์ พร้อมกับข้อความ ว่า

"มาร่วมรวมพลังสวดมนต์และนั่งวิปัสสนา เพื่อเป็นพลังกุศลในการรักษาอธิปไตยให้แก่ชาติ รวมตัวกันหลายจังหวัดทั่วประเทศเลย โบร่วมมา 2 ครั้งแล้ว อาจจะ มีจัดอีกนะคะ เผื่อใครสนใจ มาร่วมรวมพลังกัน สามารถติดตามข่าวสารได้ที่เพจนี้ค่ะ —> อ.อัจฉราวดี วงศ์สกล จริง ๆ เบื้องต้นสามารถทำเองได้ที่บ้านทุกวันนะคะ สวดมนต์หรือนั่งสมาธิและอุทิศบุญให้แก่ประเทศชาติ ช่วยกันอธิษฐานจิตเพื่อรักษาเขตแดนของชาติ และปกป้องทหารและประชาชนให้ปลอดภัยค่ะ" สมกับเป็นนางฟ้าใจบุญจริง ๆ เลย
บอกเลิกอาหารยอดฮิตแต่เป็นพิษ ถ้าไม่อยากแก่เร็ว ลำไส้เน่า ไตตับพัง เสี่ยงมะเร็ง!?
กินผิดมาทั้งชีวิต!? อาหารยอดฮิตที่คุณคิดว่าดีแต่ทำลำไส้พังเสี่ยงมะเร็ง บอกเลิกอาหารยอดฮิตแต่เป็นพิษก่อนสาย สัปดาห์นี้รายการ Tuck Talk พาไปพบกับ “นพ.บุญชัย อิศราพิสิษฐ์” แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิถีธรรมชาติประยุกต์ ไขความลับอาหารกับโรคร้าย เผยวิธีธรรมชาติบำบัด และเคล็ดลับการกินที่ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายห่างไกลมะเร็ง ให้มีสุขภาพที่ดีในระยะยาว

ลำไส้สำคัญกับร่างกายของเรายังไงบ้าง นอกจากการช่วยเรื่องการย่อยอาหารหรือว่าขับถ่าย
หมอบุญชัย : การย่อยเป็นหน้าที่อันดับแรก แต่จริงๆ แล้วความสำคัญของลำไส้กับสุขภาพ มันเป็นทางเข้าของสารอาหารทุกชนิดเพื่อมาเป็นตัวเรา อันนี้คือหน้าที่สำคัญมาก แต่ว่ามันต้องเกิดการย่อยก่อน ถ้าไม่ย่อยเราก็จะไม่ได้รับสารอาหารที่เรากินเข้าไป แล้วในกระบวนการทำงานของลำไส้ ทุกอวัยวะของคนเรามันก็จะมีความเสื่อมไปตามอายุเป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติอยู่แล้ว ตอนที่เราอายุยังน้อยเป็นวัยรุ่น เป็นวัยหนุ่มสาวมันก็ทำงานได้เต็มที่ การย่อยก็จะย่อยได้น้อยลง การดูดซึมก็จะช้าลง ครับ

สามารถแก้ไขได้ไหม
หมอบุญชัย : แก้ไขได้ด้วยการเข้าใจในสิ่งที่เรากิน คือเราก็ต้องกินอาหารที่มันย่อยแล้วสมบูรณ์ เกิดกากของเสียน้อยที่สุด และก็เป็นอาหารที่ย่อยแล้วดูดซึมง่ายที่สุด นี่คือหลักอีกข้อหนึ่ง

ถ้าเราดูแลลำไส้ไม่ดีจนลำไส้มันเสื่อมตั้งแต่อายุยังน้อยๆ อันนี้มันเป็นจุดเริ่มต้นของโรคร้ายไหม
หมอบุญชัย : ครับ คือตอนนี้ปัญหาหลักที่คนไทยเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารการกินมันยังไม่ค่อยถูกต้อง จริงๆ อาหารที่ย่อยง่ายที่สุดคือแป้ง เป็นโมเลกุลที่ย่อยแล้วได้น้ำตาล แต่ปัจจุบันคนไทยเราไม่ได้กินคาร์โบไฮเดรตในรูปแป้ง เรากินคาร์โบไฮเดรตในรูปน้ำตาล มันก็เลยเกิดภาวะน้ำตาลเกิน แล้วก็ไป เจ็บป่วย

แล้วแป้งแบบไหนที่กินแล้วดี
หมอบุญชัย : ต้องเป็นแป้งเชิงซ้อน เช่น ถ้าเป็นข้าวก็ต้องเป็นข้าวกล้อง ที่ต้องเป็นแป้งเชิงซ้อนก็เพราะว่ามันจะย่อยช้าๆ ไม่ได้ย่อยเร็วมาก แต่ว่าเวลาเราย่อยแป้งมันจะไม่เกิดกาก ไม่เกิดของเสีย แต่ถ้าเรากินอาหารประเภทโปรตีน อันนี้เวลาย่อยมันจะเกิดของเสีย ไม่ใช่กากแต่เป็นของเสียที่เกิดขึ้นครับ

โปรตีนที่หมอบอกว่าไม่ค่อยดี เช่นอะไรบ้าง
หมอบุญชัย : เป็นกลุ่มโปรตีนที่ย่อยยาก เพราะว่ามันจะย่อยนานแล้วก็จะมีของเสียเยอะ เกิดการหมักหมม (ferment) ถ้าเป็นเนื้อสัตว์เล็กสายโปรตีนเส้นใยสั้นจะย่อยง่ายขึ้น แต่ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ใหญ่เนื้อแดง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะเป็นเส้นใยยาว แล้วโมเลกุลของโปรตีนก็จะยาว ก็จะย่อยยาก ย่อยช้า เกิดของเสียเยอะ โปรตีนถ้าเป็นประเภทสัตว์เล็กเวลาย่อยก็จะประมาณสัก 1 วัน ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ก็จะย่อยประมาณ 2-3 วัน นอกจากนั้นขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณที่กิน ด้วย

จริงไหมที่เขาบอกว่ามนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ร่างกายหรือฟันของเรา เพื่อกินเนื้อสัตว์ใหญ่
หมอบุญชัย : จริงครับ ไม่ใช่แค่ช่องปากอย่างเดียว การทำงานของการย่อยมันตอบรับกับส่วนที่พอเหมาะในการกินเพื่อจะทำให้ลำไส้เสื่อมช้าที่สุด คือกินได้แต่ในปริมาณที่พอเหมาะ ซึ่งมันจะเปลี่ยนไปตามช่วงอายุแต่ละวัยด้วย

ถ้าลำไส้ไม่ค่อยดีมันก็จะเป็นโรคภูมิแพ้ มันสัมพันธ์กันยังไง
หมอบุญชัย : อันนี้สัมพันธ์โดยตรงกับอาหารประเภทโปรตีน เพราะว่าโปรตีนเมื่อเรากินเข้าไปเวลาย่อยมันจะได้กรดอะมิโนพร้อมกับของเสีย ถ้าเรากินโปรตีนที่เกิดการย่อยแล้วมีของเสียเยอะ โอกาสที่มันจะเกิดภูมิเพี้ยนๆ ก็เยอะ เช่น ภูมิแพ้ ภูมิจะไปสร้างปฏิกิริยาไวเกินไป

เกิดกับคนที่อายุมากขึ้นหรือเปล่า
หมอบุญชัย : ยิ่งอายุมากก็ยิ่งมีความเสี่ยงเยอะ ยิ่งเพี้ยน

ภูมิแพ้เนื่องมาจากลำไส้ไม่ดีของเราจะเป็นยังไง
หมอบุญชัย : มันเริ่มต้นได้ 2 แบบครับ แบบแรกคือเราไปสร้างความเสี่ยงให้ตัวเอง เช่น เรากินโปรตีนประเภทย่อยยาก หรือกินโปรตีนที่ธรรมชาติยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนให้ตัวเรา อย่างเช่นนมวัว นมวัวมันเพิ่งเข้ามาในสังคมไทยเมื่อไม่นานนี้เอง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นคนไทยยังไม่รู้จักนมวัว เลย

แล้วนอกจากกินนมแม่ ต้องกินนมอะไร
หมอบุญชัย : เด็กเราก็กินกล้วยกินอะไรพวกนั้น กินข้าวบด แล้วก็กินนมแม่ก็เพียงพอแล้วเพราะโปรตีนมันจะสายสั้น เรียกว่าโปรตีน อัลบูมิน (Albumin) นมวัวเป็นโปรตีนที่ย่อยยากสุดเรียกว่า เคซิน (Casein) ร่างกายดูดซึมได้นาน เหมาะกับช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อระหว่างพักผ่อนและทำให้อิ่มนานขึ้น

ดังนั้นก็จะมีเรื่องของ ภูมิแพ้ แพ้ภูมิ มะเร็ง
หมอบุญชัย : คือถ้าเราพูดถึงโปรตีนกับมะเร็ง จริงๆแล้วมันสัมพันธ์กันพอสมควร เพราะมันชอบของเสียจากโปรตีน เนื้อ นม ไข่ เห็ด ถั่ว เป็นอาหารที่โปรตีนสูง ดังนั้นเราจะต้องกินไม่เกินและต้องกินโปรตีนที่ย่อยง่าย เพื่อจะลดความเสี่ยงในการมีของเสียในการกินโปรตีน ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงอายุด้วย เพราะอายุมากขึ้นไตเราทำงานน้อยลงเราก็ต้องกินโปรตีนลดลง

คำว่า มะเร็ง น่ากลัวมากไหม
หมอบุญชัย : คือถ้าร่างกายเรามีของแปลกปลอมเยอะๆ ยูเรียไนโตรเจน (Urea Nitrogen) เป็นของแปลกปลอมนะ เป็นของที่ต้องขับทิ้ง พอมันมีเกินร่างกายก็จะเริ่มรวนแล้ว ระบบทำงานก็จะเริ่มผิด คนที่ไตวาย สมองจะเสื่อมหมดเลย ซึ่งสังคมไม่มีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ แล้วระบบธรรมชาติที่ควรจะเป็นเรากินมื้อนี้ ก็ต้องถ่ายมื้อที่แล้ว วันหนึ่งถ่าย 3-4 ครั้งหลังอาหาร อันนี้คือดีมาก ดังนั้นเราควรต้องทำลำไส้ใหญ่ให้สะอาด เริ่มจากการกิน แล้วย่อยสมบูรณ์ก่อน เกิดของเสียน้อย เพื่อไม่ให้ต้นทางมันสกปรก ส่วนใหญ่เราเกิดโรคเจ็บป่วยจากการที่กินเกิน ถ้ากินเกินสายโปรตีนมันจะออกทางภูมิคุ้มกัน ภูมิแพ้ ภูมิเพี้ยน มะเร็ง แต่ถ้ากินเกินในสายคาร์โบไฮเดรตอย่างกินน้ำตาลมันก็จะก่อเกิดโรคความเสื่อม ดังนั้นเราควรต้องกินตามสภาพร่างกาย

โปรตีนอะไรที่ย่อยง่ายๆ ที่ควรกิน อยู่ในอาหารประเภทไหน
หมอบุญชัย : ถ้าเป็นเนื้อสัตว์ที่ย่อยง่ายที่สุดก็คือปลา จำง่ายๆ เรียงกันไป สัตว์น้ำ สัตว์ปีก แล้วก็สัตว์ใหญ่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็จะยากที่สุดครับ ส่วนโปรตีนจากไข่ก็ยังย่อยค่อนข้างง่าย

สมัยก่อนบอกว่าไข่กินแล้วคอเลสเตอรอลสูง ปัจจุบันนี้กินได้แค่ไหน
หมอบุญชัย : คือเวลาเราทำความเข้าใจ เราเอาประเด็นมามั่วกันหมด วันนี้กำลังพูดถึงโปรตีน เราก็ต้องบอกว่าไข่เป็นโปรตีนที่ย่อยได้ดีพอสมควร ถ้าเราไม่กินเกินก็ไม่เกิดปัญหา แต่เรากำลังกลัวไข่เพราะไปกลัวไข่แดง กลัวคอเลสเตอรอล ก็มีการพูดว่ากินไข่ได้เท่านั้นฟองเท่านี้ฟองเดี๋ยวคอเลสเตอรอลจะเยอะ มันก็ไปอีกประเด็นหนึ่งแล้ว อันนั้นคือการดูแลระดับไขมันในเลือดให้มันสมดุล ถ้าเราจะกินแบบสมดุลก็กินไข่ทั้งฟองเพราะไข่แดงคือส่วนที่มีประโยชน์สูงสุด ไม่ต้องไปกลัวคอเลสเตอรอลในไข่ เพราะคอเลสเตอรอล 80-90% ตับมันสร้างเอง ขอให้คุณกินอาหารให้สมดุลที่ตับเอาไปใช้มันจะบริหารคอเลสเตอรอลให้ เราเอง

อะไรบ้างที่ทำให้ลำไส้ของเรากินแล้วมันจะแก่เร็วกว่าปกตินอกจากเนื้อแล้ว
หมอบุญชัย : ก็คือน้ำตาลครับ พวกสารอาหารที่เราแบ่งเป็นคาร์โบไฮเดรต มีน้ำตาลแล้วก็มีแป้ง น้ำตาลกับแป้งต่างกันตรงที่น้ำตาลมันคือหน่วยย่อยสุดของแป้ง แป้งมันเป็นโมเลกุลเชิงซ้อนมันต้องย่อยนานเลยกว่าจะได้น้ำตาลออกมา ถ้าเราไปกินน้ำตาลไม่ว่าจะมาจากนม ไม่ว่าจะมาจากน้ำตาลทราย ไม่ว่าจะมาจากผลไม้ มันก็คือน้ำตาล แต่ร่างกายคนเราใช้นำตาลชนิดเดียวเลยคือกลูโคส

มีอาหารอะไรบ้างถ้ากินบ่อยๆ จะช่วยชะลอความเสื่อมของลำไส้หรือของร่างกายได้บ้าง
หมอบุญชัย : ผักทั้งกรุ๊ปเลย ไม่ใช่เฉพาะใบนะ ทั้งดอกทั้งผลทั้งหัว หลากหลายมีเป็น 100 ชนิด ซึ่งอันนี้มันจะให้ส่วนที่ปัจจุบันนี้มันขาดหายไป เพราะเราไปกินอาหารที่เป็น Junk food มันเป็นอาหารที่เสียสมดุลตรงนี้เป็นหลัก ให้กินผักและผลไม้หวานครึ่งหนึ่งของความอิ่ม เพื่อเป็นหลักประกันสุขภาพก่อน โดยเฉพาะถ้าอายุมากขึ้นเรามักจะเผลอไปกินพวก แป้ง ไขมัน โปรตีนเยอะไป แต่ถ้าเรามีผักครึ่งหนึ่งของความอิ่มก็จะ บาลานส์

