หลังจากเมื่อวันที่ 16 ต.ค. พิธีกรชื่อดัง กันต์ กันตถาวร ถูกตำรวจสอบสวนกลางรวบตัวตามหมายจับในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปมคดีบอสดิไอคอนกรุ๊ปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ล่าสุดวันนี้ (17 ต.ค.) ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของ นายกันต์ กันตถาวร หรือ บอสกันต์ พิธีกรชื่อดังพบว่า มีการถอนเงินออกจากบัญชีธนาคารส่วนตัวจำนวน 1.8 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. จะมีคำสั่งอายัดทรัพย์ชั่วคราว 90 วัน เพื่อตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีอยู่ระหว่างขยายผลตรวจสอบเพื่อติดตามอายัดทรัพย์สินเหล่านี้ต่อไป อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป ทั้ง 18 คน ที่ถูกจับกุมไปแล้วนั้น เบื้องต้นทราบว่ายังเป็นเพียงผู้ต้องหากลุ่มแรก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนขยายผลจากพยานหลักฐานหรือคำให้การของผู้เสียหายที่สามารถยืนยันตัวบุคคลที่กระทำผิดได้อย่างชัดเจนเป็นหลัก แต่จากแนวทางสืบสวนยังเชื่อว่าน่าผู้ที่เกี่ยวข้องรายอื่น ๆ เพิ่มเติมอีกหลายราย อยู่ระหว่างการขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินเพื่อหาความเชื่อมโยง โดยเฉพาะกลุ่มคนใกล้ชิด ที่เชื่อว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นหรือได้รับผลประโยชน์จากการกระทำผิดดังกล่าว ทั้งนี้สำหรับพยานหลักฐานสำคัญที่นำมาสู่การออกหมายจับผู้ต้องหาเครือข่ายดิไอคอนกรุ๊ป ทั้ง 18 ราย ส่วนใหญ่เป็นหลักฐานที่สามารถชี้ชัดได้ว่าผู้ต้องหาทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอย่างชัดเจน และ ความผิดนั้นได้สำเร็จครบองค์ประกอบตามกฎหมายแล้ว โดยเฉพาะพฤติกรรมชักชวนผู้คนให้มาร่วมลงทุนโดยไม่ได้ส่งเสริมการขายสินค้า เอาแต่มุ่งทำคอนเทนต์โปรโมตสร้างแรงจูงใจดึงดูดคนให้มาร่วมลงทุนเท่านั้น จากแนวทางสืบสวนยังพบอีกว่า กลุ่มผู้ต้องหาเหล่านี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดกิจกรรมสัมมนาเครือข่ายดิไอคอนประจำเดือน โดยแต่ละครั้งจะมีการเรียกเก็บเงินค่าร่วมงานจากสมาชิกคนละ 1,500 บาท ซึ่งภายในงานจะจัดขึ้นอย่างใหญ่โต หรูหรา อลังการ มีการโปรโมตคอนเทนต์ในลักษณะ ของผู้ร่วมลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากการขายผลิตภัณฑ์สินค้าในเครือดิไอคอนกรุ๊ป อาทิ เช่น เดิมทีเป็นคนลำบากยากจน แต่เมื่อมาเข้าร่วมลงทุนกับดิไอคอนกรุ๊ปก็พลิกชีวิตมีฐานะร่ำรวย และ คอนเทนต์ในลักษณะเดียวกันอีกจำนวนมาก เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนอยาก ร่วมลงทุน โดยมีกลุ่มศิลปินดาราเป็นคนคอยพูดโน้มน้าวเสริมความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงส่วนแบ่งผลตอบแทนที่กลุ่มบอสศิลปินดาราได้รับจากการจัดงาน พยานหลักฐานเหล่านี้จึงน้ำหนักเพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหากระทำผิดจริง และไม่ได้เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์ตามที่กล่าวอ้าง