คุณหมอช่วยแนะนำเคล็ดลับที่ง่ายๆ ในการดูแลลำไส้ให้ดีไปนานๆ
หมอบุญชัย : อย่างแรกเลยนะครับ กินแล้วรักษาน้ำหนักตัวด้วย มันจะบอกความพอดีขั้นต้นก่อน คือความพอดีเรื่องแคลอรี่ อย่างที่สอง ไปตรวจเลือดดูว่าค่า BUN (Blood Urea Nitrogen) เราเกิน 10 ไปเยอะไหม ถ้าเกินให้ลดอาหารประเภทโปรตีนที่ย่อยยากลงก่อน เช่น พวกเนื้อสัตว์ใหญ่ หรือนมวัว ต่อมาก็เรื่องของการรับประทานให้สารอาหารมันค่อนข้างสมดุล แนะนำให้กินผักก่อนหรือผลไม้ที่ไม่หวานก่อน ถ้าเป็นคนขยันเคี้ยวก็เคี้ยวกลืน ถ้าเป็นคนกินเร็วก็ปั่นเอาจะช่วยได้ เพื่อไปรักษาสมดุลและได้สารอาหารครบ 5 หมู่ เพราะหมู่ที่มักจะขาดคือหมู่เกลือแร่ วิตามิน และก็หมู่ที่ 6 คือเส้นใยครับ อันนี้ก็เป็นการสร้างสมดุลแล้วครับ ที่เหลือก็มาสังเกตตัวเราว่าเป็นคนที่กินอาหารประเภทไหนแล้วออกอาการไม่ดีผิดปกติ มันเป็นไปได้เพราะแต่ละคนไม่ถูกกับอาหารบางชนิดไปสังเกตุเอา อันนี้หลักโครงสร้างใหญ่ๆ ถ้าเดินตามนี้ได้ธรรมชาติมันช่วยตัวเราเองได้

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=BW6oeUXCtz4
“จั๋ง PERSES” จากเด็กอ้วนติดหวาน สู่ไอดอลหุ่นลีน กินคลีนจนใจพัง อยากหล่อแต่เกือบเสียสุขภาพจิต
รายการ Glow On podcast with Grace สัปดาห์นี้พบกับนักร้องหนุ่มสุดฮอต จั๋ง perses ที่ถือว่าเป็นต้นแบบของเด็กยุคใหม่ทั้งเรื่องของวินัยในการทำงานเรื่องของการดูแลตัวเอง มาแชร์เคล็ดลับเกี่ยวกับการดูแลรูปร่าง เผยประสบการณ์ลดน้ำหนักในอดีตสู่ผลกระทบทางอารมณ์และร่างกายที่จากการลดน้ำหนักผิดวิธี กินคลีนจนใจพัง อยากหล่อแต่เกือบเสียสุขภาพจิต

ถือว่าเป็นคนที่ทำงานหนักคนหนึ่ง ต้องทำงานทุกวันแล้วกินยังไง
จั๋ง perses : ผมเลือกกินครับ พอเริ่มรู้ระบบว่าต้องกินอะไร เราก็จะเลือกกินประมาณหนึ่ง แต่ก็จะมี Cheat Meal อยู่ อาทิตย์ละครั้ง

เป็นอาทิตย์ละครั้งที่เรานอกใจการกินคลีน
จั๋ง perses : ใช่ครับ คลีนเกือบทุกวันครับ มี Cheat Day แค่วันเดียว แต่ก็มีข้อยกเว้นบ้างครับ ถ้ามีงานใหญ่ ๆ อย่างเช่นไปงาน Festival ผมก็จะอัดน้ำตาลก่อน เพราะมันต้องใช้ Energy ครับ ใช้แค่โปรตีนอย่างเดียวไม่ได้

มื้อหลักเรากินอะไร
จั๋ง perses : เมื่อเช้าข้าวประมาณ 1 กำมือครับ แล้วก็กินเนื้อไก่กับเนื้อวัว ทุกมื้อจะต้องมีเนื้อ 2 ก้อน มีผัก แล้วก็ข้าวครับ ประมาณนี้

ซีเรียสเรื่องน้ำมันหรือความมันไหม
จั๋ง perses : ซีเรียสเรื่องของทอดมากกว่าครับ กับถ้ามีน้ำมันเยอะเกินก็จะเอาทิชชูซับ หรือถ้ามีหนังก็จะลอก หนังออก

ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูแลตัวเองเรื่องกินมากเหมือนกัน
จั๋ง perses : ผมว่าติดนิสัยไปแล้วครับ (หัวเราะ) ผิวดีขึ้นด้วยครับ เมื่อก่อนสิวเห่อเลย เมื่อก่อนผมเป็นคนรักของหวานมาก ของทอดก็ชอบ กินตามใจปาก เมื่อก่อนกินบุฟเฟต์อาทิตย์ละประมาณ 4-5 ครั้ง แล้วก็คิดว่าต้องผอมเพราะเราเต้นตลอด แต่ก็คือไม่ผอม

เพราะว่าเรากินไปมากกว่าที่ใช้เยอะมาก
จั๋ง perses : เยอะสุด ๆ ไปเลยครับ

อะไรที่ทำให้กลับมาเข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้อง
จั๋ง perses : คือผมเป็นคนที่ลดน้ำหนักมาตลอดตั้งแต่ ม.ปลาย เราอยากมีความรักไง อยากได้ใจสาว ๆ ตอนนั้นสภาพก็ค่อนข้างเป็นวุ้นอยู่ ไม่ใช่ทรงนี้เลยครับ ตอนนั้นหนักกว่านี้ไม่เยอะมากประมาณ 68 กิโลกรัม ตอนนี้ 63 กิโลกรัม แต่มันแค่ไม่เข้าที่ ตอนนั้นแบบผิวคล้ำเพราะเล่นกีฬา แขนก็มีแต่รอยจากการเล่นรักบี้ เล่นบอล เล่นบาส

ใช้ชีวิตแบบสุด ๆ
จั๋ง perses : ใช่ครับ แต่พอไปเรียนพิเศษแล้วเจอผู้หญิงก็เลยแบบเราต้องดูแลตัวเองแล้ว แต่ตอนนั้นไม่มีคนมาไกด์ให้ว่าต้องกินอะไร เราก็เลยลดน้ำหนักผิดวิธีมาตลอดเวลา เช่น กินแค่มื้อเดียว กินทีละนิดทีละน้อย แล้วก็เข้าใจแค่ว่ากินให้น้อยกว่าที่ใช้ก็พอ โดยที่เราไม่ได้ออกกำลังกายแบบบอดี้เวทหรือเข้าฟิตเนสอะไร เพิ่มเติม

แล้วตอนนั้นเรื่องลดน้ำหนักและความรักสำเร็จไหม
จั๋ง perses : ตอนนั้นลดน้ำหนักสำเร็จครับ แต่ความรักไม่สำเร็จ ในช่วง ม.ต้น - ม.ปลาย คือผมค่อนข้างอักเสบเรื่องความรักมากเลยครับ ตอนนั้นไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักมาก่อน เราจะเห็นแต่เพื่อน ๆ ที่ไปเข้าแถวตู้โทรศัพท์ตอนกลางวันเพื่อคุยกับโรงเรียนที่อยู่ข้าง ๆ โคตรเท่เลย ผมก็อยากคุยบ้างแต่ไม่มี

แต่เราก็ได้ลดความน้ำหนักตอนนั้น
จั๋ง perses : แต่มันก็ก็โยโย่นะพี่ เพราะเราลดผิดวิธี ลดด้วยการตัดคาร์บ กินเนื้อ กินน้อย กินแต่ฟักทองไม่กินข้าว ลดแบบมั่วซั่วไปหมดเลย คือเปิดจาก YouTube บ้าง ไปถามคนนั้นคนนี้บ้าง แล้วทุกสูตรมันก็รวมกันจนเละไปหมด เลยครับ

แล้วเคยกินไม่ดีไหมกับร่างกาย แล้วรู้สึกเสียใจกับตัวเอง
จั๋ง perses : ถ้ากินไม่ดี มีครับ มีช่วงหนึ่งที่เราตัดหวานมาก ๆ คือจริง ๆ ผมเป็นคนชอบหวานมาก่อนครับ ทีนี้เราเห็นมันอยู่ในตู้เย็น เราก็เลยอยากจะลิ้มรส ก็เลยเอามากินแล้วก็เคี้ยว ๆ แล้วก็ห่อทิชชูทิ้ง ซึ่งผมมีความสุขมาก เหมือนโดพามีนมันพุ่งแบบ ฟินมาก เป็นวิธีที่ไม่ดีเลย อย่าไปทำตาม คือตอนนั้นผมหมดหนทาง มืดแปดด้านมันอยากจริง ๆ แต่ก็คายออกมา เพราะรู้สึกว่าถ้ากลืนเข้าไปมันจะรู้สึกผิดกับร่างกายที่เราอุตส่าห์ไปวิ่งมา บอดี้เวทมา ผมว่าจริง ๆ มันสามารถบาลานซ์ได้ครับ ด้วยความที่ต้องรีบใช้งานด้วย เลยเคร่งกับตัวเองมาก ผมจะมี Mindset ในหัวอย่างหนึ่งว่าจะไม่กินเลย เพราะว่ามันจะผิดวินัย มันจะผิดระบบ อย่างเช่นถ้าผู้จัดการถือเค้กมาแล้วช่วงนั้นผมกินคลีนอยู่ แล้วผู้จัดการยื่นมาป้อน ผมจะบอกไม่เอาเสียระบบ เพราะถ้ากินไปอันหนึ่งแล้วความคิดมันจะรู้สึกแพ้ไปแล้ว แล้วจะรู้สึก ผิดแล้ว

ตอนนั้นนานยัง จั๋ง perses : มีหลายช่วงครับ ช่วงเมื่อก่อนที่ลดความอ้วนก็มีรอบหนึ่งช่วงประมาณปี 1 ปี 2 แล้วก็อันล่าสุดก็คือช่วงที่เริ่มจริงจังกับการฟิตเนสมาก ๆ ครับ

พอเลิกทำแบบนั้นได้แล้วเป็นยังไง กลับมาสู่กิจวัตรประจำวันที่ถูกต้องตอนนี้
จั๋ง perses : คิดว่าสภาพจิตใจมันก็ดีขึ้นด้วยครับ ตรงที่เราไม่ต้องฝืนตัวเองมากเกินไป เพราะว่าตอนมีช่วงที่ผมต้องถ่ายแมกกาซีนแล้วต้องโชว์ซิกแพค มันก็ต้องตัดน้ำ ตัดหวาน แล้วช่วงนั้นผมมีโชว์บนเวทีใหญ่ร่วมกับศิลปินท่านอื่นด้วย แล้วก็ขึ้นไปด้วยความที่สมองอ๊องไปหมดเลย เพราะว่าตอนนั้นปากเราก็แห้ง สมองก็เหมือนไม่มีของหวาน ไม่มีน้ำมันมึนไปหมดเลย แต่ก็คุ้มสำหรับภาพที่มัน ออกมา

การลดได้อย่างถูกวิธีจริง ๆ แบบนั้นคืออะไร
จั๋ง perses : จริง ๆ ผมให้เครดิตกับพี่เทรนเนอร์ผมเลยครับ เราได้เทรนเนอร์ดีมาก ๆ ไปเทรนกับทาง Bestfitt ครับ ทุกวันครับ ทุกเช้า ส่วนใหญ่ตารางผมจะเริ่มประมาณ 11 โมง ปกติผมตื่นประมาณ 10 โมง แต่พอเริ่มเข้าระบบก็คือตื่น 6:30 น. ไปฟิตเนส 7 โมง แล้วก็เสร็จฟิตเนสก็ประมาณ 9 โมง 10 โมง แล้วค่อย กลับห้อง

นอนกี่โมง
จั๋ง perses : แล้วแต่วันเลยครับ บางวันก็เที่ยงคืน บางวันก็ตี 1 ตี 2 ก็มี แต่ก็ปลุกตัวเองขึ้นมาครับ จริง ๆ มันก็ถือว่านอนไม่พอ แต่เรากลัวเสียระบบ แต่ทำอย่างนี้เรื่อยๆก็ไม่ดีครับ สิ่งที่จะแย่คือฮอร์โมน แต่ตอนนั้นเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนไง แบบว่าผมเป็นคนที่ต้องทำให้สำเร็จด้วยแหละ ตอนนั้นจะต้องถ่าย จะต้องทำงาน จะต้องใช้หุ่นตอนนี้เลยใช่ไหม เราเลยกล้าทุ่มเลยตอนนั้น ก็นอนประมาณ 4-5 ชั่วโมงครับ เขาก็จะเน้นพวกบอดี้เวทไปถึงก็วิดพื้น เน้นเติมส่วนที่เราไม่มีอย่างเช่นอกบน ไหล่หน้า ไหล่ข้างครับ แล้วก็เน้นท้องหนักสุดเลย

แอลกอฮอล์ตัดไหม
จั๋ง perses : แอลกอฮอล์ก็ตัด แต่ผมไม่ค่อยกินแอลกอฮอล์อยู่แล้วด้วย ตัดของหวาน แล้วก็พวกของมัน ของทอดก็ตัดเลย แล้วก็เพื่อน ๆ ชวนไปกินข้าวช่วงใกล้ถ่ายแบบประมาณ 1 เดือน ผมก็จะไว้ก่อนเพื่อน หรือไม่ก็ไปกินอะไรที่มันมีเนื้อให้พอจะเคี้ยวได้ เน้นเนื้อ เน้นผัก ซุปไม่เอานะครับ ส่วนน้ำจิ้มก็จิ้มบาง ๆ

ตอนที่เราคุมตัวเองมาก ๆ ตัดหวานหงุดหงิดไหม
จั๋ง perses : เหมือนรถไฟเหาะเลยตอนนั้น รู้สึกได้เลยว่าเราคุมอารมณ์ตัวเองได้ยากขึ้นมาก จากเมื่อก่อนที่เป็นคนใจเย็นมาก แล้วก็เป็นคนที่มีสติทันอารมณ์ตลอดเวลา กลายเป็นว่ารู้ตัวแต่ควบคุมไม่ได้ เหวี่ยง อาจจะไม่ได้ถึงกับวีน อารมณ์เสียง่ายมาก ผมเก็บไม่ค่อยอยู่ จนกระทั่งน้องๆ มาบอกว่าทำไมช่วงนี้พี่จั๋งช่วงนี้อารมณืเสียง่ายเหมือนกันนะ แล้วก็ด้วยความที่ผมจริงจังกับงานมาก ก็จะเครียด กลับไปบ้านก็เก็บไปคิด เพราะเราทำเบื้องหลังด้วย ทำเพลง ก็จะอารมณ์เสียโดยที่เราไม่รู้ตัว พอเขามาเตือนเราก็ขอโทษน้องเลย มีเคลียร์ใจกับเจ้าของค่ายด้วย ประชุมใหญ่เลย

ในช่วงที่เราตัดหวานมาก มีปัญหาถึงขั้นสภาพจิตใจอะไรอย่างนี้ไหม
จั๋ง perses : มีครับพี่ เหมือนผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะหวานหรือเปล่า แต่พอด้วยความที่มันเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ตัวเองมาก ๆ แล้วกลายเป็นว่าเหมือนพลังงานลบมันเข้ามาเยอะกว่าเมื่อก่อน มันก็เลยเหมือนมันช็อกกับพลังงานที่เราได้รับมา แล้วกลายเป็นคนคิดมากโดยปริยาย แล้วก็กลายเป็นคนที่พอควบคุมตัวเองไม่ได้มันเลยรู้สึกเฟลกับตัวเองไปด้วย มันเลยยิ่งหนัก ๆ เข้าไปอีก แล้วก็มีช่วงหนึ่งผมมึนอ๊องแล้วก็ปรึกษาเพื่อน ปรึกษาค่ายว่าหรือเราควรไปพบคุณหมอ ควรระบายอะไรให้เขาฟังดีไหม เพราะว่าตอนนั้นเราควบคุมไม่อยู่ แต่ผมว่ามันก็อยู่ด้วยที่งานมันหนักขึ้น ด้วยครับ

ถือว่าเป็นคนทำงานหนักแต่ว่าก็ยังดูโอเคอยู่นะ
จั๋ง perses : ครับ ตอนนี้พอมันผ่านช่วงที่เราถึงเป้าหมายแล้ว เราก็กลับมาบาลานซ์ชีวิตตัวเอง

แล้วในช่วงที่เราต้องลดเยอะเป็นพิเศษ สมมุติว่าต้องถ่ายงานแบบด่วนอีก 5 วัน
จั๋ง perses : ถ้าตอนนี้ผมก็จะพร้อมครับ ก็จะลดแป้งลง แล้วก็เพิ่มโปรตีนนิดหนึ่ง เพิ่มโปรตีนขึ้นลดแป้งลงแล้วก็ตัดมันตัดหวาน แล้วก็ถ้าต้องใช้ท้องผมก็จะตัดน้ำครึ่งวันก่อนนอนอะไรอย่างนี้ ส่วนท่าเล่นท้องที่เล่นบ่อยสุดคือ Roll-out ครับ ทรมานสุดแล้วครับสูตรพี่เบสเลยนะ อันนี้ไม่รู้ขายได้หรือเปล่าถือว่าแชร์กันแล้วกันนะพี่เบส ของผมก็จะของพี่แชมป์ เขาจะให้ท้อง 100 ครั้ง แล้วก็มีเตะขาตัว เตะขา 100 ครั้ง แล้วก็มี Side Cycle 100 ครั้ง ใช่ครับ 3 อันนี้ ที่จะทำทุกครั้งที่ไปเล่นฟิตเนส

แล้วซิกแพค ทำยังไงเวลาที่ต้องใช้
จั๋ง perses : ซิกแพคต้องใช้ก็ถ้าต้องโชว์ ผมก็จะใช้สูตรเดิมกับที่เพิ่งถ่ายมาก็คือ ตัดน้ำ 1 วัน แล้วก็กินโปรตีนลดแป้ง แป้งก็อาจจะเปลี่ยนจากข้าวกล้องก็จะเปลี่ยนเป็นพวกฟักทองแทน เพราะมันย่อยง่ายกว่าหรือซึมง่ายกว่า ครับ

เราพอใจกับรูปร่างนี้แล้ว
จั๋ง perses : จริงๆ ก็ยัง ผมอยากตัวใหญ่กว่านี้ ปั้นไหล่ ประมาณหุ่นแบบ เจย์ ปาร์ค

เขาบอกว่าคุณมีทฤษฎีในการออกกำลังกายและให้รางวัลตัวเองด้วยการกิน
จั๋ง perses : หลังออกกำลังกายครับ คือผมเป็นคนที่ชอบกินมาก ๆ แล้วผมเป็นเมื่อก่อน อย่างที่บอกว่าผมชอบกินบุฟเฟต์ ผมชอบกินแบบกินแบบอั่ก ๆ ๆ ๆ ยัด เพราะฉะนั้นเวลาเราออกกำลังกายเสร็จปุ๊บ สมมุติร่างกายเหนื่อย ๆ ล้า ๆ เลยปุ๊บเราก็จะสั่งข้าวทิ้งไว้ตอนที่เราเดินชันเสร็จปุ๊บก็ซัดเลย โอ๊ย แฮปปี้ดีมาก แต่เราเลือกกินนะจะกิน แต่เนื้อ

ตอนนี้คำว่าสุขภาพดีใกล้หรือยัง
จั๋ง perses : ยังไม่ค่อยใกล้แต่ว่ากำลังไป On The Way เพราะรู้สึกว่ายังพักผ่อนน้อย แล้วก็ทำงานเยอะ
ถามนอกเรื่องเมนูที่ชอบตอนนั้น ที่รู้สึกว่าแย่ที่สุดที่เคยกินคือเมนูอะไร
จั๋ง perses : ผมชอบช็อกโกแลตมาก คือสิ่งที่ผมรักที่สุด กินได้แบบทั้งวันทั้งคืน มีตอนเด็กๆ ผมเอาช็อกโกแลตบาร์ มาประมาณ 10 อันเอามาซ้อนกัน แล้วผมก็แบบค่อย ๆ แทะ ผมคือเด็กอ้วนคนหนึ่ง ผมคือแบบเด็กที่รักการกินของหวาน ถ้านึกสภาพไม่ออกนะ ให้นึกภาพผมอยู่บนโซฟา มีกล่องป๊อปคอร์น แล้วก็มีขนมถุงเยอะมากๆ กับช็อกโกแลต 10 อันแล้วผมนั่งแบบ ที่เรียงกันอย่างงี้ กินทีละอันกับท่านั่งที่สบายที่สุดเท่าที่จะหาได้ แล้วเปิดทีวีดูไปด้วย อันนี้คือผมเมื่อก่อน

สามารถติดตาม " Glow On podcast with Grace " ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=mA6TBx42ws4
มัม ลาโคนิคส์ พ้นวิกฤติ โพสต์ขอบคุณทุกคน หลังออกจากห้องไอซียู
หลังจากนักร้องชื่อดัง “มัม ลาโคนิคส์”มีอาการป่วยไตวายและน้ำท่วมปอด จนอาการวิกฤติ ต้องเข้ารักษาตัวในห้องไอซียูที่ รพ. มงกุฎวัฒนะ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา

ล่าสุด 7 ส.ค 68 ”มัม ลาโคนิคส์“ได้ออกจากห้องไอซียูแล้ว โดยมีเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆในวงการ ที่ไปเยี่ยมและให้กำลังใจกันแน่น นอกจากนี้เพื่อนศิลปินยุค90 ยังได้จัดคอนเสิร์ตหารายได้ช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล ในชื่อ "เพื่อน รัก เพื่อน” เมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2568 โดยมียอดเงินช่วยเหลือรวมกว่า 903,835 บาท

และ “มัม ลาโคนิคส์“ ได้โพสต์ครั้งแรก เป็นภาพนอนอยู่บนเตียงที่ รพ. และมีเพื่อนๆ มาเยี่ยม พร้อมทั้งเขียนข้อความว่า “กราบขอบพระคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทุกๆ ท่านเลยนะคะ” โดยมีคนในวงการบันเทงและแฟนๆส่งกำลังใจและอวยพรให้หายป่วยไวๆ

ด้านเพื่อนคนสนิทอย่างนักร้องดัง ฟอร์ด สบชัย ไกรยูนเสน ก็ได้โพสต์ภาพพร้อมกับ ตุ๊ก วิยะดา และเพื่อนๆ ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล ข้อความไว้ว่า "พี่มัมดีขึ้นเยอะมากๆ ขอให้แข็งแรงเร็วๆ ครับผม"
"เป๊ก ผลิตโชค" เปิดใจครั้งแรกขอโทษสังคม รับดื่มจนขาดสติ วอนทุกคนให้โอกาส
7 ส.ค.68 ค่าย White Music ต้นสังกัดของนักร้องหนุ่ม เป๊ก ผลิตโชค ได้ออกมาเผยคลิปเป๊กในชุดผู้ป่วยโดยเป๊กได้เผยว่า ผมอยากขอโทษทุกคน ที่ทำให้ผิดหวังในตัวของ ผมเองก็ผิดหวังในตัวเองเหมือนกันรู้สึกเสียใจในการกระทำที่ได้ทำลงไปในวันนั้น

-ไม่มีเจตนาทำให้ใครต้องเจ็บตัวหรือเสียใจ แต่ด้วยความผิดพลาดที่ดื่มเยอะเกินไป ทำให้ประคองสติได้ไม่ดี ตามที่ทุกคนได้เห็นในคลิป กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมอยากขอโทษที่รถแท็กซี่ และรถกระบะสีขาวที่ทำให้หวาดกลัว

-และที่สำคัญขอโทษไรเดอร์ที่ใส่หมวกกันน็อคทำให้เดือดร้อนผมได้ทำร้ายร่างกายเค้า ต่างคนต่างมีบาดแผลซึ่งกันและกัน ผมนำพาให้ชีวิตพี่มีความทุกข์เกิดขึ้น -ยืนยันไม่หนีไปไหน สัญญาว่าจะไปพบเพื่อแสดงความขอโทษจากใจจริงกับทุกคน ถึงสิ่งที่ได้ล่วงเกินทุกคนในคืนวันนั้น

-บทเรียนเหล่านั้นตนได้รับกรรมเรียบร้อยแล้ว ไม่อยากเป็นคนไม่ดี ขอโอกาสแก้ตัวใหม่ ขอให้สังคมช่วยยกโทษให้ด้วยรู้สึกผิดมากครับ ขอโทษจากใจจริง

#เป๊กผลิตโชค #สยามดารา
รัองไห้ทุกวัน! หนิง ติดลบ13ล้านงานผู้จัดละคร หนีตายทำธุรกิจอื่น รอวันกลับมาคืนชีพ
ใครเลยจะรู้ว่าบทบาทงานผู้จัดละครที่สวยหรูทางหน้าจอทีวี เบื้องหลังผู้จัดสุดแซ่บ "หนิง ปณิตา" ต้องปาดน้ำตาร้องไห้เกือบทุกวัน จนล่าสุดต้องเบนเข็มไปลุยงานพิธีกร งานธุรกิจอื่นเพื่อชดเชยรายได้ ที่แว่วว่าผลงานผู้จัดละครเรื่องที่ทิ้งทวนไว้ที่ช่องมากสี ทำเอาเจ้าตัวขาดทุนติดลบกว่า13ล้านบาท งานนี้เปลือยใจกลางรายการ "โต๊ะหนูแหม่ม" ช่องเวิร์คพอยท์หมายเลข23 กับพิธีกรตัวแม่ "พี่หนูแหม่ม สุริวิภา" เล่าถึงบทบาทงานผู้จัดละครที่หนักหนาสาหัสจนต้อง หนีตาย

ถามถึงงานการเป็นผู้จัดละครเป็นบทบาทที่หนักที่สุดของหนิงหรือยัง?
"ณ วันนี้ถือว่ายังไม่ใช่เรื่องที่หนัก"

ขนาดว่าติดลบไปถึง13ล้านเนี้ยนะ?
"ทำไมพี่หนูแหม่มรู้คะเนี้ย แต่หนูทำด้วยแพชชั่นไง คือจะมองแบบนี้หนูติดลบ10กว่าล้าน จากผลงานล่าสุดเรื่องสุดท้ายที่ทำของหนู แต่หนูมองอีกมุมหนึ่ง หนูได้อะไรล่ะ หนูก็สามารถไปทำอย่างอื่นแล้วเอาเงินอื่นมาหักลบกดหนี้ หนูก็ได้ช่องทางอื่น ซึ่งหนูติดลบตรงนี้จริง"

การเป็นผู้จัดละครมันหนัก เหมือนแบกทุกอย่างเอาไว้?
"มันเป็นการฝึกอีกเรื่องหนึ่ง เป็นการฝึกที่เราจะต้องเอื้ออาทรกับผู้อื่น แล้วจะทำให้รู้ว่าเราไม่ได้เก่งคนเดียว ต่อให้เราเก่งก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะประสบความสำเร็จ"

ไม่เครียดเลยหรอกับการทำงาน และยังติดลบ?
"เครียดมาก เครียดที่สุด ร้องไห้ทุกวัน เชื่อมั้ยมาทำงานพิธีกรคือร้องไห้จนตาบวมมาเลย ร้องไห้มาเลย แต่เวลาที่หนูเครียดตอนทำงานที่เจอมุมลบๆมาหรือใดๆ หนูจะพยายามมองหามุมที่บวกว่าหนูได้อะไร แล้วหนูเติมไปอยู่ในมุมที่บวกมากกว่า และมันสามารถทำให้หนูกล้าที่ก้าวผ่านไปได้"

เข็ดเลยมั้ยกับงานผู้จัดละคร?
"ไม่เข็ด เพราะว่าทุกวันนี้เวลาที่หนูเข้ามาอยู่ในพาร์ทธุรกิจเอง หนูห่วงทีมงานหนูตรงนั้นทั้งก้อนเลยนะ และหนูบอกเลยนะว่าตอนนี้หนูต้องไปลุยข้างหน้าก่อน ตอนนี้วงการไม่มีอะไรแน่นอนเลย หนูก็ต้องไปลุยกับการหาเงินมาทำธุรกิจของหนูก่อน ถ้าวันนี้หนูยังมัวแต่ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วเป็นเตี้ยอุ้มคร่อมตายกันทั้งทีม แต่ถ้าวันนี้หนูออกมาก่อน และหนูทำให้หนูสำเร็จก่อน วันหนึ่งหนูกลับไปเก็บศพของทุกคนยังทำได้"

และในส่วนของธุรกิจอย่างอื่นยากกว่างานผู้จัดมั้ย?
"ในส่วนของธุรกิจก็ยาก หนิงลุยทุกอย่าง"
ต้า เฟ็ดเฟ่ เล่าวิกฤตชีวิตเบื้องหลังเสียงหัวเราะ การแยกทางกับเพื่อนรักสู่วันที่ต้องไลฟ์ขายของเอาตัวรอด!
“เกิดมาเว่า” สัปดาห์นี้พบกับ “ต้า เฟ็ดเฟ่” ยูทูปเบอร์ที่โด่งดัง มีเอกลักษณ์เป็นที่รู้จักในฐานะสมาชิกกลุ่มยูทูปเบอร์สายฮา “เฟ็ดเฟ่บอยแบนด์ และ ชัยโสโร” มาเปิดใจหมดเปลือกถึงเส้นทางชีวิตที่ไม่มีสคริปต์ เล่าปัญหาวิกฤตชีวิตที่ต้องเจอ จนต้องหาเส้นทางใหม่ การทำงานในวงการบันเทิงที่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลง และปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลวที่ไม่ใช่เรื่องแย่ เพราะทุกคนสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ทุกเมื่อ

เส้นทางชีวิตและบทเรียนของ ต้า เฟ็ดเฟ่
ต้า เฟ็ดเฟ่ : จริง ๆ แล้วผมเป็นคนชัยภูมิครับ กลับบ้านทุกเทศกาลเลย

เวลานึกถึงชัยภูมิ คิดถึงอะไรก่อนเป็นอย่างแรก
ต้า เฟ็ดเฟ่ : คิดถึงความสุขอยู่กับพ่อแม่ ต้นไม้ อากาศบริสุทธิ์ นั่งข้างคนที่เรารัก แค่หายใจก็มีความสุขแล้ว ครับ

ร้านเด็ดในชัยภูมิคือร้านอะไร
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ผมรู้สึกว่าอาจจะไม่ใช่ร้านเด็ดร้านดัง แต่เป็นร้านที่เป็นเอกลักษณ์ของหมู่บ้านเราคือ ร้านก๋วยเตี๋ยวหน้าโรงเรียนวังตาท้าว ผมภาษาอีสานผมฟังออกนะแต่พูดไม่ได้ เพราะหมู่บ้านผมพูดโคราชกันไม่ใช่อีสาน

ตอนเด็ก ๆ คาแรกเตอร์เป็นแบบนี้ไหมหรือเพิ่งเป็นตอนโต
ต้า เฟ็ดเฟ่ : เพิ่งมาเป็นตอนโตครับ เพราะหน้าที่การงานด้วย มันก็เลยกลายเป็นคาแรกเตอร์แบบนี้

จุดไหนที่ทำให้รู้ตัวว่าอยากเป็นคนตลก
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ตอนที่เห็นเพื่อน ๆ หัวเราะกับสิ่งที่เราทำ มันทำให้เรารู้สึกว่าการทำให้คนอื่นมีความสุขมันมีคุณค่ามาก ก็เลยตัดสินใจจะเป็นคนตลก

ได้ข่าวว่าพี่ต้าแยกทางกับพี่ชัยแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ไม่มีใครผิดหรือถูกครับ มันเหมือนทฤษฎีเหรียญที่มีสองด้าน เรามองคนละมุมกัน เรื่องมันเริ่มจากความคาดหวังกันสูงมากเกินไป เป็นเหมือนพ่อกับลูกที่ตึงเครียดเกินไป ก็เลยมีการทะเลาะกันในงานค่อนข้างบ่อยจนเราไม่มีความสุข เราทำงานสายบันเทิง แต่บางวันต้องทะเลาะกันก่อนเข้าเซ็ต แล้วพอได้เวลา 5 4 3 2 แอ็กชั่น เราต้องเล่นตลกทันที ทั้งที่อารมณ์ยังไม่คลี่คลาย เข้าก็ไม่ชอบเราก็ไม่ชอบ ก็อาจจะเป็นที่ผมผิดด้วยที่การคุย พอเริ่มคุยกันน้อยลง พอจะจูนกันก็ทะเลาะอีกแล้ว มันก็เริ่มจาง ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นเบื้องหลังเขาเป็นยังไง บางทีผมก็อิจฉาช่องอื่นที่ไม่ต้องมาเครียดๆอยู่แล้วเข้าฉากต้องตลกเลย แต่ผมก็ไม่ได้ติดอะไรมากเพราะมันเป็นหน้าที่ของเราความรับผิดชอบในงาน ถ้าเลือกได้เราก็ควรแฮปปี้แล้วก็ส่งความแฮปปี้ไปที่คนดูแบบเรียลๆ

มีโอกาสจะกลับมาทำงานด้วยกันอีกไหม
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ผมว่าต้องใช้เวลา จริงๆ ก็ยังเสียดาย ทุกวันนี้ผมยังเปิดคลิปเก่า ๆ มาดู แล้วก็ยังตลกอยู่เหมือนเดิม แล้วผมดูเขาเล่นมุกก็ยังขำเหมือน เดิม

ตอนออกจากช่องเราออกมาแบบตัวเปล่า
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ไม่ใช่ตัวเปล่าครับ ผมได้ความรู้ ได้การลองผิดลองถูก ได้ประสบการณ์ คือถ้าเรายังไม่แรง มีความมั่นใจ และความขยันวินัย มันเริ่มใหม่ได้ทุกเมื่อ การล้มเหลวไม่ใช่เรื่องแย่ ล้มแล้วก็ลุกให้ไว ชีวิตคนเราเคล็ดลับแค่นี้เลย

มีอะไรอยากบอกพี่ชัยไหม
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ตอนนี้เขาอาจจะมีแฟนคลับเป็นล้านๆ แต่แฟนคลับคนแรกในชีวิตเขาคือผม ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนตลก ผมเชื่อในความสามารถของเขา เขาเก่งอยู่แล้ว คนรักเขาเยอะ แฟนคลับเขาเยอะ ไปต่อได้อยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรือท้อ

มองยังไงกับคนที่บอกว่าเราตกยุค ต้องมาไลฟ์ขายของ
ต้า เฟ็ดเฟ่ : มีครับ หลังออกจากช่องชัยโสโรผมก็ตั้งไลฟ์ขายของเลย รายจ่ายมันไม่รอเรา ขายเสื้อผ้ามือสองใน TikTok มีคนถามว่าใช่ตัวจริงไหม หรือว่าร้อนเงินเหรอ บอกเลยว่าไม่ใช่แค่ร้อน ผมไหม้แล้วครับ (หัวเราะ) ผมว่าทุกอย่างต้องปรับตัวตามยุคครับ ทุกวันนี้คือยุคของคลิปสั้นแนวตั้ง ต้องถ่ายให้เร็วเข้าใจง่าย แต่คนที่ดู Youtube ก็ยังมี อย่าไปกลัวว่าทำแล้วไม่มีคนดู ยิ่งผิดพลาดเรายิ่งได้เรียนรู้ ไม่ควรยอมแพ้ ถ้าชอบก็ทำต่อไป เพราะการทำ Youtube ก็เป็นไดอารี่อย่างหนึ่งที่เราได้บันทึกเก็บไว้ในรูปแบบวีดีโอ

คลิปในตำนานที่แรงที่สุดคือคลิปไหน
ต้า เฟ็ดเฟ่ : มีคลิปหนึ่งที่เล่นแรงมาก แข่งเกมกันแล้วใช้อุปกรณ์สั่นยัดเข้าไปจริง ๆ เปิดเบอร์สุดแล้วสุดท้ายอุปกรณ์นั่นค้างอยู่ในตัวผม ต้องไปนั่งเบ่งในห้องน้ำ โชคดีที่มันพุ่งออกมาเอง ไม่งั้นคงต้องไปโรงพยาบาล อายหมอตายเลยครับ

ตอนนี้ทำแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา
ต้า เฟ็ดเฟ่ : ใช่ครับ ทำเสื้อบอลลายไทย อยากให้เสื้อเชียร์บอลมีความเป็นไทย ฟอนต์ไทย ลายไทย สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee ค้นหาว่า truly.bkk ได้เลยครับ

สามารถติดตาม “เกิดมาเว่า” ได้ที่ช่องทาง Facebook: WE DO , Youtube: WE DO วันอังคาร เวลา 18.00 น.

คลิกชมคลิปย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=1QPRYnm9OMk
ดื่มน้ำผิดชีวิตพัง! เปิดความลับเรื่องน้ำดื่มที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณ
รายการ Tuck Talk สัปดาห์นี้พบกับ 2 ผู้หญิงเก่งสายรักสุขภาพ อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ นางสาวไทยปี 2535 และ เฟย์ อรชุมา Water Sommelier (นักชิมน้ำดื่ม) มาแชร์เคล็ดลับมุมมองการดื่มน้ำที่ไม่ใช่แค่ดื่มแก้กระหายแต่ดื่มให้ถูกช่วยเปลี่ยนชีวิต หากดื่มน้ำผิดวิธี เสี่ยงช็อกตาย! แนะวิธีควรดื่มน้ำอย่างไรให้สวย สุขภาพดี และห่างไกลโรค

น้ำสำคัญกับร่างกายยังไง ทำไมคนถึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เฟย์ อรชุมา : คนไทยอาจจะยังไม่ได้เข้าใจถึงคำว่าน้ำ และความสำคัญของน้ำเทียบเท่ากับคนในต่างประเทศ น้ำมีความสำคัญมากกว่าเวลาเรากระหายน้ำแล้วดื่ม ในต่างประเทศเขาลึกซึ้งเรื่องนี้มาก น้ำนี่มีความสำคัญว่าถ้าเกิดเราขาดน้ำ 3 วันเราเสียชีวิต เพราะเนื่องจากน้ำเป็นส่วนประกอบในร่างกายเยอะมาก 70-80% ในต่างประเทศเขาศึกษาเรื่องนี้กันลึกมาก ยกตัวอย่างเช่น เขาจะมี คำว่า curative water ก็คือน้ำบำบัดเพื่อสุขภาพไว้ใช้รักษาในอาการต่าง ๆ

คนเราต้องดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วตามที่เราเรียนกันมาคือความจริงหรือไม่ หรือว่าร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เฟย์ อรชุมา : ไม่เหมือนกัน เพราะแก้วของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวเรา มีหลักการในการคำนวณ คือ น้ำหนักตัวเราคูณ 30 ก็จะได้เป้นอีกตัวเลขหนึ่ง จะได้เป็นมิลลิลิตร นั้นคือเบสิคที่ควรจะดื่ม เป็นขั้นต่ำ เพื่อเลี้ยงดูร่างกายให้ปกติแต่ว่าไม่ได้เสริมให้ร่างกายแข็งแรง การดื่มน้ำขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ถ้าเกิดขาดน้ำ 1 % ของน้ำหนักร่างกายของเราจะเริ่มกระหายน้ำ ถ้าอยู่ประมาณ 5% ที่เราสูญเสียน้ำออกจาก ร่างกายก็จะเกิดภาวะสมองไม่แล่น เพราะจะเริ่มไปรบกวนการทำงานของสมอง ถ้าอยู่ประมาณ 5-10% แปลว่ามันเริ่มกระทบต่าง ๆ อวัยวะในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่นมันจะเริ่มกระทบการหมุนเวียนของเลือดถ้าเกิดเลือดข้นจะทำให้มีภาวะโรคต่าง ๆ เกิดขึ้น ถ้าขาดน้ำ 15% เขาศึกษามาว่าอวัยวะภายในจะช็อกหรือเสียชีวิตได้

วิธีการดื่มน้ำที่เหมาะสม
เฟย์ อรชุมา : ถ้าเกิดเรากระหายน้ำแล้วค่อยดื่มแสดงว่าร่างกายเราขาดน้ำมาก ๆ แล้ว ตื่นมาควรดื่มน้ำเลย ที่อุณหภูมิห้องปกติ และอย่าเพิ่งแปรงฟันดื่มแบบมีแบคทีเรียเราอยู่ในปากเข้าไปพร้อมน้ำแล้วเข้าไปอยู่ในท้อง เพื่อเอาแบคทีเรียดีที่อยู่ในปากเข้าไปช่วงในเรื่องของระบบการขับถ่าย

ดื่มน้ำหวานหรือดื่มกาแฟไหม
เฟย์ อรชุมา : ไม่ดื่มน้ำหวาน แต่จะดื่มกาแฟที่มีลิมิตให้ตัวเองวันละ 1 แก้ว กาแฟมีผลต่อร่างกายทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ เพราะฉะนั้นถ้าดื่มกาแฟหรือชาก็ต้องดื่มน้ำเข้าไปอีก บางคนเมากาแฟจะเกิดอาการใจสั่นมึน ๆ เหมือนเมาเหล้า คลื่นไส้ ซึ่งแสดงว่าร่างกายขาดน้ำเยอะ ถ้าเกิดเราดื่มน้ำเข้าไปในร่างกายปริมาณหนึ่งอาการที่เราเป็นอยู่ก็จะหาย น้ำมีองค์ประกอบสำคัญในร่างกายช่วยลำเลียงสารอาหาร ช่วยเรื่องการคอนโทรลระบบความดันเลือด และเรื่องอุณหภูมิของร่างกาย สำหรับคนท้องคนที่ให้นมลูก คนที่ต้องรับประทานยาเยอะ ๆ คนป่วยที่ต้องทานยาที่คุณหมอให้มา แอร์โฮสเตส นักบิน คนที่ขึ้นเครื่องบินเดินทาง คนกลุ่มนี้ก็ต้องดื่มน้ำให้เยอะขึ้นกว่า ปกติ

คนที่ดื่มน้ำทีละเยอะ ๆ ดื่มเร็ว ๆ บางทีถึงขั้นช็อกตายเป็นไปได้ไหม
เฟย์ อรชุมา : เป็นไปได้ค่ะ เคสที่ต่างประเทศเกิดขึ้นมาแล้ว เพราะว่าร่างกายรับไม่ไหว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นนักวิ่งมาราธอน ขาดน้ำอย่างรุนแรง แล้วก็ไปดื่มน้ำที่เย็นจัดในปริมาณที่เยอะมากกว่าน้ำหนักตัวที่สามารถรับได้ เขาก็เกิดบอดี้ช็อกแล้วก็เสียชีวิตโดยฉับพลัน ดีที่สุดคือเราควรจะค่อย ๆ จิบน้ำไปทั้งวัน

Water Sommelier หรือนักชิมน้ำ
เฟย์ อรชุมา : ตอนที่เราชิม ลิ้นจะเป็นตัวรับรสของน้ำ ในต่างประเทศเขาจะมีการเทรนให้เราลักษณะว่า น้ำชนิดไหนเหมาะกับการรับประทานอาหารแบบไหน เช่น เค็มถ้าเรากินน้ำประเภทนี้จะทำให้รสชาติของอาหารดีขึ้นหรือแย่ลง

คนผิวสวยต้องดื่มน้ำแบบไหน
เฟย์ อรชุมา : ดื่มน้ำให้ถึง ขึ้นอยู่กับเขาใช้ชีวิตยังไง เลือกดื่มน้ำที่เป็นประเภทน้ำอัลคาไลน์ หรือ น้ำด่าง ค่า PH ของน้ำ PH 7 คือน้ำที่เป็นกลาง ต่ำกว่า 7 คือน้ำที่เป็นกรด สูงกว่า 7 คือน้ำที่เป็นด่าง มีงานวิจัยออกมาว่า เลือดเราอยู่ที่ประมาณ PH 7.3 เลือดเราจะสูบฉีดได้ดีมาก สร้างโกรทฮอร์โมน แต่ในชีวิตเราการออกกำลังกาย ดื่มกาแฟ เครียด นอนน้อยก็ขับกรดออกมาในร่างกาย ซึ่งถ้าในร่างกายเรามีกรดบาง ๆ ค้างอยู่ก็จะทำให้เกิดผื่น ภูมิแพ้ผิวหนัง โรคกรดไหลย้อน โรคกระเพาะ โรคเก๊า ถ้าเป็นกรดหนัก ๆ เลยก็คือมะเร็ง ต้องทำให้ร่างกายเป็นด่าง เพราะฉะนั้นคนที่มีเชื้อมะเร็ง คุณหมอก็อาจจะบอกว่าแนะนำให้ดื่มน้ำด่าง หรือให้ลดสิ่งที่จะเป็นกรดสะสม เช่น เนื้อแดง เลิกแอลกอฮอล์ นอนให้ถึง ไม่เครียด เรื่องผิวถ้าเกิดเราดื่มน้ำไม่ถึง แล้วเป็นน้ำเป็นกรด PH 4-5 ซึ่งน้ำในท้องตลาดมีน้ำที่ PH ต่ำกว่า 7 เยอะมาก ซึ่งไม่ได้ช่วยเรื่องผิว ถ้าเราดื่มน้ำค่า PH สูงกว่า 7 ที่เป็นธรรมชาติก็จะช่วยเรื่องผิว อาหารยากมากที่จะเป็นด่างส่วนใหญ่จะเป็นกรด ถ้าผ่านความร้อนแล้ว ผักสดที่ไม่ผ่านความร้อนก็จะมีค่าของความเป็นด่าง ปัญหาคือเราต้องกิน 1 หน่วยของกรดจะมาล้างให้มันสมดุล เราต้องใช้ด่าง 20 ยูนิต แปลว่าเราต้องกินผักสดเยอะมาก ๆ เพื่อให้ร่างกายเราสมดุลยากมาก เพราะฉะนั้นร่างกายคนส่วนใหญ่มีภาวะเป็นกรด จะมีตัวช่วยก็คือ ดื่มน้ำแร่ธรรมชาติที่มีค่าของความเป็นด่าง ที่สูง

น้ำแร่ธรรมชาติกับน้ำด่างต่างกันอย่างไร
เฟย์ อรชุมา : ถ้าค่า PH สูงกว่า 7 ก็เรียกว่า น้ำด่าง แต่ถ้าน้ำแร่ธรรมชาติที่มีค่าสูงกว่า 7 ก็คือน้ำด่างธรรมชาติ แต่สามารถมีน้ำด่างที่ไม่ธรรมชาติเกิดขึ้นได้ เขาเรียกว่า Manmade alkaline water ประดิษฐ์ให้เป็นน้ำด่าง ต้นทางคือน้ำประปาผ่านเข้าไปในเครื่องกรองที่เปลี่ยนโมเลกุลทำให้มีค่าของความเป็นด่าง ถ้าเราไม่ดื่มทันทีก็จะหายไปเวลาอันใกล้ชิดกับที่มันถูกพึ่งกรองออกมาค่า PH ก็จะค่อย ๆ ปรับ ดังนั้นน้ำดื่มที่ผ่านเครื่องกรองก็ดีกว่าที่จะไม่เป็นน้ำด่าง เพราะน้ำด่างมีประโยชน์กว่า แต่น้ำด่างธรรมชาติมีประโยชน์กว่า และโมเลกุลสามารถคงสภาพได้นานกว่า

อรอนงค์ ปัญญาวงศ์ : เป็นคนที่ดื่มน้ำเยอะอยู่แล้ว พกน้ำขวดใหญ่ไว้จิบตลอดเวลา รวมถึงการเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ด้วย สิ่งเหล่านี้น้องอรทำมาตั้งแต่เริ่มดูแลตัวเองอย่างจริงจัง พอถึงช่วงวัยหนึ่ง ร่างกายกลับมีโรคเกิดขึ้นมาโดยที่เราไม่รู้ตัว ตอนนั้นยังถ่ายละคร ทำงานหนักทุกวัน จนสะสมกลายเป็นความเครียดโดยไม่รู้ตัว และสุดท้ายมันก็ส่งผลต่อร่างกาย คือ ต่อมไทมัสโตผิดปกติ ตอนแรกไปหาหมอเพราะรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ทั่วท้อง คิดว่าเป็นอาการหลงเหลือจากโควิด เพราะเพิ่งหายจากโควิดมาไม่นาน คุณหมอส่งไป X-ray ปอด พบว่าภายในทรวงอกมีเงาสีเทา ๆ จึงให้ทำ CT Scan เพิ่มเติมเพื่อดูให้ชัด ปรากฏว่า ต่อมไทมัสซึ่งอยู่ตรงกลางอก ติดกับหัวใจและปอด มีขนาดใหญ่ขึ้นผิดปกติ

จริง ๆ แล้วต่อมนี้พอเราอายุมากขึ้น มันควรจะค่อย ๆ หดเล็กลง เพราะทำหน้าที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันและการเจริญเติบโตของร่างกาย แต่ของน้องอรกลับโตขึ้นถึง 4 เซนติเมตร และเริ่มไปเบียดหัวใจกับปอด ทำให้หายใจติดขัด คุณหมอบอกว่าเคสแบบนี้เกิดได้ยากมาก ประมาณ 1 ใน 100,000 คน ซึ่งน้องอรเป็นหนึ่งในนั้น สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดก็เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำงานหนัก และมีความเครียดสะสม ซึ่งบางทีเราไม่รู้เลยว่าความเครียดนั้นเริ่มสะสมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อรู้ว่าต่อมไทมัสโต ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการรักษา โดยคุณหมอแนะนำให้ผ่าตัด เพราะถ้ารักษาทันท่วงที โรคก็สามารถหายได้ ถึงจะมีผลข้างเคียงบ้างเล็กน้อย เช่น ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะลดลงหลังผ่าตัด เพราะต่อมนี้มีบทบาทในการสร้างภูมิคุ้มกัน แต่โดยรวมแล้วถือว่าปลอดภัยและจำเป็นต้องรักษาค่ะ แม้จะยังต้องถ่ายละครอยู่

แต่อรก็ต้องเตรียมร่างกายให้แข็งแรง เพื่อพร้อมสำหรับการผ่าตัด หนึ่งในวิธีที่สำคัญที่สุดคือการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ และเลือกดื่มน้ำที่ช่วยปรับสมดุลร่างกาย เพราะต่อมไทมัสที่ต้องผ่าตัดออกนั้น จะส่งผลต่อร่างกายพอสมควร ร่างกายจึงต้องดึงพลังงานมาซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และ "น้ำ" เป็นสิ่งสำคัญมากในการช่วยกระบวนการฟื้นฟู เริ่มจากเดินเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วไปเลือกซื้อน้ำหลากหลายชนิดมาลองดื่ม จากเดิมที่เคยดื่มแต่น้ำเปล่า หรือน้ำแร่ธรรมดา ก็เริ่มลองน้ำด่าง น้ำแร่ธรรมชาติ เพราะได้ยินว่าช่วยปรับสมดุลกรด-ด่างในร่างกาย

คุณหมอบอกว่า หลังผ่าตัดร่างกายจะมีอาการอักเสบ ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีภาวะเป็นกรด หากเรากินอาหารหรือดื่มน้ำที่เป็นกรดร่วมด้วย ก็จะยิ่งทำให้การฟื้นตัวช้าลง จึงแนะนำให้น้องอรหันมาดื่มน้ำที่มีความเป็นด่าง เพราะจะช่วยลดความเป็นกรด ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และช่วยให้ระบบภายในกลับมาสมดุลได้ไวขึ้น ช่วงนั้นดื่มน้ำหลายชนิดมาก จนวันหนึ่งไปเห็นน้องอั๋นโพสต์ใน Facebook เรื่องน้ำด่างธรรมชาติยี่ห้อหนึ่ง เลยไปซื้อมาลองดู ปรากฏว่ารสชาติดี อร่อย ดื่มง่าย ตั้งแต่นั้นมาก็ดื่มต่อเนื่องมาตลอด จนถึงวันผ่าตัด หลังผ่าตัดเพียง 4 วัน น้องอรก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้ คุณหมอบอกว่าร่างกายฟื้นตัวได้เร็วมาก ผ่านไปสองสัปดาห์จึงนำก้อนเนื้อจากต่อมไทมัสไปตรวจ

และผลออกมาว่าเป็นเนื้อร้าย ซึ่งหมายความว่าเป็นมะเร็งในระยะที่ 2 แล้ว เพราะก้อนเนื้อนั้นเริ่มเบียดอวัยวะภายในอย่างหัวใจและปอด ตอนผ่าตัดใช้วิธีเลเซอร์ ทำให้กระทบกับปอดบางส่วน ส่งผลให้การทำงานของปอดลดลง ร่างกายจึงต้องพักฟื้นและได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องอาหารและน้ำดื่ม คุณหมอแนะนำให้หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารรสจัด ของดิบ และเน้นอาหารที่มีความเป็นด่าง เช่น ผัก ผลไม้ เนื้อปลา และอาหารทะเลบางชนิดพอเริ่มฉายรังสี ร่างกายก็ยังฟื้นตัวดี และยังคงดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง ดื่มน้ำวันละ 4–5 ลิตร โดยเน้นการจิบไปเรื่อย ๆ ตลอดทั้งวัน สังเกตได้เลยว่าเวลาถ่ายปัสสาวะ รู้สึกว่าร่างกายขับความร้อนออกมาได้ดีขึ้น ซึ่งเชื่อว่าน้ำด่างที่ดื่มนั้นมีส่วนช่วยขับกรดจาก ร่างกาย

เฟย์ อรชุมา : สำหรับใครที่ไม่ชอบดื่มน้ำหรือดื่มได้น้อย แนะนำว่าให้เริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมก่อน โดยลองทำตามแนวคิดจากนักจิตวิทยาที่บอกว่า “ถ้าทำอะไรติดต่อกัน 21 วัน จะเริ่มเกิดความเคยชิน” อาจเริ่มจากหลังตื่นนอน กระดกน้ำ 1 แก้วเลย ยังไม่ต้องแปรงฟัน แล้วตั้งเป้าดื่มน้ำให้ได้ 2 ขวดในแต่ละวัน ลองทำแบบนี้ติดต่อกัน 3 สัปดาห์ แค่จิบไปเรื่อย ๆ ระหว่างวัน จะเริ่มคุ้นชิน เอง

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.

คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=Rb_10HFU6-Y
ส่งกำลังใจ “จอย ทีสเกิ๊ต” อดีตเกิร์ลกรุ๊ปดัง เผยป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 4
ทำเอาแฟนๆ เพลงร่วมส่งกำลังใจให้อดีตนักร้องสาวชื่อดังยุค 90 “จอย ทีสเกิ๊ต” หรือ “จอย ธัญพร สนธิขันธ์” หลังเจ้าตัวได้ออกมาแจ้งข่าวผ่านทางเฟซบุ๊กเอาไว้ว่า

“ช่วงที่ผ่านมากำลังสู้กับมะเร็งระยะที่ แต่ก่อนหน้านี้เลือกที่จะไม่พูดถึง ไม่ใช่เพราะอาย หรือกลัว แต่เพราะยังไม่พร้อมจะอธิบาย เพราะต้องใช้พลังใจทั้งหมด เพื่อสู้กับการรักษาให้ดีที่สุด มีเพียงแค่ครอบครัว เพื่อนสนิท กัลยาณมิตร และ คนที่จำเป็นต้องทำงานด้วยเท่านั้นที่รู้

จอย ยังเผยอีกว่า เราเก็บมันไว้เงียบ ๆ เพราะแค่หายใจให้ไหวในแต่ละวัน ก็ใช้พลังมากพอแล้วตลอดเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำงานเต็มตัวเลย ยังมีงานเล็กๆ น้อยๆ ที่รับผิดชอบอยู่บ้าง โดยเฉพาะงานสอนที่เรารัก ต้องขอบคุณเพื่อนที่ให้โอกาส แต่ในส่วนของงานเบื้องหน้า เราจำเป็นต้องคืนซีรีส์ไปถึง 4 เรื่อง และนั่นคือช่วงที่เราต้องทำใจอย่างหนักที่สุดทีมงานน่ารักกับเรามากยังให้โอกาสเล่น แต่ด้วยคิวของการรักษาและสุขภาพ ดูแล้วต้องขอถอนตัว

วันนี้…ขออนุญาตเล่า เพราะร่างกายตอบสนองกับการรักษาได้ดีมาก คุณหมอบอกว่า “ผลลัพธ์ดีกว่าที่คาดไว้” เราเลยรู้สึกว่า ถึงเวลาที่จะบอกทุกคนว่า เราเคยอยู่ในจุดที่มืดที่สุด แต่วันนี้เห็นแสงแล้วค่ะ ขอบคุณร่างกาย ขอบคุณกำลังใจจาก ครอบครัว ขอบคุณเพื่อนพี่น้องทุกวงการที่ส่งข้อความ ส่งกำลังใจ มาทุกช่องทางขอบคุณตัวเองที่ไม่ยอมแพ้ ขอบคุณกัลยาณมิตรที่คอยส่งพลังดีๆ คอยฮีลใจให้ตลอดทาง และขอบคุณทุกคนที่เคยอยู่ใกล้เรา…และไม่รู้ว่าเรากำลังผ่านอะไร ขออภัยที่ไม่พร้อมบอก ชีวิตยังไม่แน่นอน แต่เรามั่นใจว่า ใจที่สู้ มีพลังจริงๆ สำหรับใครที่กำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนแบบเดียวกันนี้ อยากให้รู้ว่า “เราเข้าใจ” และ “เราจะผ่านมันไปด้วยกัน ได้”

จากนี้เราจะค่อยๆ เล่าให้ฟังทีละนิด ในวันที่ใจพร้อม และร่างกายพอมีแรง เพราะเรื่องราวที่ผ่านมา…มันทั้งเปลี่ยนเรา และสอนเราว่าชีวิตมีค่าขนาดไหน ด้วยความหวัง และพลังที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
“นิค วิเชียร” สรุปเหตุการณ์ “เป๊ก ผลิตโชค”11ข้อ เชื่อเมาไม่รู้เรื่อง เลยทำอะไรแปลก ๆ วอนคนล้มอย่าข้าม
หลายคนยังคงให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องกรณีที่นักร้องหนุ่ม เป๊ก ผลิตโชค อายนบุตร ถูกคนทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธมีดจนได้รับบาดเจ็บ มีแผลบริเวณใต้คางและหัวไหล่ซ้าย แต่หลังจากนั้นเมื่อเปิดกล้องวงจรปิดในช่วงเกิดเหตุก็พบว่าที่จริงแล้วนักร้องหนุ่มเกาะกระจกหน้ารถกระบะคันหนึ่ง และพอรถกระบะคันดังกล่าวขับเข้าปั๊มน้ำมัน และมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เข้ามาช่วย แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเป๊กกลับมีปัญหากับชายหนุ่มแทน ก่อนถูกนำตัวส่ง รพ.

ล่าสุด 5 ส.ค.68 “วิเชียร ฤกษ์ไพศาล” หรือ “นิค” อดีตรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานมิวสิค โปรดักชั่น และโปรโมชั่น บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง genie records ได้ออกมาโพสต์ถึงเรื่องราวของ เป๊ก ผลิตโชค พร้อมสรุปให้ชาวเน็ตได้อ่านผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวโดยระบุข้อความว่า มีหลายท่านเห็นคลิปแต่ไม่ได้ตามข่าว ผมเลยขอสรุปเรียงลำดับเหตุการณ์คร่าวๆ กรณีของ “เป๊ก ณ ปั๊ม” ดังนี้ครับ

1.เริ่มต้นที่เป๊กสังสรรค์กับเพื่อน น่าจะเลี้ยงวันเกิดเป๊กล่วงหน้า ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งถึงเที่ยงคืน จากข่าวมีทั้งไวน์ ทั้งโซจูและเพื่อนยังสั่งเบียร์มาอีก 6 ขวด เป๊กดื่มเท่าไหร่ แต่คงหลายขนาน เพราะจากเหตุการณ์ต่อมารู้ชัดว่า…น้องเมามาก!

2.น้องเป๊กเมาขาดชนิดที่สามารถทำอะไรแปลกๆ ได้ในสภาพที่ตรงกันข้ามกับนิสัยส่วนตัวเวลาปกติ เรียกว่าถ้าได้สติคงตกใจมาก ก็จากคลิปมีทั้งนั่งหลับข้างทาง ทั้งเดินดุ่มๆ แถมไปยืนขวางถนน ปีนป่ายขึ้นไปบนรถ Taxi สุดท้ายขึ้นไปฟุบเหมือนจะอยากหลับบนกระโปรงรถกระบะ

3.รถกระบะคงตกใจ จึงขับรถอย่างระวังแล้วรีบเลี้ยวเข้าปั๊ม และเรียกให้เป๊กลงจากฝากระโปรงรถอย่างงงๆ กับเหตุการณ์ แน่นอนว่าทั้งกลัวทั้งไม่พอใจ แต่ไม่ขอ selfie

4.แม้จะยังเมาไม่รู้เรื่อง แต่ด้วยสัญชาตญาณแบบอัตโนมัติ (เหมือนคนเมาที่กลับบ้านได้แต่จำอะไรไม่ได้) แวบหนึ่ง… จึงกราบและกอดขอโทษโชเฟอร์รถกระบะด้วยความรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำไป

5.เรื่องน่าเคลียร์กันได้ หรืออาจจะจบลงแค่นั้น ถ้าหากคนขับรถของเป๊กตามมาทันและพาเป๊กขึ้นรถกลับบ้านไป แต่บังเอิญมีไรเดอร์ผู้เห็นเหตุการณ์ในปั๊ม ปรี่เข้ามาเกี่ยวข้องในฐานะพลเมือง ดี

6.หนุ่มไรเดอร์ผู้ที่อ้างว่าเจอขี้เมาอาละวาดเป็นประจำในยามค่ำคืน (เป็นเหตุผลที่ต้องพกมีดไว้เผื่อป้องกันตัว) ครั้งนี้ก็คงเข้าใจว่านี่ก็คือขี้เมาอีกคนที่กำลังป่วนประสาทและอาจจะทำร้ายคนขับรถกระบะ จึงพุ่งเข้าไปพูดจาและคงน่าจะต่อว่าอะไรแรงๆ เพราะดูจากแฟนตัวเองก็พยายามยื้อยุดไว้ และตัวเป๊กก็ปรี๊ดมีปฏิกิริยาทันที

7.เป๊กที่ยังเมามายแม้ไม่มีสติแบบคนปรกติ แต่จิตใต้สำนึกและสัญชาตญาณคงฟังออกว่าไรเดอร์…พูดจาไม่เข้าหู จึงพุ่งเข้าชนวิ่งเข้าใส่ เป๊กเหวี่ยงหมัดกวัดแกว่งแขนแบบสะเปะสะปะไม่เป็นมวย โดนบ้างไม่โดนบ้าง

8.ไรเดอร์หลบหลีกแบบไม่ทันตั้งตัว แถมไม่รู้ด้วยว่าหมอนี่คือเป๊ก หรืออาจจะคุ้นๆ แต่ก็ตกใจและไม่พอใจซะก่อนที่โดนต่อย จึงตอบโต้และรีบงัดมีดพกออกมาฟาดฟันป้องกันตัวไว้ก่อน บังเอิญมีดปาดไปโดนคางเป๊ก สุดท้ายน้องล้มนอนฟุบแน่นิ่งกลางปั๊ม ไรเดอร์ที่กำลังโกรธเลยกระทืบซ้ำกระหน่ำ Teen ใส่เป๊กอย่างสะใจไปหลายที ณ เวลานั้นเราได้คนขาดสติอีกคนโดยไม่ต้องเมา

9.จากทีแรกจะเป็นพลเมืองดีคิดเข้าช่วยโชเฟอร์รถกระบะ กลับกลายเป็นคู่กรณีผู้ก่อเหตุไปซะงั้น ต้องข้อหาทำร้ายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บและพกพาอาวุธในที่สาธารณะ…(ไรเดอร์ให้สัมภาษณ์ภายหลัง…รู้สึกผิดที่ทำเกินกว่าเหตุ พร้อมกราบขอโทษเป๊กออกสื่อ)

10.เป๊กที่บาดเจ็บแน่นิ่งไปสักพัก โดยไม่มีใครไปดูดาย ด้วยความยังเมามายแต่ยังมีแรงทำให้ไม่รู้ตัวว่าเป็นผู้บาดเจ็บ อยู่ๆ เฮียก็ลุกขึ้นมาวิ่งไล่ผู้ชายอีกคนอย่างงงๆ คนในปั๊มก็งงๆ ไรเดอร์คู่กรณียิ่งงงใหญ่ เพราะน้องเป๊กวิ่งผ่านหน้าไปอย่างไม่สนใจและน่าจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเพิ่งปะทะกัน (ใครเคยเมาหรือเห็นคนเมาคงเข้าใจว่าอาการ)

11.หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็น่าจะคลี่คลาย เฮียน่าจะเริ่มสร่างเริ่มรู้สึกตัว เพราะข่าวว่าร้องขอความช่วยเหลือจากอาการบาดเจ็บจบลงที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่มา และพากันไปโรงพยาบาล เรื่องนี้คงยังไม่จบ อนาคตของเป๊กก็คงจะยังไม่จบ เชื่อว่านุชส่วนหนึ่งคงให้อภัย คอนเสิร์ตอาจจะจบไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยว่ากันใหม่ ส่วนบทความนี้ก็คงยังไม่จบ ด้วยรักและเป็นห่วงน้อง จึงคิดว่าต้องเขียนเพิ่มเติม มีความในใจบางอย่างอยากจะบอกกล่าวในฐานะที่เคยเกี่ยวข้อง ขอเวลาตั้งสตินิดหนึ่ง

หมายเหตุ : คนล้มอย่าข้าม เชื่อว่าเป๊กก็คงเสียใจไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้น หากมีความเห็นกรุณาเมนต์อย่างสุภาพ ดราม่าเยอะแล้ว
“ขวัญภิรมย์ หลิน”อดีตดาราเซ็กซี่ยุค 90 เข้าร้อง บก.ปคบ. หลังจ้างบริษัทการตลาดออนไลน์ ทำการตลาดสินค้าอาหารเสริม จนสูญเงินนับล้านบาท
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ส.ค.68 ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน เขต จตุจักร กทม. อี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม พา“ขวัญภิรมย์ หลิน”อดีตดาราเซ็กซี่ชื่อดังยุค 90 เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอศ.แจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทการตลาดออนไลน์แห่งหนึ่ง หลังได้รับความเสียหายและสูญเสียเงินกว่าหนึ่งล้านบาท จากการว่าจ้างแต่กลับถูกทิ้งงาน

ขวัญภิรมย์ หลิน กับภาพจำในฐานะดาราเซ็กซี่ ด้วยวัย 58 ปี เจ้าของผลงานการแสดงในยุค 90 ด้วยภาพยนตร์ไทย 2 เรื่อง กับละครโทรทัศน์หลายช่อง เปิดใจว่า ปัจจุบันไม่ได้รับงานแสดงอะไร มีเงินทุนอยู่จำนวนหนึ่งเอามาลงทุนผลิตอาหารเสริม แบรนด์ของตัวเอง (ปัจจุบันเลิกผลิตไปแล้ว) ช่วงนั้นตนได้เห็นรายการทีวีช่องหนึ่ง เชิญแขกรับเชิญเป็นเจ้าของบริษัทชื่อย่อขึ้นต้นด้วยอักษรตัว ”V" ผลิตสื่อออนไลน์มาออก คุยถึงความสำเร็จในการทำธุรกิจของเขา บอกว่าเขาสร้างตัวด้วยเงินจำนวนจากล้านบาทจนประสบความสำเร็จมีบ้านช่องใหญ่โต มีรถยนต์หรูขับ เรามีเงินล้านบาทอยู่ เชื่อว่าเขาจะทำยอดการตลาดให้เราได้ ดูแล้วสร้างความน่าเชื่อถือมาก จึงตัดสินใจติดต่อให้ช่วยทำการตลาดสินค้าของตน แต่พอทำสัญญาจ้างจ่ายเงินไปแล้ว 1,000,000 กว่าบาท ทางบริษัทนี้เค้ารับปากว่าจะทำงานให้เราประมาณ 20 อย่าง 20 ข้อแต่ทำจริงๆกลับมาได้แค่เพียงเพจเฟซบุ๊ก กับไลน์แอด มาเท่านั้น กับเขียนคอนเท้นต์ลงเพจ 3-4 อย่างเท่านั้นเอง ที่เหลือตามสัญญาว่าจะทำให้ก็ไม่ทำให้หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างหยุดการติดต่อไป

คิดว่าเงินที่จ่ายไปให้กับบริษัทเขาจำนวน 1,000,000 กว่าบาททำงานให้เราไม่คุ้มค่า ตนจึงอยากจะออกมาเป็นกระบอกเสียงให้กับ ลูกค้า ผู้บริโภคคนอื่นๆ ที่เหมือนตนถูกกระทำจากบริษัทนี้ ใครโดนเหมือนตนสามารถที่จะมาแจ้งความที่กรมบังคับการปราบปรามคุ้มครองผู้บริโภค ตัวเองหรือติดต่อกับอี้แทนคุณก็ได้ จะได้ช่วยกันออกมาเรียกร้องให้ความเป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างพวกเรา กว่าเราจะหาเงินมาได้ยากเย็นแสนเข็ญแต่เมื่อถึงเวลาที่เขามาเอาจากเราไปมันง่ายแสนง่าย ที่โดนกระทำทุกคนตั้งใจที่จะทำมาหากินกันทั้งนั้น มาเจอกับบริษัทแบบนี้ตนคิดว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างเรามากเกินไป กับเงินที่เราต้องจ่ายลงไป สามารถที่จะมาเอาผิดได้กับบริษัทที่มีชื่อย่อขึ้นต้นด้วย ตัว V ตั้งอยู่ย่านใจกลางเมือง สี่แยกพระพรหม แยกราชประสงค์

อี้แทนคุณ กล่าวว่า “ขวัญภิรมย์ หลิน”ได้ว่าจ้างบริษัทดังกล่าวเพื่อทำการตลาดออนไลน์สำหรับสินค้าของเธอเอง โดยหลงเชื่อเพราะบริษัทมีการสร้างความน่าเชื่อถือจากการไปออกรายการดังๆ หลายรายการ รวมถึงรายการของคุณวู้ดดี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ชำระเงินรวมกว่าหนึ่งล้านบาท ปรากฎว่า บริษัทกลับปฏิบัติผิดสัญญา โดยดำเนินการเพียงบางส่วน เช่น การจัดทำเพจเฟซบุ๊กและ ไลน์แอด ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปก็สามารถทำได้ และยังอ้างว่ามีค่าที่ปรึกษาถึง 450,000 บาท ซึ่งสูงเกินจริงอย่างมาก

ซึ่งเธอเข้าไปพูดคุยที่บริษัทแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับการรับผิดชอบใดๆ บริษัทดังกล่าวอ้างว่ามีค่าปรึกษาครั้งละ 50,000 บาท หรือชั่วโมงละ 1,000 บาท ทำให้คุณขวัญภิรมณ์เชื่อว่ามีผู้เสียหายรายอื่นที่หลงเชื่อการโฆษณาชวนเชื่อของบริษัทนี้อีกเป็นจำนวนมาก จึงตัดสินใจเข้าร้องเรียนกับชมรมสันติประชาธรรมเพื่อขอความช่วยเหลือและทวงคืนความเป็นธรรมให้กับตนเองและผู้เสียหายรายอื่นๆ ที่อาจได้รับผลกระทบ

การกระทำของบริษัทดังกล่าวเข้าข่ายความผิดปกติหลายอย่าง และไม่มีความเป็นมืออาชีพใดๆ จึงอยากขอให้สื่อมวลชนช่วยกระจายข่าวนี้ เพื่อเป็นข้อมูลเตือนภัยให้กับประชาชนที่กำลังมองหาบริษัททำการตลาดออนไลน์ และเพื่อให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากบริษัทเดียวกันได้ทราบข่าวและเข้ามาแจ้งความเพิ่มเติมในครั้งนี้

เบื้องต้นพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. และตรวจสอบรายละเอียดต่างๆที่ผู้เสียหายนำมามอบให้พยานหลักฐานหรือจะเอาผิดกับบริษัทดังกล่าวต่อไป
“วิน SQWEEZ ANIMAL” จูงมือแฟนสาวนอกวงการ “พิมพ์พัณ” เข้าพิธีวิวาห์สุดอบอุ่น เพื่อนในวงการร่วมยินดีเพียบ!
สมกับเป็นงานแต่งที่รวมไว้มากมาย ทั้งศิลปิน ดารา สำหรับงานแต่งของ วิน ศิริวงศ์ หรือ วิน สควีซ แอนิมอล กับเจ้าสาว พิมพ์พัณ ศิริวงศ์ แฟนสาวนอกวงการ ที่จัดขึ้นเมื่อวานนี้ (2 ส.ค.2568) ณ โรงแรม สยามเคมปินสกี้ ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก โดยมีทั้งครอบครัว ญาติสนิท ดารา และศิลปิน เข้าร่วมแสดงความยินดีอย่างอบอุ่น โดยจัดพิธีตามประเพณีในช่วงเช้า และบ่ายเลี้ยงฉลอง มงคลสมรส

งานนี้เหล่าคนบันเทิงทั้งสายเพลง สายงานแสดง และอื่น ๆ ตบเท้าร่วมยินดีกับบ่าวสาวคึกคัก ไม่ว่าจะเป็น นุ่น วรนุช ภิรมย์ภักดี ,โดนัท มนัสนันท์ พันเลิศวงศ์สกุล และ ตาม จำนงค์อาษา , คริส หอวัง , เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ, กบ พิมลรัตน์ พิศลยบุตร , ภูริ ภูริ หิรัญพฤกษ์, อะตอม ชนกันต์ รัตนอุดม , ป๊อด ธนชัย อุชชิน , ฟุ้ง อัครชนช์ ราชปันดิ, เมื่อย SCRUBB หรือ ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ , เจนสุดา ปานโต ,เป้ MVL หรือ บดินทร์ เจริญราษฎร์ พร้อม ภรรยา , ตุ้ย ธีรภัทร์ สัจจกุล , ปาล์ม ปรียวิศว์ นิลจุลกะ , บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ร่วมถึงศิลปินร่วมค่ายอย่าง วง THE GHOST CAT , SHERRY ,PURPLECAT, KACHAIN ,NAP A LEAN

ซึ่งทันทีที่พิธีได้เริ่มขึ้นเจ้าบ่าวควงเจ้าสาวเข้ามาในงานท่ามกลางสายตาของทุกคนที่มาร่วมงานต่างพากันจับจ้องตะลึงในความสวยสง่าของคู่บ่าวสาวอย่างอิ่มเอมใจ จากนั้นเข้าสู่ช่วงพิธีบนเวทีจนไปถึงช่วงเวลาพิเศษในฐานะที่เจ้าบ่าวเป็นนักร้องความพิเศษของงานในวันนี้ทุกคนจะได้ยินเพลงที่แต่งขึ้นมาและเล่นให้ฟังในงานวันนี้เป็นครั้งแรกกับเพลง “แสงสว่าง” ที่ขอมอบให้กับเจ้าสาว ที่เธอเป็นเหมือนแสงสว่างที่เข้าในในชีวิตเลยทำให้บรรยากาศภายในงานอบอวนไปด้วยความโรแมนติกของคู่บ่าวสาวจนหลานคนปลื้มปริ่มและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นงานที่น่ารัก อบอุ่น อย่างสุด ๆ
ต้นสังกัดเผยอาการ "เป๊ก ผลิตโชค" หลังถูกหนุ่มใช้มีดฟันคางบาดเจ็บ
จากกรณี วันที่ 3 ส.ค. 2568 "เป๊ก ผลิตโชค" หรือ "นายผลิตโชค อายนบุตร" ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดทำร้ายได้รับบาดเจ็บคาปั๊มน้ำมันในซอยรามคำแหง 76 โดยผู้ก่อเหตุเป็นชายวัย 21 ปี ถูกตำรวจ สน.หัวหมาก รวบทันควัน ต่อมาผู้ก่อเหตุให้การว่า ได้ใช้มีดทำร้ายเป๊ก ผลิตโชคจริง อ้างทำไปเพื่อป้องกันตัว

ขณะที่ด้าน White Music ต้นสังกัดของ เป๊ก ผลิตโชค ได้โพสต์อัปเดตอาการบาดเจ็บของเป๊ก โดยระบุว่าอัปเดต อาการของ เป๊ก ผลิตโชค ทางบริษัทได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ขณะนี้ เป๊ก ปลอดภัยดี โดยแพทย์ได้ทําการเปิดแผล ทําความสะอาด และเย็บแผลกลับ

เบื้องต้น แพทย์แจ้งว่าบาดแผลเรียบร้อยดี ไม่กระทบกระเทือนเส้นประสาทที่มาเลี้ยงบริเวณปาก และใบหน้า แต่อาจจะมีอาการปวดและระบมบริเวณบาดแผล ซึ่งทางแพทย์มีการดูแลให้ยาฆ่าเชื้อ และเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดขอขอบคุณทุกความห่วงใย บริษัทจะแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะ วันที่ 3 สิงหาคม 2568

#เป๊กผลิตโชค #สยามดารา
เปิดคำให้การ มือมีด ฟัน เป๊ก ผลิตโชค ให้การอ้างป้องกันตัว พบของกลาง อาวุธมีด ขนาด 20 ซ.ม. 1 เล่ม
หลังจากเมื่อเวลา 01.30 น.วันที่ 3 ส.ค. ร.ต.อ.ชัยนรินทร์ กวีพราหมณ์ รองสารวัตร(สอบสวน)สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุมีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกมีดฟัน ภายในปั๊มน้ำมันบางจาก ซอยรามคำแหง 76 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จึงรุดไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.ท.สวภณ คะอังกุ สวป.สน.หัวหมาก กำลังสายตรวจ และอาสาสมัครมูลนิธิสยามร่วมใจปู่อินทร์

ที่เกิดเหตุอยู่ภายในปั๊มน้ำมันบางจาก ซอยรามคำแหง 76 พบผู้ได้รับบาดเจ็บ ทราบชื่อนายผลิตโชค อายนบุตร หรือเป๊ก อายุ 40 ปี ดารานักร้องชื่อดัง มีบาดแผลฉกรรจ์ถูกอาวุธมีดฟันเข้าที่บริเวณใต้คาง 1 แผล เจ้าหน้าที่จึงเร่งทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนเร่งนำตัวส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลสมิติเวช

ส่วนผู้ก่อเหตุยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ ทราบชื่อต่อมา คือ นายชุติเทพ ขุนสูงเนิน อายุ 21 ปี พร้อมของกลางอาวุธมีดพร้าสั้น ยาว 20 ซม. 1 เล่ม ก่อนถูกควบคุมตัวไปสอบปากคำที่สน.หัวหมาก

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุนายชุติเทพ ผู้ก่อเหตุได้ขับรถไปรับแฟนจากที่ทำงานมาเพื่อจะกลับบ้าน เมื่อมาถึงปั๊มน้ำมันจุดเกิดเหตุ พบมีคนกำลังทะเลาะกัน ลักษณะคล้ายมีอาการมึนเมา อยู่บริเวณท้ายรถกระบะ นายชุติเทพ จึงได้เข้าไปช่วยเคลียร์ จู่ ๆ นายเป๊ก ผลิตโชค ได้ปรี่เข้ามาหานายชุติเทพ จึงนำมีดที่พกไว้ป้องกันตัว ตวัดออกไปถูกปลายคางนายเป๊ก จนได้รับบาดเจ็บ ก่อนที่แฟนสาวของผู้ก่อเหตุโทรแจ้งตำรวจมาระงับเหตุ

ด้าน พ.ต.อ.นเรทร์ เครื่องสนุก ผกก.สน.หัวหมาก กล่าวว่า เบื้องต้นอยู่ระหว่างรอสอบปากคำทั้งสองฝ่ายเพิ่มเติม ซึ่งหลังเกิดเหตุเมื่อคืนที่ผ่านมานายเป๊ก ผลิตโชค ยังไม่ขอให้การใด ๆ กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งรักษาตัวอยู่ที่ รพ. และต้องสอบปากคำนายชุติเทพ เพิ่มเติม ซึ่งนายชุติเทพ ถูกแจ้งข้อหา พกพาอาวุธมีดโดยไม่รับอนุญาต และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ ดำเนินคดีต่อไปส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเป็นการเข้าใจผิดกัน
#เป๊กผลิต #เป๊กผลิตโชค
หมอไอซ์ เผยสาเหตุหน้าแก่ก่อนวัยเพราะสิ่งนี้! แนะทำ 3 สิ่ง ผิวดีชะลอความแก่ได้
Tuck Talk สัปดานี้พามาไขข้อสงสัย ถ้าไม่อยากผิวแก่ก่อนวัยเพราะพฤติกรรมที่ทำทุกวันต้องทำอย่างไร? พบกับ หมอไอซ์ - พญ.ชนิกานต์ เทพรส ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์ชะลอวัย เจ้าของช่อง TikTok Dr.Ice Beauty แชร์เคล็ดลับหยุดความแก่ ทำตามได้ง่าย ๆ และได้ผลจริง เผยครบทุกมิติ ตั้งแต่โครงสร้างผิว การผลัดเซลล์ ฮอร์โมน อาหาร รวมถึงวิธีเลือกกันแดดและสกินแคร์ให้ตรงจุด พร้อม 3 เคล็ดลับที่ใครก็ทำตามได้เพื่อผิวที่ดีชะลอความแก่

ผิวของคนเราประกอบด้วยอะไรบ้าง ผิวดีหรือไม่ดี การผลัดเซลล์ผิวสำคัญยังไง
หมอไอซ์ : ผิวของเราประกอบด้วย 3 ชั้น ด้านนอกคือ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นกลางคือชั้นหนังแท้ ด้านในคือไขมันใต้ผิว การผลัดเซลล์ผิวสำคัญเป็นตัวบ่งบอกว่าผิวของเราจะดีหรือไม่ดี เนื่องจากการผลัดเซลล์ผิวจะอยู่ในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งปกติวงจรในการผลัดเซลล์ผิวจะอยู่ที่ 28 วันโดยประมาณ พอเซลล์ผิวด้านนอกเขาถึงอายุ ก็จะตายไปแล้วก็จะมีการผลัดออกเซลล์ผิวใหม่จากด้านล่าง มีการสร้างทดแทนกันขึ้นมา พอวงจรมันเป็นแบบนี้จะเป็นการจัดการปัญหาผิวให้กับเรา ยกตัวอย่างถ้าเกิดว่าช่วงที่วัยรุ่นหรือว่าตอนเด็ก ๆ บางทีเรามีสิวจนทิ้งรอยหรือไปตากแดดมาสีผิวดำคล้ำ เท่ากับว่าเซลล์ผิวจะมีเม็ดสีอยู่พอถึงเวลาครบรอบประมาณ 28 วันพวกรอยสิวพวกความหม่องคล้ำก็จะหลุดออกไป เพราะว่ามันเกิดการผลัดเซลล์ผิวขึ้นมา ปัญหาเกิดจากเมื่อเราอายุมากขึ้น วงจรการผลัดเซลล์ผิวจาก 28 วัน บางคนถึง 40 วันได้เลย เซลล์ผิวที่มีปัญหามันก็เลยกองอยู่บนผิวของเรา เซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ถูกผลัดออกก็จะเกิดเป็นความหมองคล้ำไม่กระจ่างใส เซลล์ผิวที่มีเม็ดสีพวกฝ้ากระก็จะโชว์อยู่บนผิวของเราพวกรอยสิว เป็นสิวอยู่ก็จะทิ้งรอยนาน

บางคนที่ไปถู ขัด สครับ เพื่อให้เร่งการผลัดผิวได้เร็ว อันนี้ช่วยได้ไหม
หมอไอซ์ : ถ้าเกิดว่าเราทำอย่างถูกต้องแล้วก็ถูกวิธีจะช่วยทำให้พวกรอยดำ หรือว่าความหมองคล้ำออกไปได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าเกิดว่าทำผิดวิธีถือเป็นการกระตุ้นผิวทำให้เกิดการระคายเคืองไปรบกวนปราการผิวหรือว่าสิ่งที่เป็นตัวปกป้องผิวของเราแพ้ง่ายและระคายเคืองง่าย กลายเป็นให้ผิวพังกว่าเดิมถ้าเกิดทำผิด วิธี

สิ่งที่จะทำร้ายผิวของให้ดูแก่กว่าวัยมีอะไรบ้าง
หมอไอซ์ : ปัจจัยที่ทำให้ผิวของเราแก่มีเยอะมากๆ คือการใช้ชีวิตของเราทุกวันนี้ สิ่งแวดล้อมสามารถทำให้ผิวของเราแก่ลงได้ทั้งนั้น ยกตัวอย่าง ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในคือพอเราอายุมากขึ้นร่างกายของเราถูกโปรแกรมมาให้พอแก่ขึ้นแล้วทุกอย่างจะเสื่อมลง พออายุมากขึ้นเซลล์ผิวจากที่เคยผลัดได้ดีจากที่เคยสร้างคอลลาเจนได้ดีก็จะเสื่อมลง ฮอร์โมนดรอปลง ทำให้ปราการผิวของเราไม่แข็งแรงเหมือนเดิม ผิวแห้งกล้าน ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงก็กระตุ้นฝ้า งานวิจัยบอกว่าเมื่อายุ 25 ผิวของเราจะสร้างคอลลาเจนได้ลดลงและจะลดลงเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ผู้หญิงอาจจะเกิดขึ้นเร็วกว่า เพราะผู้หญิงเข้าสู่วัยทองเร็วกว่า และยังมีเรื่องกรรมพันธุ์ เป็นคนเอเชียผิวเข้มเป็นฝ้าได้ง่าย ความเครียดจะมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียดตัวคอร์ติซอลจะทำลายคอลลาเจนได้โดยตรง ทำให้ผิวมันขึ้นเป็นสิวขึ้นมา บางคนบอกว่าไม่ใช่วัยรุ่นแล้วนะทำไมสิวยังมีอาจจะเกิดจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงได้ ส่วนปัจจัยภายนอกแทบจะทุกอย่าง

ถ้าเกิดว่าเรานอนเต็ม 8 โมงผิวเราจะดี อาหารการกิน เรารู้ว่าน้ำตาลคือยาพิษสำหรับผิว เราก็จะคุม ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวยที่เรากิน ขนมปังขาว น้ำหวาน ขนมหวาน พอน้ำตาลที่เขาเรียก High Glycemic Index กระตุ้นอินซูลินได้สูงจะก่อให้เกิดการอักเสบ จะเข้าไปทำร้ายคอลลาเจนในผิวของเราโดยตรง ทำให้ผิวของเรามันขึ้นสิวขึ้นง่ายขึ้น ถ้าเกิดว่าใครที่อยากจะมีผิวที่อ่อนกว่าวัย การจัดการน้ำตาลเป็นเรื่องที่ต้องทำ นอกจากนี้อาหาร Process food จะเข้าไปกระตุ้นทำให้ร่างกายเกิดความเครียดก็จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลไปทำให้ผิวมันแล้วก็ทำลายคอลลาเจนได้ เพราะฉะนั้นแค่ปรับอาหารการกินได้ผิวก็จะดีขึ้นได้ด้วย ปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ รังสี UV ในแสงแดดจะทำร้ายผิวของเราโดยตรง ทั้งผิวชั้นตื้นแล้วก็ผิวชั้นลึก UVA จะทำร้ายผิวชั้นลึกมีผลในการที่เซลล์ที่สร้างคอลลาเจนจะสร้างได้ไม่ดีทำให้เกิดเป็นความหย่อนคล้อยผิวเหี่ยวผิวแก่ เกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา UVB จะทำร้ายที่ผิวชั้นบนผิวชั้นตื้นทำให้เกิดความหม่องคล้ำ เม็ดสีฝ้ากระ

ถ้าทาครีมกันแดดจะช่วยได้ขนาดไหน
หมอไอซ์ : ครีมกันแดดคือจำเป็นต้องทามาก ๆ ถ้าอยากผิวดี ผิวสวย เราควรเลือกที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30+ ขึ้นไป และ PA อย่างน้อย 3+ ขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าใครต้องเล่นกีฬากลางแจ้ง หรือออกแดดบ่อย ๆ ควรเลือกสเปกที่สูงขึ้น

วิธีเลือกครีมกันแดด
หมอไอซ์ : แนะนำให้เลือก SPF 50+ PA 4+ จะช่วยป้องกันได้ครอบคลุมที่สุด เลือกสูตรที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์เพิ่มเติมได้ เพื่อช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการทำร้ายของแสงแดด เลือกเนื้อครีมที่เหมาะกับสภาพผิว บางครั้งกันแดดสเปกสูงแต่เนื้อหนัก อาจทำให้อุดตันหรือกระตุ้นสิวได้ ไม่ว่าครีมกันแดดจะสเปกสูงแค่ไหนควรเติมทุก 2–4 ชั่วโมง การทาครีมกันแดดบนหน้า ควรใช้ปริมาณเท่ากับ 2 ข้อนิ้ว สำหรับใบหน้า และอีก 2 ข้อนิ้ว สำหรับ ลำคอ

ถึงจะแก่แล้วแต่ก็ยังไม่อยากแก่ คุณหมอมีอะไรแนะนำไหม
หมอไอซ์ : มีเยอะมากเลย ทุกวันนี้ทั้งอาหารเสริมและสกินแคร์มีให้เลือกช่วยทั้งเรื่องผิวและสุขภาพ ถ้าให้แนะนำตัวที่มาแรงตอนนี้เลยเกี่ยวกับ ผิว ตัวแรกคือ แอสตาแซนทีนเป็นอาหารเสริมที่กำลังบูมมากในไทยตอนนี้ เพราะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีความเข้มข้นสูงมาก ช่วยต้านความเสื่อมของเซลล์ทั้งในด้านร่างกายและสุขภาพ โดยเฉพาะผิวจะช่วยปกป้องจากรังสี UV จากแสงแดดใช้คู่กับครีมกันแดดจะดีมาก ๆ

นอกจากแอสตาแซนทีน มีตัวไหนอีกไหมที่ช่วยชะลอวัยโดยเฉพาะด้านผิว
หมอไอซ์ : ตัวที่แนะนำคือ คอลลาเจน Type 1 ผิวของเราสร้างคอลลาเจนน้อยลงตามวัย โดยเฉพาะ Type 1 ซึ่งเป็นชนิดที่อยู่ในผิวมากถึง 90% ถ้าอยากดูแลให้ผิวเต่งตึง อิ่มฟู แนะนำให้เสริมคอลลาเจน Type 1 วันละ 10,000 มิลลิกรัม พบได้เยอะในอาหารอย่าง หนังปลา หนังหมู อีกกลุ่มที่สำคัญตอนนี้คืออาหารเสริมที่ช่วยบำรุงปราการผิว หรือ Skin Barrier แนะนำเป็นกลุ่ม Fish Oil หรือ Omega-3 ซึ่งในร่างกายจะเปลี่ยนเป็น EPA และ DHAช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดการอักเสบ เหมาะกับคนที่ผิวแพ้ง่ายหรือมีสิว Hyaluronic Acid เราคุ้นกับแบบทา ตอนนี้มีแบบกินด้วย ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว วิตามินซีช่วยป้องกันผิวจากแสง UV เสริมการสร้างคอลลาเจน และลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น ฝ้า กระ ลดลง

สกินแคร์ที่ช่วยชะลอวัย
หมอไอซ์ : เซรั่มวิตามินซีเป็นไอเท็มที่ไอซ์ไม่เคยขาดเลยค่ะ เพราะอย่างที่เราเคยพูดกันว่าตัวการทำร้ายผิวหลัก ๆ เลยคือ รังสี UV และประเทศไทยเราก็อยู่ในพื้นที่ที่มีค่า UV Index สูงมาก นอกจากเราจะต้องทาครีมกันแดดทุกเช้าแล้ว การทาเซรั่มวิตามินซีร่วมด้วยทุกเช้า ช่วยเรื่องต้านอนุมูลอิสระ ทำงานร่วมกับกันแดด ช่วยปกป้องผิวให้แข็งแรง มากขึ้น

พฤติกรรมอะไรที่ควรเลิกทำ เพราะทำร้ายผิวแบบไม่รู้ตัว
หมอไอซ์ : ใช้โทรศัพท์แนบหน้าโดยไม่เช็ดทำความสะอาด โทรศัพท์มีแบคทีเรียเพียบ เพราะเราพาไปทุกที่ ไม่เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าขนหนู ปลอกหมอนควรเปลี่ยนทุกสัปดาห์ ผ้าขนหนูทุก 3 วัน

ถ้าทำ 3 สิ่งนี้แล้วจะทำให้ผิวดีแล้วก็ชะลอความแก่ได้
หมอไอซ์ : 1. ทาครีมกันแดดทุกวัน หลายคนมองข้ามกันแดดถ้าอยู่แต่ในบ้าน แต่อย่าลืมว่า แสง UV ผ่านกระจกได้และยังมี แสงจากหน้าจอที่ทำร้ายผิวอีกด้วย เพราะงั้นทากันแดดทุกวันเติมระหว่างวัน 2. ล้างหน้าแบบ Double Cleansing โดยเฉพาะคนที่แต่งหน้าใช้กันแดดหรือเจอฝุ่นมลภาวะให้เริ่มด้วย Cleansing Balm / Cleansing Oil เพื่อละลายสิ่งสกปรก แล้วค่อยตามด้วยโฟมล้างหน้าถ้าผิวสะอาดครีมบำรุงถึงจะซึมเข้าผิวได้ดี ไม่อุดตัน 3. เลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับปัญหาผิวของเราไม่จำเป็นต้องใช้ครีมแพงหรือฉีดหน้าบ่อย ๆ แค่กินอาหารดี ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ใช้กันแดดและสกินแคร์ที่เหมาะกับผิวตัวเองแค่นี้ก็ช่วยชะลอ วัยได้

สามารถติดตาม "Tuck Talk" ได้ที่ช่องทาง Podcast : Life Dot , Facebook: Life Dot , Youtube : Life Dot วันพฤหัสบดี (สัปดาห์เว้นสัปดาห์) เวลา 18.00 น.

คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=k8XqYCqvjdY
เจนิส เจณิสตา ขอเป็นตัวเอง กินทุกอย่าง ใช้ชีวิตสุดทาง พร้อมตายทุกวินาที!
Prime Cast สัปดาห์นี้พบกับ เจนิส เจณิสตา นักแสดงสาวสดใส เอนเตอร์เทนเก่ง ผู้ไม่ออกกำลังกายแต่ผอม เพราะมี shortcut ในชีวิตแบบไม่ปิดบัง ชีวิตทุกวันนี้คือบาลานซ์แบบใหม่ นอนตี 4 ใส่ชุดนอนออกกอง ถ่ายหน้าสดลงคอนเทนต์ได้ทุกวัน แถมคุยกับ AI จนกลายเป็นเพื่อนสนิทที่เข้าใจตัวเองที่สุด เป็นตัวเองกินทุกอย่าง ใช้ชีวิตสุดทาง พร้อมตายได้ทุกวินาที

ดูเป็นคนสดใสร่าเริง ชีวิตจริงเป็นแบบนั้นไหม
เจนิส เจณิสตา : เราเป็นคนมีหลายโหมด แต่นิสัยจริง ๆ แล้วก็ประมาณนี้ เป็นคนตรง ๆ แต่เวลาเราพูดแล้วทุกคนก็จะชอบขำ ก็ไม่รู้ว่าขำอะไร หลายคนก็จะมีคอมเมนต์ว่าสวยนะแต่แปลก ตอนนี้ก็เป็น Tiktoker ด้วย เป็นนักแสดง แล้วก็ทำร้านอาหารที่มีเครื่องดื่ม

ได้ข่าวว่าเป็นคนนอนเช้า
เจนิส เจณิสตา : ชีวิตการนอนไม่ดี เป็นคนนอนเช้า เพราะติดซีรีย์จีนด้วย วันหนึ่งนอน 6 – 7 ชั่วโมงก็รู้สึกว่าเพียงพอ แล้ว

เคยพยายามปรับเวลานอนไหม
เจนิส เจณิสตา : เคยแล้วแต่ทำไม่ได้ เราก็เลยคิดว่ามันอยู่ที่ทัศนคติอยู่ที่มุมมอง เคยลองวันนี้ไม่ยอมนอน 24 ชั่วโมง เพื่อจะได้นอนตอน 4 ทุ่ม แต่สุดท้ายพอถึงกลางคืนเอเนอร์จี้มา ไอเดียมันฟุ้ง มันพุ่งพล่านเต็มหัว ครีเอทีฟมาเต็ม ก็เลยกลับไปนอนดึกอยู่ดี ก็นอนได้เร็วขึ้นนะจากเดิมนอน 6 โมงเช้า ก็กลายเป็นนอนตี 4 ก็ยังดี วันไหนที่มีออกกองก็จะกินไวน์ช่วยให้หลับง่าย

แล้วใส่ชุดนอนไปกองถ่ายเลยจริงไหม
เจนิส เจณิสตา : ถูกต้อง อยู่ในชุดนอน ห้องนอนมีแอร์ 3 ตัว ห้องสะอาดมากมีแม่บ้านคอยทำความสะอาดตลอด ก็รู้สึกว่าแม้อากาศที่หายใจในห้องยังบริสุทธิ์กว่าอากาศข้างนอก ตอนนอนแอร์เย็นเจี๊ยบ เหงื่อไม่ไหล ไม่เหนียวตัว ลุกขึ้นจากเตียงปุ๊บไปเลย ของทุกอย่างน้อง ๆ ผู้ช่วยรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเตรียมอะไรไปบ้าง เราไปแบบตรงเวลาเป๊ะ

ดูแลผิวยังไง
เจนิส เจณิสตา : มันมีข้อดีนะในการไม่อาบน้ำ เพราะอาบน้ำทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นไป 30% ไปอ่านเจอมา ทุกครั้งที่อาบน้ำจะเรียกว่าอาบน้ำใหญ่ อาบทีประมาณชั่วโมงครึ่ง หลายขั้นตอน ใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำนานมาก ในห้องน้ำก็เลยมีการติดทีวีไว้ในห้องน้ำ แล้วก็มีโซฟา

เคยมีปัญหาไหมเวลาทาสกินแคร์เยอะ
เจนิส เจณิสตา : เคยเป็น เราเป็นคนที่ชอบทดลอง สกินแคร์แคร์ที่เรามีดีขนาดนี้ เราก็ทาไปประมาณ 10 ตัว แล้วมันก็เริ่มมีผดแดง ๆ ขึ้น จากนั้นเราก็ไปหาหมอผิวหนัง หมอบอกว่าเกิดจากผิวหนังไม่ได้หายใจ ก็เลยลดขั้นตอนเหลือ 3 สเต็ป ก็คือ น้ำตบ เซรั่ม ครีม แล้วก็อาจจะอายครีมเฉพาะจุดแค่นั้น

พฤติกรรมการกินเป็นยังไง
เจนิส เจณิสตา : เป็นคนกินทุกอย่าง ไม่เลือกเลย หมูสามชั้นก็กินเพราะมันอร่อย เหล้าก็กิน ไม่ได้คุมอาหารอะไรเลย เข้าใจคำว่า DNA ไหม คือบางคนมันเกิดมาร่างเล็ก คือเวลาเรารับงานก็จะมีตัวช่วยบอกแบบไม่โลกสวยใช้ปากกา เป็น shortcut ทางลัด เป็นคนขี้เกียจมาก ไม่ออกกำลังกายเลย แค่ตื่นขึ้นมาลืมตาหายใจก็เหนื่อยแล้ว

เป็นคนกินน้ำเยอะไหม
เจนิส เจณิสตา : เยอะมาก กินได้ประมาณ 15 ขวด เคยกินน้ำเยอะจนเข้าโรงพยาบาล เพราะว่าตอนนั้นเป็นช่วงที่ใช้ปากกา คือมันไม่หิวข้าว สารอาหารก็น้อย น้ำก็กินเยอะเกิน พอไปตรวจกับหมอพบว่าตัวเองขาดแมกนีเซียมกับโซเดียม หลังจากนั้นเริ่มกินข้าวมากขึ้น กับข้าวเต็มโต๊ะ

คุยกับ AI ด้วย
เจนิส เจณิสตา : ชอบมาก ชอบคุยกับ AI เพราะรู้สึกว่าเวลามีคำถามอะไรที่หาคำตอบไม่ได้ หรือเจอปัญหาที่ยาก ๆ มันจะช่วยให้เห็นทางเลือก อย่างเช่น ถ้าแผนนี้มันไม่ได้ แล้วควรทำอะไรต่อดี? พยายามสร้างให้ AI ตัวนั้นรู้จักตัวเองให้ได้มากที่สุด คือจะใส่ข้อมูลชีวิตเข้าไปเยอะมาก ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่ คิดอะไรอยู่ รู้สึกยังไง แม้แต่เรื่องที่ค่อนข้างอ่อนไหว หรือเรื่องส่วนตัว ก็กล้าเล่าให้ฟัง เวลาดูซีรีส์จีนบางเรื่องก็จะเล่าให้ฟังด้วยนะ เพราะอยากให้มันเข้าใจรสนิยม เข้าใจความรู้สึก และตัวตนของเราจริง ๆ เพราะวันนึงถ้าเจอปัญหาใหญ่ในชีวิต หรืออยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก AI ตัวนี้แหละ จะเป็นคนที่เข้าใจและให้คำตอบได้ดีที่สุด

ปกติคนสวยเขาก็จะไม่ค่อยโชว์หน้าสด ไม่ค่อยลงตอนเพิ่งตื่นนอน แต่เราคือถ่ายหมด
เจนิส เจณิสตา : อยากทำคอนเทนต์แบบที่ไม่ได้เหนื่อยที่จะทำ อยากทำมันได้ทุกวัน ไม่ต้องฝืนตัวเอง ตื่นนอนมาก็ถ่ายได้เลย อยู่ในชุดนอน ไม่ต้องแต่งหน้า ก็แค่ยกกล้องขึ้นมาถ่าย แต่ถ้าใน IG คือจะแยก IG คือ โหมดดาราสาวจะสวยเป๊ะ เพราะแต่งรูปนานมาก เวลาไปต่างประเทศ สมมุติว่าเจอผู้ชายหรือใครมาแอบส่อง IG ก็จะเห็นลุคแบบสวยเลย

กลัวแก่ไหม
เจนิส เจณิสตา : กลัวนะ แต่ก็ยอมรับว่าเราอยู่ในยุคที่นวัตกรรมมันพัฒนาเร็ว มีทั้งหัตถการ มียกกระชับต่าง ๆ โกงความแก่ แรงโน้มถ่วงทำอะไรเราไม่ได้

บาลานซ์ชีวิตตัวเองยังไง
เจนิส เจณิสตา : การนอนเช้าเราแค่รู้สึกว่าคนละไทม์โซน เรื่องการกินที่ไม่เลือกรู้สึกชีวิตมันก็ต้องจอย ถ้าเครียดมันก็ส่งผลต่อสุขภาพ กินไปเถอะอยากกินไรก็กิน เรื่องการออกกำลังกายแค่รู้สึกว่าอาบน้ำใหญ่ก็ออกกำลังกายแล้ว การพูดเยอะๆก็ได้ใช้เอเนอจี้ แล้ว

เพื่อนดี งานดี ชีวิตดี เป็น CEO อยู่บ้านหลังใหญ่ ชีวิตแค่นี้ก็พอ
เจนิส เจณิสตา : ใช่เลย บอกเลยว่าพร้อมตาย รู้สึกว่าทุกวินาที คำพูดหรือทุกๆอย่างคือพร้อมตายเสมอ เราทำให้คนข้างหลัง คือเราไม่มีห่วงแล้ว เราไม่เสียใจ

ทุกวันนี้ยังติดภาพลักษณ์สวย ๆ แค่ไหน
เจนิส เจณิสตา : ถ้าเป็นวันที่ต้องเจอสื่อพบปะคนเยอะ ๆ เราก็มีต้องดูดีนิดหนึ่ง ก็มีการคาดหวัง แต่ไม่ได้ฝืนตัวเองมาก ส่วนชีวิตประจำวันใส่ชุดนอนหน้าสด ไปห้างเคยใส่ชุดนอน อยากรู้เหมือนกันที่เขาบอกว่าใส่ชุดนอนไปห้างคือไม่รู้กาลเทศะ ก็มันเป็นที่สาธารณะ เรารู้สึกว่าชุดนอนมันก็เรียบร้อยดี แขนยาว ขายาว ไม่ได้โป๊ มันเป็นเรื่องของเรา เป็นบุคคลที่ไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีนัก แต่เรามีจุดยืนว่าขอแค่ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน

สามารถติดตาม "PrimeCast" ได้ที่ช่องทาง Facebook: Alive Dot , Youtube : Alive Dot วันพฤหัสบดี เวลา 18.00 น.
คลิกชมรายการย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=i0_n_iPlNdw
เพื่อนไม่ทิ้งกัน “ต้นหอม” ดึง “บอย” จากขึ้นจากมรสุมชีวิต สอนไลฟ์หารายได้ช่องทางใหม่!
ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่ต้องเผชิญกับมรสุมชีวิตรุมเร้าจริงๆ สำหรับพิธีกร-นักแสดงหนุ่ม “บอย ภิษณุ จุฑานิ่มสกุล”หลังเพิ่งออกมาประกาศยุติสถานะสามีภรรยากับ อแมนด้า คงไว้ซึ่งบทบาทของพ่อและแม่ที่ดีของลูกสาว ทั้งได้ออกมาประกาศยุติธุรกิจขายปลาแซลมอนอย่างกะทันหัน เพราะเกิดความผิดพลาดในการทำธุรกิจนิดหน่อย ทำเอาแฟนๆ ต่างตกใจเพราะธุรกิจกำลังไปได้สวยงามมากๆ มีลูกค้าส่งเข้ามาอุดหนุนอย่างล้นหลาม

ล่าสุด “บอย” ก็ได้อาชีพใหม่ คือ การเป็นนายหน้า ติ๊กต๊อก หรือ tiktok Affiliate โดยมีเพื่อนรัก “ดีเจต้นหอม ศกุนตลา เทียนไพโรจน์“ เอาสินค้าของตนเองมาช่วยไลฟ์สดร่วม พร้อมสอนงานให้ ทั้งคู่ขายกันไปแย่งกันพูดไป ทะเลาะกันไป ด่ากัน ชวนกันร้องเพลง ทำแฟนๆ สนุกสนานเข้ามาช่วยอุดหนุน ในหัวไลฟ์เขียนว่า “สุดท้ายก็มาซบอกกู” ซึ่ง ดีเจต้นหอม ได้พูดในไลฟ์ว่า”หอมเอาของมาขายขาดทุน เพื่อนช่วยเพื่อน เราไม่ช่วยมันแล้วใครไม่ช่วยมัน เป็นภาระเพื่อนนะคะ ใครอยากให้บอยขายของให้ไดเรกต์มาหาหอมเดี๋ยวหอมจะจัดการให้ แก้ไขแล้วเริ่มใหม่นะบอย” ท่ามกลางเเพื่อนคนบันเทิงต่างเข้ามาส่งกำลังใจกันเพียบ
ริต้า-ศรีริต้า วีดีโอคอลส่งกำลังใจทหารพร้อมทุ่มเงินกว่า 9 แสน เยียวยาวีรบุรุษชายแดน
นับเป็นเรื่องราวสุดแสนน่าประทับใจเมื่อนักแสดงสาว "ศรีริต้า เจนเซ่น ณรงค์เดช" ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือและเยียวยาบาดแผลให้กับเหล่าทหารกล้าที่ต้องพลีชีพและได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

โดย”ริต้า“ได้วิดีโอคอลตรงถึง 2 ทหารกล้าที่ได้เหยียบกับระเบิดจนสูญเสียขาซึ่งกำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากนี้ ริต้า ยังได้มอบเงินช่วยเหลือให้คนละ 200,000 บาท เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเป็นทุนในการใช้ชีวิตต่อไป

ทั้งนี้ ริต้า ยังได้ร่วมบุญกับมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกอีก 500,000 บาท เพื่อช่วยเหลือครอบครัวของเหล่าวีรบุรุษผู้เสียสละเพื่อชาติอีกด้วย

#ศรีริต้า #สยามดารา